Category Archives: เรื่องผี

ตายแล้วย้อนกลับมาบ้านเรือน

จิตวิญญาณท่องเที่ยวในวัฏสงสาร จะกว้างแคบขนาดไหนจิตวิญญาณจะไปได้ด้วยอำนาจแห่งกรรมดี กรรมชั่วหนุนพาให้ไป ผู้ที่ว่าไปสวรรค์ชั้นนั้น ๆ ถ้าจะพูดถึงเรื่องการวัดชั้นเป็นถนนหนทาง ทางจากนี้ไปสวรรค์ชั้นนั้นห่างสักกี่กิโลอย่างนี้นั้น เรานับไม่ได้ สังขารร่างกายเราไปไม่ได้ แต่จิตใจนั้นไม่ว่าจะอยู่ใกล้ไกลขนาดไหน ไปได้ทั้งนั้นชั่วขณะเดียว จิตใจนี้ไปได้ ระยะความใกล้ความไกลไม่มีปัญหาในจิตใจของแต่ละสัตว์แต่ละบุคคล ตายแล้วไปทางดีทางชั่ว เสวยสุขเสวยทุกข์ได้ด้วยกันทั้งนั้น ขอให้มีคำว่าบุญและบาปที่ตนสร้างไว้แล้วติดใจของตนเถิด ไม่ว่าไกลว่าใกล้ เช่นไปเสวยความทุกข์ความทรมาน ใกล้ไกลที่ไหนไม่มีประมาณ ถึงทันที ๆ

เช่นอย่างไปนรก แดนนรกนี้ถ้าธรรมดาแล้วจะไม่มีใครไปถึง เพราะอยู่ไกลแสนไกล แต่อำนาจแห่งกรรมที่เราสร้างไว้ไม่ดีนั้น มันติดอยู่กับตัวของเรา ติดพันกันไป จนกระทั่งถึงนรกหลุมไหนไม่มีคำว่าใกล้ว่าไกล ขึ้นอยู่กับอำนาจแห่งกรรมชั่วของตน ผู้ที่จะไปสวรรค์ พรหมโลก และนิพพานก็เช่นเดียวกัน ไม่มีคำว่าใกล้ว่าไกล ขอให้มีบุญมีกุศลติดใจของเราเถิด จะไปได้ถึงหมดไม่ว่าชั้นใดภูมิใด ตามอำนาจแห่งกรรมดีของเราที่มีมากน้อย และใจเป็นของไม่ตาย ขอให้ท่านทั้งหลายทราบเอาไว้

พระพุทธศาสนาคือพระพุทธเจ้าของเราทุกๆ พระองค์ทรงเทศนาว่าการยืนยันจิตวิญญาณคือใจของคนของสัตว์นี้มีมาดั้งเดิม ตั้งแต่กาลไหนๆ ไม่มีต้นไม่มีปลาย มีแต่ความเกิดความตายแบกหามกองทุกข์ หรือเสวยสุขเป็นลำดับลำดามา ก็เพราะจิตดวงที่ไม่ตายนี้แล เวลาได้รับความทุกข์ความลำบากมากเพราะการทำชั่วของตัวเองด้วยความประมาท ไปตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ก็ยอมรับว่าทุกข์ ถึงขั้นมหันตทุกข์ ใจก็ยอมรับเสวย แต่ไม่เคยฉิบหาย ไม่เคยสูญก็คือใจดวงนี้แล เวลาไปทางดีก็เหมือนกัน ไม่มีคำว่าฉิบหายเหมือนสิ่งอื่นใด

พอตายจากนี้แล้วก็เข้าไปสู่ภพหน้า พร้อมเสมอที่จะไปเกิด ๆ เมื่อหมดสภาพแห่งความเกิดในภพชาตินั้นๆ แล้ว ก็เรียกว่าตายๆ ตายกับเกิดจึงเป็นของคู่เคียง ประจำภพชาติของจิตตลอดมา เพราะฉะนั้นสัตว์ตัวหนึ่งรายหนึ่งจึงมีการเกิดตาย ได้รับความทุกข์ความลำบากเสมอหน้ากันหมด ไม่มีใครที่จะมาแข่งขันกันว่า ข้านี้เกิดน้อยชาติ ข้านี้เกิดหลายชาติ ข้าได้รับความทุกข์ความสุขมากน้อยเท่านั้นเท่านี้ เอามาแข่งขันกันนั้นแข่งไม่ได้ เพราะทุกคนมีอยู่ด้วยกันเต็มตัว เพราะอำนาจแห่งกรรมของตนสร้างมาเหมือนกันหมด ท่านจึงไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน

ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงสอนโลกอย่างแม่นยำ ไม่มีผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปไหนเลย ก็คือธรรมของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ นี่สอนพวกเราทั้งหลาย ขอให้ถามปัญหาตัวเองว่า ธรรมพระพุทธเจ้านั้นเลิศเลอพอแล้ว เราจะสามารถรับอรรถรับธรรมเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สั่งสอนแล้วด้วยพระเมตตาสุดส่วน ด้วยความรู้แจ้งแทงกระจ่างในสิ่งทั้งหลายหมดนั้น เราจะรับได้หรือไม่ หรือจะรับตั้งแต่ความหูหนวกตาบอดของเรา ไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม เสียงดี เสียงชั่ว แต่สิ่งที่ชั่วนั้นทำได้ตลอดไป

สิ่งที่ดีก็หาเรื่องหาราวมาขัดมาขวาง กีดกันเอาไว้ไม่ให้ทำ เช่นอย่างวันนี้ก็เป็นวันที่เราจะบำเพ็ญการกุศล เราก็จะหาเรื่องว่าวันนี้ฝนตกทำบุญให้ทานไม่สะดวกไม่สบายเลยสำหรับวันนี้ วันอื่นที่เราสร้างขวากสร้างหนามเป็นอุปสรรคแก่ตัวเองทั่วหน้ากันนั้น เราไม่ได้พูดถึง ทั้งๆ ที่มันก็ไม่สะดวกเช่นเดียวกัน แต่เพราะความพอใจของเราที่จะทำ ในน้ำ บนบก ฟ้าฝนตก เราก็ทำได้ด้วยกันทั้งนั้น วันนี้เป็นวันที่เราสร้างบุญกุศล ฝนเป็นฝน น้ำเป็นน้ำ บุญเป็นบุญสำหรับเราผู้สร้างบุญ ไม่มาคละเคล้ากัน เราจึงทำได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ฝนตกฟ้าลงก็เป็นเรื่องของฟ้าฝนที่เคยมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว ไม่ใช่พึ่งมีมาในวันนี้ที่เราจะบำเพ็ญกุศลเท่านั้น

จึงขออย่านำสิ่งใดมาเป็นอุปสรรคต่อการสร้างกุศลของเรา บรรดาผู้ที่ล่วงลับ ไปนั้นท่านสอนไว้ใน ติโรกุฑฑกัณฑสูตร ว่าใครจะอยู่ใกล้อยู่ไกลที่ไหน ประเทศใดเมืองใดก็ตาม เวลาตายแล้วจะต้องกลับเข้าไปถึงบ้านถึงเรือน ถึงพี่น้องพ่อแม่ญาติมิตรของตนเป็นลำดับลำดา ถ้าไม่ถูกกรรมหนักบังคับให้ไปตกนรกเสียก่อน มีช่องทางที่จะไปหาญาติหาวงศ์ของตนได้ทุกแห่งทุกหน โดยไม่มีคำว่าหลงทาง นี่คือญาติมิตรที่ตายไปแล้ว แล้วกลับเข้ามาในบ้านญาติมิตรของตน ตายที่ไหนก็มาหาญาติหามิตร เพื่อรับส่วนบุญส่วนกุศลจากพ่อแม่พี่น้องที่เคยเป็นพ่อเป็นแม่มาดั้งเดิม ในเวลาตายแล้วก็ต้องย้อนกลับมา

ท่านบอกไว้ใน ติโรกุฑฑกัณฑสูตร ว่า เข้ามาแอบอยู่ตามข้างบ้านข้างเรือนบ้าง เข้ามาอยู่ข้างฝาเรือนบ้าง เข้ามาอยู่ทุกซอกทุกมุมในบ้านเรือนของญาติของมิตร ของพ่อของแม่บ้าง แต่เวลาพ่อแม่พี่น้องซึ่งเคยอยู่ร่วมกันในเวลามีชีวิตอยู่ รับประทานด้วยกัน มีอะไรถึงกันหมดนั้น พอตายไปแล้วเท่านั้น กลับมาก็มาแอบดูพ่อดูแม่ ดูญาติดูวงศ์ที่กำลังรับประทานอาหารกันอยู่ในนั้น ไม่สามารถที่จะรับได้ เพราะไม่ใช่วิสัยของเปรตผีกับมนุษย์ที่จะมาร่วมกินร่วมอยู่ด้วยกันได้เช่นนั้น ถ้าหากว่าญาติมิตรมีความรู้สึกเป็นห่วงใยในผู้ล้มผู้ตายที่จากไปนั้น ได้ทำบุญทำกุศล อุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่บรรดาเปรตทั้งหลายที่มานั้น เปรตเหล่านั้นก็ได้รับส่วนบุญส่วนกุศล ก่อนจะจากไปก็อนุโมทนาสาธุการแก่ญาติมิตรของตน แล้วไปสวรรค์ได้เพราะอำนาจแห่งส่วนกุศลที่หนุนท่านเหล่านั้นให้พ้นทุกข์ในความเป็นเปรตเสียได้ นี่ท่านแสดงไว้อย่างนี้

เปรตประเภทที่จะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลนั้นมีมากมายก่ายกอง ด้วยเหตุนี้จอมปราชญ์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น จึงสอนไว้ว่าเมื่อล้มหายตายจากไปจากกันแล้ว อย่าลืมบุญลืมคุณ ลืมความระลึกถึงกัน แล้วให้บำเพ็ญส่วนกุศลอุทิศไปให้ ท่านผู้ล้มผู้ตายจะได้รับการสนับสนุนจากการสร้างบุญกุศลอุทิศไปให้นั้น แล้วพ้นทุกข์ไปโดยลำดับ นี่ท่านสอนไว้อย่างนี้ อย่างบรรดาทหารที่มาตายอยู่ในเมืองกาญจน์ของเรามีจำนวนมากมายทีเดียว ท่านเหล่านี้ก็มีความหวังที่จะพึ่งพิงญาติมิตรเพื่อนฝูง และญาติเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันก็มีทางรับได้ เช่นพวกเราไม่ได้รู้จักหน้าค่าตากันเลย แต่เรามีเจตนาเป็นกุศลทำบุญแล้วอุทิศถึงท่านเหล่านั้น บุญกุศลจึงไม่นิยมว่าใครเป็นญาติ ไม่เป็นญาติ อยู่ในฐานะที่จะรับได้จากผู้มีเมตตาจิตยื่นให้ด้วยการอุทิศส่วนกุศล ท่านเหล่านั้นก็รับได้ พ้นทุกข์ไปได้

ที่เราทำวันนี้จึงเป็นการถูกต้องกับขนบประเพณีที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง และพาดำเนินมา แล้วทีนี้ก็ย้อนมาหาตัวของเราเอง อย่าได้พากันประมาทนอนใจ มีแต่ลมหายใจไปวันหนึ่ง ๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับอยู่ได้ด้วยลมหายใจ พอลมหายใจขาดเท่านั้นอยู่ที่ไหนตายได้หมดคนเราและสัตว์ทั่ว ๆ ไป พวกเรานี้เรียกว่าอยู่ได้ด้วยลมหายใจ อย่าหายใจอยู่เฉยๆ หายใจให้มีอรรถมีธรรม มีบุญมีกุศลติดใจของตัว อย่าหายใจไปด้วยการให้กิเลสรุมล้อม หายใจไปด้วยความโลภไม่พอ ความโกรธ ความเคียดแค้น หายใจไปด้วยราคะตัณหา หาลูก หาผัว หาเมียไม่พอใช้ ไม่พออยู่ ไม่พอกิน ดิ้นรนกระวนกระวาย อย่างนี้เขาเรียกว่าหายใจเพื่อความล่มจม ถึงจะยังไม่ตายก็ล่มจมอยู่แล้วกับการกระทำของตัว

เพราะฉะนั้นจึงแยกลมหายใจของเราเข้ามาสู่ศีลสู่ธรรม หายใจเข้าหายใจออกให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า หรือพระธรรม หรือพระสงฆ์ อยู่โดยสม่ำเสมอ คำว่าพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวนี้ กระเทือนทั่วพระพุทธเจ้าทั้งหลายในแดนโลกธาตุ ธรรม สงฆ์เป็นอันเดียวกัน จึงมีคุณค่ามากแก่ผู้ที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นี่เรียกว่าหายใจมีสารประโยชน์ หายใจเป็นบุญเป็นคุณ เวลาเราตายลงไปเราก็อาศัยลมหายใจที่เป็นบุญเป็นคุณต่อเรานี้แล จะเป็นเครื่องอุดหนุนค้ำชูเราให้ไปเกิดในสถานที่ดี คติที่สมหวัง

หลวงตามาหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส
ณ สวน ๓๖ พรรษา สยามบรมราชกุมารี
ตรงข้ามสุสานทหารสัมพันธมิตร อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
http://www.luangta.com

พระเถระเห็นปีศาจ

พระเถระรูปหนึ่ง จำพรรษาอยู่ที่ถูปาราม ครั้นเวลาเช้ารุ่งอรุณ ก็ออกจากอาราม ไปบิณฑบาต พอเดินมาถึงซุ้มประตูอาราม เห็นเด็ก ๒ คน มีรูปแปลกพิกล ผิดธรรมดา นั่งอยู่แทบประตู จึงเข้าไปไต่ถามความเป็นไป เด็กทั้งสองจึงบอกว่า “ข้าพเจ้าทั้งสอง หาใช่ลูกคนไม่ แต่เป็นเปรต คือ เปรตปีศาจ มานั่งคอยปีศาจ ตั้งอยู่ในฐานะเป็นมารดา ซึ่งเข้าไปในพระนคร บอกว่าจะหาอาหารมาให้ข้าพเจ้า แต่คอยอยู่นานแล้ว ก็ไม่เห็นมาสักที ครั้นเห็นพระผู้เป็นเจ้าออกมานี่ จึงสำแดงกายให้พระผู้เป็นเจ้าเห็น เพื่อจะสั่งว่า ถ้าพระเป็นเจ้าเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร พบมารดาของข้าพเจ้าแล้ว จงได้กรุณาบอกด้วยเถิดว่า ให้ถือเอาอาหารสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เร่งรีบมาโดยเร็ว บุตรทั้งสองแสบท้อง อยากอาหาร มิอาจดำรงอยู่ได้ มีความหิวกระหาย เป็นกำลัง”

พระเถระจึงถามว่า “เหตุไฉน เราจึงจักเห็นมารดาของพวกเจ้าเล่า?”

ปีศาจกุมารทั้งสอง หันมาปรึกษาซุบซิบ แล้วตนหนึ่งจึงส่งรากไม้ให้พระเถระท่อนหนึ่ง พลางบอกว่า

“พระผู้เป็นเจ้า จงเอารากไม้ยานี้ถือไปเถิด แล้วจักเห็นมารดาของข้าพเจ้าเอง”

เมื่อพระเถระเจ้าได้รากยาที่เด็กปีศาจ ให้เข้าไปในพระนคร ตอนรุ่งอรุณวันนั้น ฝูงยักษขิณีปีศาจทั้งหลาย ก็ปรากฏในคลองจักษุแห่งพระเถระ มากกว่าร้อยกว่าพัน ปีศาจเหล่านั้น มีรูปกายน่าเกลียดน่าชัง กำลังเที่ยวแสวงหาซึ่งอสุจิ ของสกปรกทั้งหลาย อย่างชุลมุน ด้วยความหิวโหย พระเถระเจ้า จึงเข้าไปไต่ถามหามารดาของปีศาจกุมารทั้งสอง ครั้นพบแล้ว จึงบอกตามที่เขาสั่งมา นางปีศาจฉงนใจ จึงถามว่า

“เหตุไฉน พระผู้เป็นเจ้า จึงเห็นตัวข้าพเจ้า”

พระเถรเจ้าจึงชูรากยานั้นขึ้น แล้วบอกตามความเป็นจริง นางปีศาจ แต่พอเห็นรากยาที่พระเถรเจ้าชูขึ้นเท่านั้น ยังพูดไม่ทันขาดคำเลย ก็วิ่งเข้าไปชิงเอามาจากหัตถ์ของพระเถรเจ้าทันที ครั้นไม่มีรากยาถืออยู่ ฝูงปีศาจฝูงผี ที่เห็นอยู่มากมาย ก็หายวับไปกับตาของพระเถรเจ้าในบัดใจนั้น เป็นอันว่า ฝูงเปรตปีศาจ ที่ต้องมากินของอสุจิโสโครกอยู่อย่างนี้ ก็เพราะ ในชาติก่อน ตนไม่เคารพในทานการให้ เหตุมีใจสกปรกด้วยโลภเจตนา

ที่มา : โลกทีปนี
http://www.dhammathai.org

แผ่เมตตาสู้ผี

อย่างการแผ่เมตตานี่ ใครจะได้รับหรือไม่ได้รับ มันก็เป็น ความดีสำหรับเรา การอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ใครจะได้รับหรือ ไม่ได้รับ มันก็เป็นความดีสำหรับเรา มันมีพิธีกรรมอันหนึ่งซึ่งหลวงพ่อได้ทดสอบมาด้วยตนเอง เคยไปธุดงค์ แล้วก็เดินทางร่วมไปกับพระที่เรียนวิชาอาคมในการ ขับผีไล่ผี หลวงพ่อมีแต่พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และเมตตา พรหมวิหาร ไปนอนอยู่ร่มไม้แห่งเดียวกัน หมอวิชาอาคมนี่พอ หลับลงไป ท่องแต่มนต์ไล่ผี ลงผลสุดท้ายหมอบอกว่า

“โอ๊ย! ตรงนี้ผีมันเยอะ นอนไม่ได้” ก็หนีไปนอนที่อื่น
หลวงพ่อบอกว่า “นอนซะ! เดี๋ยวจะทำให้ได้นอน”

พอหมอนอนแล้ว หลวงพ่อก็ท่อง อิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโน แผ่เมตตา อธิษฐานจิตขอสัตว์ทั้งหลายอย่าเบียดเบียน ซึ่งกันและกัน แล้วก็นั่งกำหนดจิตทำสมาธิ ปรากฏว่าหมอนั่น นอนหลับปุ๋ยตลอดคืนยันรุ่ง ผีไม่มากวนเลย  พอตื่นเช้ามา

หมอถามว่า “ไปได้มนต์ดีมาจากไหน ทำไม เก่งนักหนา”
หลวงพ่อก็บอกว่า “มนต์ผมก็… อิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโน เมตตาพรหมวิหาร เท่านั้นเอง”
“ที่ผมเรียนธรรม เรียนอะไรมานี่ ทำไมสู้มันไม่ได้”
“มันจะไปสู้ได้อย่างไร พวกที่มันเป็นผีมาสู้พระนี่ มันหมอวิชาอาคมกันทั้งนั้น มันจึงกล้าเข้ามาเล่นงานพระ”

ฐานิยปูชา ๒๕๕๔ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
http://www.palungdham.com

คาถาสำหรับคนกลัวผี

ของดีพระพุทธเจ้าสอนไว้ให้หมด แต่ว่าเกจิอาจารย์อยากดัง เอาสิ่งอื่นมาแทรกแซง
ทำให้คนไทยเขวจากหลักความจริง กลัวผีหรือ… กลัวผี เจริญพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ
ท่อง กรณียเมตตสูตรให้ได้ สวดทุกวัน ผีไม่มากวน ถ้ามันมา มันก็มาขอส่วนบุญจากเรา

นี่! อยู่ที่กุฏิหลังนี้แหละ แม่ของไอ้น้อยคนหนึ่งผีเข้าสิงทุกวัน มันแบกแม่มันมาจากบ้าน
มาวางอยู่หน้าประตู พอผีมันออก ก็เดินเข้ามานี่ได้ พอมา แกก็มาเล่าให้ฟัง

“ไม่ทราบว่ากรรมเวรอะไร สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิทีไร จิต มีอาการเคลิ้มๆ พอจะสงบ ผีเข้าสิงทุกที” แกว่า “นี่มันก็ยังตามมา อยู่นะ มันอยู่หน้าประตูหลวงพ่อนี่ มันคอยอยู่นั่น”

หลวงพ่อก็บอกว่า “เออ! มันอยู่ไหน ให้มันเข้ามาสิงดูซิ”

พอขาดคำ มันมาสิงทันที แกก็ล้มตูมลงไป หลวงพ่อก็เทศน์ให้ฟัง

“นี่! เจ้าเป็นวิญญาณภูตผีปีศาจร้าย มาเข้าสิงกายมนุษย์ ทำให้จิตใจเขาไม่เป็นปกติ
ไม่เป็นอันทำมาหาเลี้ยงชีพ เจ้ากำลังสร้าง บาปกรรม จะลงนรก หรือเจ้ามีความผิดอะไรต่อข้า ข้าอโหสิกรรม ให้หมด บุญกุศลสิ่งใดที่ข้าบำเพ็ญมาข้าอุทิศให้เจ้า” แล้วก็น้อมจิตแผ่เมตตาให้มัน แล้วมันก็ออก

วันนี้ลูกชายยังมาอยู่ ถามว่า “เป็นไง ผีมาสิงแม่อีกไหม” “ไม่ เคยมีเลยครับตั้งแต่วันนั้นมา”
พอผีไม่สิงแล้ว แกมา ผิวหน้า ผิว พรรณวรรณะผ่องใสขึ้น เมื่อก่อนนี้มา ด๊ำ..ดำ เดี๋ยวนี้ร่างกายสมบูรณ์ ขึ้น

ฐานิยปูชา ๒๕๕๒ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
http://www.palungdham.com

อย่าใช้มนต์ไล่ผี

วิชาอาคมทางไสยศาสตร์ เช่น บทกันผี มนต์ไล่ผี มันไม่มี ความหมายอะไรสำหรับภูตผีปีศาจ
เช่นอย่างภูตผีปีศาจที่มันเข้ามาสิงคน พวกเป็นผีเข้ามาสิงคนนี่มันเรียนมนต์ไสยศาสตร์จบมาแล้ว
มนต์ไล่ผี มนต์ขับผี มันไม่กลัว มนต์ป้องกันมันก็ไม่กลัว มันกลัวแต่ คนผู้ทำความดี
บทสวดมนต์ พุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ เมตตา พรหมวิหาร เป็นจุดยืนของการทำความดี
เราสวดไปแล้วผีมันไม่กลัว แต่พอได้ยินคำว่า สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ พอมันได้ยิน
มันก็นึกว่า อ้อ.. ท่านผู้นี้มาดี ไม่ได้มาร้าย เราไม่ควรเบียดเบียนท่านผู้นี้ แล้วมันก็ไม่เบียดเบียนเรา
ตัวอย่างที่เคยมีประสบการณ์มา บางทีมีผีเข้าสิงคน เขาเอามาให้หลวงพ่อไล่ พอมาถึงก็

“หลวงพ่อ ไล่ผีให้หน่อย”
“เอ้า! เกิดมาไม่เคยเห็นผีสักที จะให้ไปไล่มันอย่างไร”
เขาบอกว่า “มันเข้าสิงคนน่ะ”
“อ้าวถ้ามันเข้าสิงคน ไปหาหลวงตาอยู่หลังวัดไป”

เขาก็พาไปหาหลวงตาองค์นั้น พอไปถึง หลวงตาก็เริ่มต้น สวดคาถาขับไล่ผี พอขึ้นต้น
มันสวดจบไปก่อนหมดทุกบท จนกระทั่ง หลวงตาไม่มีมนต์ที่จะท่องแข่งกับมัน มันก็เลยชี้หน้าด่าเอา

“หมดภูมิแล้วหรือ มีอะไรจะมาท่องแข่งกันอีก”
ลงผลสุดท้ายมันก็ด่าเอา

“บวชเป็นพระต้องเรียนธรรมวินัย ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ บวชเป็นพระแล้วมาเรียนมนต์ไสยศาสตร์นี่ ตายไปเป็นผีใหญ่นะ” มันว่า

“เช่นอย่างข้าพเจ้านี่เคยบวชเรียนเขียนอ่านมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย อาจารย์สอนให้ท่องแต่มนต์
เวลาภาวนาก็ให้ท่องแต่มนต์ จิตมันก็สงบสว่างไปได้เหมือนกัน รู้กระทั่งวันเวลาที่ตัวจะตาย
พอรู้ว่าตัวจะตาย รีบท่องมนต์เข้าสมาธิ จิตมันสว่างๆๆ ไป พอวิญญาณออกจากร่างแล้วมันมืดมิด
มองหาทางไปไม่มี มารู้ตัวเอาต่อเมื่อมาเกิดเป็นผี จึงได้มารู้ว่า อ้อ… ที่เราได้มา เกิดเป็นผีนี่
เพราะโทษที่เรียนมนต์ไสยศาสตร์ มีลูกบอกลูก มีหลานบอกหลาน
เมื่อบวชเข้ามาแล้วให้มันเรียนธรรมวินัย ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อย่าไปเรียนเวทมนต์คาถา
ถ้าใครขืน ไปยึดมนต์คาถาเป็นสรณะที่พึ่ง ตายไปเกิดเป็นผีใหญ่หมด ที่มานี่ไม่ได้มาร้าย
จะมาขออาศัยร่างไปกราบหลวงปู่พุธ สมัยเป็นคนได้เคยขโมยของท่าน จะไปให้ท่านอโหสิกรรมให้”

ทีนี้หลังจากที่หลวงตาไล่มันไม่ออก เขาก็พามันย้อนกลับไป หาหลวงพ่อที่กุฏิ พอไปมันก็ไปนอนพังพาบอยู่ต่อหน้า หลวงพ่อก็เทศน์ให้มันฟัง

“เจ้าเป็นวิญญาณภูตผีปีศาจร้าย เข้ามาสิงกายมนุษย์ ทำให้จิตใจเขาไม่เป็นปกติ
ไม่เป็นอันทำมาหาเลี้ยงชีพ เจ้ากำลังสร้างบาป จะลงนรกนะ เจ้าเป็นผีใหญ่มันก็ทุกข์ทรมานพอแรงแล้ว
ยังอุตส่าห์จะมาสร้างบาปสร้างกรรมลงนรกอีก มันก็ยิ่งจะหนักเข้าไปอีก หรือว่าเจ้าทำผิดอะไรต่อข้า
ข้าอโหสิกรรมให้หมด ไม่ให้เจ้าเป็นบาปเป็นกรรม บุญกุศลสิ่งใดที่ข้าบำเพ็ญมาด้วยกาย วาจา จิต
ตั้งแต่เล็กจนแก่ ข้าขอประมวลมาอุทิศให้เจ้าเป็นผู้มีส่วน เจ้าจงอนุโมทนาบุญกับข้า แล้วไปเกิดดีถึงสุขเสีย”

ขาดคำ ผีออกทันที พอผีออก เจ้านั่นก็ลุกปุ๊ปปั๊บเดินหนีไป เลย ไอ้เราก็อดที่จะนึกตามหลังไม่ได้ว่า
อ้อ! มิน่า มันไม่รู้จักกราบพระกราบเจ้า ดังนั้น ผีจึงได้เข้าสิงมัน

อันนี้เป็นประสบการณ์ที่ได้ประสบมา เพราะฉะนั้น ใครเอามนต์มาให้ ว่ามนต์นี้กันผีกันปอบอะไร
อย่าไปสนใจ บทอิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโน พรหมวิหาร นี่แหละ เป็นคาถากันผีกันปอบได้อย่างดี
ถ้าเรายึดมั่นในบทสวดมนต์นี้อย่างแน่วแน่ เวลามีผีเข้าสิงคน เราไปเทศน์ให้มันฟังอย่างที่หลวงพ่อเทศน์ให้ผีมันฟัง
แล้วมันก็จะออก แต่ว่าอย่าลืมให้ส่วนบุญส่วนกุศลเขา

ฐานิยปูชา ๒๕๕๒ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
http://www.palungdham.com

ผีแม่ลอย

พักอยู่คืนหนึ่งก็ออกจากบ้านลุงไปวัดโนนนิเวศจังหวัดอุดรธานี พักกับแม่ชีดี ญาติของสามี ซึ่งเราเรียกว่าย่า ที่กุฏิแม่ชีลอย เจ้าของกุฏิเพิ่งตายไปใหม่ๆ ได้ยินเจ๊กคนหนึ่งพูดว่า เมื่อคืนแม่ลอยมาหลอก ไม่ได้นอนทั้งคืน ตกใจมาก จะทำอย่างไรดี แม่ชีดีพาสามีไปหาอาจารย์กู่ เราก็อยู่กุฏิคนเดียว

พอดีมืด เรายิ่งกลัวมากเกือบจะอยู่ไม่ได้ ก็ได้ยินเสียงดังขลุกขลักๆ อยู่บนหลังคากุฏิ คิดว่าแม่ลอยมาแล้ว กลัวจนตัวสั่น กระโดดลงมายืนสั่นอยู่ข้างล่าง อยากจะวิ่งไปหาคุณย่าที่วัด แต่ไม่กล้ากลัวถูกดุ แข็งใจกลับขึ้นไปกุฏิ มีเสียงดังอีก คว้าได้ไม้คานกระทุ้งหลังคาสังกะสีเต็มแรง ตุ๊กแกตัวใหญ่ตกลงมา นี่หรือแม่ลอย เจ๊กใส่โทษแม่ลอย แม่ลอยตายแล้วไม่ดีทั้งนั้นใครๆ ก็ใส่โทษแต่คนตาย ตายแล้วว่าเป็นผี ผีตายแล้วไปหลอกเขา เรานั่งพิจารณาตุ๊กแกอยู่ มันไม่ใช่แม่ลอย ตุ๊กแกตัวนี้จริงๆ นะ จิตค่อยอุ่นขึ้นมา หายหนาวสั่น

ต่อมาย่าบอกให้ไปเดินจงกรม โอ๊ย ขนหัวลุกซู่ ค่อยขยับทีละน้อยๆ ไม่อยากไป ย่าโกรธดุขึ้นว่า ท่าอย่างนี้ข้าไม่เอาเจ้าข้ามแม่น้ำโขงให้เสียหน้าเสียตา ย่าบ่นอย่างนั้นอย่างนี้ไปต่างๆ นานา เรายืนแอบเสาก้าวขาไม่ออก จิตก็คิดว่า รู้ว่าเขากลัว ทำไมไม่ออกมานั่งเป็นเพื่อนข้างนอกให้เขาอุ่นใจ หนีเถอะ หนีไปที่ป่าช้า ไปตายเสียคนเดียวอย่าอยู่เลย กลัวมากที่สุดไม่กล้าลืมตา ค่อยๆ เดินไปหลับตาไป เดินเข้ารกเข้าพง ก็หรี่ตาน้อยๆ แล้วรีบหลับตาอีก เดินไปจนสุดทางเดินจงกรม จะกลับก็ไม่กล้า จะเดินก็ไม่ได้ จะวิ่งก็กลัวผีตาม พุทโธไม่มี ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ ตัวสั่น เสื้อผ้าเปียกชุ่มโชก ไม่รู้เหงื่อมาจากไหน เดินไม่ได้ก็ไม่เดิน นั่งตายเสีย ณ ที่นี้ จิตบอก “อย่าวิ่งนะจะเป็นบ้า อย่าวิ่งเป็นอันขาด” ลงนั่งสั่นงกๆ งันๆ

แล้วมาพิจารณาดูว่า เราเหนื่อยมากอย่างนี้ มันจะตายอยู่แล้ว ถ้าหมดลมก็เป็นผีเหมือนเขา เขาว่าผีหลอก เขาโทษเจ้า ผู้หนึ่งว่าจะกลัวทำไม ว่ามีลมทำไมเรียกว่าคน หมดลมแล้วทำไมเรียกว่าผี คนหนึ่งตอบขึ้นมาว่า นั่นแหละเรื่องของโลกเป็นอย่างนั้น มันหลงอย่างนั้น นี่เราหลงหรือ ถ้าหลงจะปฏิบัติธรรมได้หรือ ไม่ใช่หลงแต่เจ้าหรอก มันหลงด้วยกันหมดทั้งโลก” ใจเราค่อยกว้างขึ้นนิดหน่อยว่าหลงทั้งโลก ไม่เป็นแต่เราคนเดียว จับเอาคนกับผีมาพิจารณา มีแต่เรื่องสมมุติ สมมุติว่าผู้หญิงผู้ชาย สมมุติว่าตัวว่าตน สมมุติว่าญาติ พิจารณาอยู่เพียงสองเรื่อง ผีหายไปไหนไม่ทราบ

กลางวัน ฉันจังหันแล้วไปนั่งพิจารณาอยู่กับโลงผี กระดานสำหรับนั่งพิจารณาก็เป็นโลงเก่าของผี ฝากั้นก็ของผี ที่นั่งก็ของผี ที่นอนก็ของผี รอบตัวเรามีแต่ของผี จะไปกลัวมันทำไม

มันก็กลัวละซี่ นั่งภาวนากับหลุมผี จิตมันกลัวผี มันก็ค้นเข้าหาผี ระมัดระวังตั้งจิตจดจ่ออยู่กับผี จิตมันไม่ไปไหน จิตก็ดิ่งลงหาผี พิจารณาว่าผีอยู่ที่ไหน ตายแล้วไปไหน จิตอยู่กับร่างหรือ เข้าร่างหรือ จิตตอบว่า ถ้าทำดีก็ไปดี ถ้าทำชั่วไปตกหม้อนรก แล้วมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน พิจารณาไปไม่มีอะไร ผีหายไป จิตรวมลง จิตแก่กล้าขึ้น ค้นหาเหตุผลเรื่องผี จิตสงบ เวลาจิตถอนขึ้นมา จิตอิ่มเอิบเกิดปีติ ไม่มีผี

อยู่วัดโนนนิเวศได้ ๓ เดือนพอดี หลวงพ่อมหาทองสุขมาจากสกลนคร แกฝันว่าแม่ชีจันทาบอกให้ไปขอบวช รุ่งขึ้นเป็นวันพระ ๘ ค่ำ จึงจัดดอกไม้ธูปเทียนไปขอบวชกับท่าน ท่านบวชให้เรา แล้วท่านก็มาสกลนคร เจ้าคุณธรรมเจดีย์ไปสกลนคร ท่านก็นิมนต์หลวงพ่อปลัดทองสุขมาจำพรรษาที่วัดโนนนิเวศอีก เมื่อหลวงพ่อปลัดทองสุขเป็นสมภารอยู่วัดโนนนิเวศ เราก็อยู่ด้วยกับท่าน

เราอยู่กับย่าต้องผจญกับการโกรธ และการด่าว่าของย่าอยู่เป็นประจำ เราก็มาคิดอยู่ในใจของเราเองว่า เป็นแม่ชีแล้วทำไมเขามาใช้แต่ความโกรธของเขาประจำวันอยู่อย่างนี้ อะไรๆ เราก็ทำเสร็จแล้วทุกอย่าง แต่ยังไม่ทันถามก็มาโกรธเราก่อนอย่างนี้ เมื่อเราตอบว่าเสร็จแล้วจึงหยุด เราก็ร้องไห้วันละสามสี่ครั้ง ประจำวันมีแต่คำหยาบช้าลามกกระทบกระแทกแดกดันด่าว่าก่อนทั้งนั้นจึงถามทุกครั้ง คนอื่นเขาเมตตา เขาก็ว่าจะไปฝากอาจารย์มั่น เราก็ไม่ไป เราคิดว่าเราได้มาบวชก็เพราะเขาพามา เราจึงได้มา เราคิดว่าอย่างไรก็ช่าง เขาไม่ฆ่าแล้วก็จะอดทนเอา เขาจะด่าเราไปถึงไหนก็แล้วแต่ ถ้าว่าน้ำตาเราไหลออกมา ข้าขอถวายคุณของพระพุทธเจ้า คิดอย่างนี้อยู่ก็ยังทนไม่ไหว ยังร้องไห้อยู่ทุกวัน เพราะเราว่าเราดี ไม่เคยได้ประสบอย่างนี้ มันก็มีแต่ร้องไห้อยู่เรื่อยไป เพราะเราเจอแต่ของดีมาก่อน เวลาเราเจอของไม่ดีต้องมีความอดทนต่อสู้กับอารมณ์ที่ไม่ดี ต้องมีความอดกลั้นขันติ อยู่ในความสงบอย่างแน่วแน่ มันก็จะเกิดปัญญาขึ้นมาแก้ไขสิ่งเหล่านี้ออกจากจิตของตนเอง ให้มันสว่างแจ่มใสขึ้นมา ท่านอาจารย์ปลัดทองสุขท่านก็รู้จัก ท่านเทศน์อบรมอยู่บ่อยๆ เรายิ่งกลัวผี เขาก็ใช้แต่ความโกรธยิ่งขึ้น เราก็อยู่กุฏิไม่ได้ อยู่แต่ในป่า ไปอยู่แต่กับหลุมผี ฉันจังหันแล้วก็ไปนั่งอยู่กับหลุมผี นั่งภาวนาหาแต่ผีอยู่อย่างนั้น ไม่ไปทางอดีตและอนาคตเลย จ้องอยู่แต่กับผีอย่างเดียว หูก็ฟังแต่เสียงผี ตาก็มองหาแต่ผี อยู่อย่างนั้นเรื่อยไป มองไปตามหลุมผีอยู่เสมอ

พอบ่ายสามโมงเย็น ก็เลยมาทำกิจวัตรปัดกวาดอาบน้ำแล้วก็ขึ้นไหว้พระสวดมนต์ แล้วก็ลงเดินจงกรมอีกอยู่อย่างนั้น บางครั้งเดินแล้วก็นั่งสมาธิอยู่ที่ทางจงกรมเลยจนถึงหกโมงเช้าจิตจึงถอนขึ้นมา ถ้าฝนไม่ตกก็นั่งอยู่ชานกุฏิ จิตของเราก็รวมอยู่ตามเดิมถึงสว่างจึงถอนขึ้นมาทุกที จิตของเราก็กล้าหาญขึ้นทุกทีเพราะว่าเราได้สอบจิตของตนแล้วว่า อะไรมันตาย ที่เรียกว่าคนตาย อะไรมันตาย ก็ปรากฏว่า พูดกันไปตามสมมุติ พระพุทธเจ้าท่านพูดอย่างไร ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่พูดเหมือนปุถุชน ท่านพูดวาธาตุแตก ขันธ์ดับ มิใช่ว่าคนตายเหมือนคนธรรมดา ท่านว่าธาตุแตก ขันธ์ดับ เราก็คิดว่า ก็คนนี่นา ทำไมว่าธาตุ ก็ธาตุละสิ ก็ธาตุลมออกก่อน ธาตุไฟออกตามหลัง ก็เหลือแต่ดินกับน้ำผสมกันอยู่ ไม่มีไฟกับลมแล้วมันเน่าเปื่อยออกมา

เราก็คิดว่า จิตไปไหนหนอ ผู้หนึ่งก็ตอบว่า “จิตมันไปแล้ว ผู้หนึ่งว่า มันไปไหน มันตายแล้ว ถ้าว่ามันทำดี มันก็ไปทางดี ถ้าว่ามันทำชั่ว มันก็ไปทางชั่วกันเท่านั้น ไม่ใช่ว่ามันจะมาอยู่ในหลุมนี้หรอก อันอยู่ในหลุมนี้มีแต่ดินน้ำเท่านั้น ไม่มีคน ไม่มีผี” เราก็มาคิดว่า ถ้าว่าไม่มีคนตายผีตายอยู่นี้ เราจะไปกลัวทำไม ถ้าเรากลัวดินกลัวน้ำแล้ว เราก็เป็นผู้หลงอยู่ในโลกสมมุติอยู่เรื่อยไปไม่สิ้นสุดไปได้เลย เราคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเราต้องไม่กลัว แต่นั้นมาก็เลยไม่กลัวผีท่าไร อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ ไม่กลัว ท่านอาจารย์ปลัดทองสุขท่านก็เทศนาสอนว่าให้ออกวิเวกบ่อยๆ ตามป่าตามดังที่เราก็คิดว่าท่านจะให้เราไปอยู่ที่ไหนหนอ ถ้าว่าท่านบอกให้เราไปป่าช้า เราจะไปได้ไหมเราคิดว่าหากท่านบอก เราก็ต้องไปละซี ตายแล้ว ถ้าว่าท่านบอกไปป่าช้า เราก็ตายแล้ว เรากลัวมากอย่างนี้ ถ้าท่านบอกไปดอนข้างวัดไม่มีป่าช้าก็ค่อยยังชั่ว แต่เราไม่มีมีดจะฟันไม้ทำที่อยู่สักเล่มเดียวก็ไม่มี คิดอยู่อย่างนี้ อาจารย์ก็พูดขึ้นว่าไม่ใช่อย่างนั้นดอก จะไปดอนนั้นดอนนี้ไม่ใช่ ให้อยู่ตามร่มไม้ในวัดนี้แหละ เราก็ดีใจมาก แต่เราคิดเฉยๆ มิได้ออกปากพูด แต่ท่านอาจารย์ท่านรู้ในความคิดของเรา ต่อมาจิตของเราก็มีความสามารถอาจหาญขึ้นมาทุกวัน

เรื่องของคุณแม่ชีพิมพา
ผจญกับความกลัวอย่างสุดขีด
http://www.dharma-gateway.com

ท่านพ่อลีปราบผี

ออกพรรษาแล้ว ได้รู้ธรรมะก็นึกอยากจะไปโปรดโยมพ่อบ้าง จึงเดินธุดงค์
ผ่านไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งเรียกว่าบ้านโนนแดง ไปพักอยู่ใกล้ศาลเจ้าดอนปู่ตา พักอยู่
คนเดียวในป่านั้น ญาติในหมู่บ้านทราบเรื่อง จึงได้ส่งข่าวไปถึงโยมพ่อ

รุ่งเช้าโยมพ่อรีบเดินทางมาหา พ่อเห็นเราเข้าเท่านั้น ท่านแสดงอาการดีใจเป็น
อย่างมาก ด้วยความรักที่ท่านมีต่อเรา ท่านจึงรีบให้คนไปฆ่าไก่ ๒ ตัว ทำภัตตาหาร
มาถวาย เราเสียใจเหลือเกินที่ไม่ได้ฉันให้ท่านสักคำ เพราะถือว่าเป็น อุทิสสมังสะ คือ
เนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าเจาะจงเพื่อถวายพระภิกษุ พระพุทธเจ้าท่านห้ามไม่ให้พระภิกษุฉัน
หากภิกษุฉันทั้งได้เห็น ได้ยิน หรือสงสัยว่าเขาฆ่าเพื่อถวายตน ต้องอาบัติทุกกฏ โยม
พ่อจึงต้องนั่งก้มหน้ากินคนเดียว

เราได้กล่าวสอนโยมพ่อและญาติพี่น้องว่า
“พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้ฆ่ากินสัตว์ ๒ ชนิด คือสัตว์ใหญ่ที่มีคุณอย่างหนึ่ง
ได้แก่ ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นต้น เราเบียดเบียนใช้งานเขาแล้วก็ยังไม่พอ
ยังจะกินเลือดเนื้อของเขาอีกไม่บังควร
อีกอย่างหนึ่ง สัตว์ที่แปลกประหลาด เช่น ช้างเผือก โคเผือก กาเผือก ฯลฯ
เป็นต้น เพราะสัตว์เหล่านี้อาจเป็นพระหรือผู้มีบุญ (แต่ยังมีบาปกรรมอยู่) มาเกิดก็ได้
พรุ่งนี้ให้พวกเราพากันมาทำบุญตักบาตรพระ แต่อาตมาของเตือนญาติโยม
อย่างหนึ่งว่า ไม่ให้ใครฆ่าเป็ดฆ่าไก่มาทำบุญเป็นอันขาด ใครมีผักหญ้าปลาเค็มอะไร
ก็ให้ทำมาตามที่มี”

หลังจากเสร็จเรื่องภัตกิจแล้ว โยมบิดานิมนต์ให้มาพักอยู่ที่ป่าช้าบ้านเกิด
ซึ่งเป็นป่าช้าที่มี “ผีดุ” ตามความเชื่อของชาวบ้าน แต่เราก็มิได้หวาดกลัวอะไร
คงพักอยู่เป็นเวลาหลายวัน
ระหว่างพักอยู่ที่ป่าช้าอันแสนน่ากลัวแห่งนั้น มีญาติโยมจากที่ต่างๆ ที่ทราบ
กิตติศัพท์จึงพากันเดินทางมาฟังเทศน์ เราพยายามชี้แนะให้พวกเขาเลิกการเชื่อถือ
ผิดๆ ในประเพณีเซ่นสรวงอันไร้เหตุผล เช่น บูชาพวกผีปอบ ผีกระสือ ผีไท้ ผีแถน
ตลอดจนผีปู่ตาในดงเนินบ้านเก่าและในที่พักให้พวกเขาหันมายึดมั่นในพระไตรสรณคมน์
ไม่ไปเซ่นสรวจบูชาพวกผีเหล่านั้นอีก
อีกทั้งยังได้สวดมนต์แผ่เตตาขจัดปัดเป่า เอาคุณพระเข้าช่วยเป็นกำลังใจให้
แก่ชาวบ้านทั้งหลาย
นอกจากนั้นเรายังได้บอกประกาศแก่พวกผีว่า ถ้าผีมีจริง ต้องเป็นผู้ไม่กินของ
เซ่นอย่างนี้ ให้รับส่วนบุญกุศลดีกว่า มิฉะนั้นจะต้องบังคับให้หนีโดยเด็ดขาด ต้องใช้
อำนาจทางธรรมเข้าช่วย

สุดท้าย เราก็พาชาวบ้านเผาศาลผีปู่ตาจนเกลี้ยง สอนให้พวกเขาเลิกละการเชื่อ
ถือผิดๆ มนต์กลที่เป็นเดียรัจฉานวิชาต่างๆ
วันๆ มีแต่กลุ่มควันเผาเครื่องเซ่นสังเวยต่างๆ ซึ่งมีอยู่เกลื่อนกลาดดาษดื่น
ทำเอาชาวบ้านบางคนถึงกับเสียขวัญ… ขวัญกระเจิงทั้งคนทั้งผี กลัวว่าจะเกิด
ความไม่ปลอดภัยแต่ตน
เราจึงได้เขียนบทแผ่เมตตาแจกจ่ายให้ทุกคน แล้วให้ท่องจำติดบ้านไว้บูชา รับรอง
ว่าจะไม่เป็นอะไร จากนั้นมาชาวบ้านทั้งหลายก็อยู่กันอย่างสงบสุขร่มเย็น โดยไม่มี
อะไรร้ายแรงเกิดขึ้น ป่าดงดอนปู่ตาที่ว่ามีผีดุนั้น ก็ได้กลายเป็นเรือกสวนไร่นาไป
เป็นชุมชนหมู่บ้านไปหมดแล้ว
การที่เรานำพาพี่น้องละการเชื่อถือในสิ่งที่ผิดมาตั้งแต่โบราณนั้น เป็นข่าวที่อื้อ
ฉาวโด่งดังไปโดยทั่วเมืองอุบลฯ จึงเกิดมีคนอิจฉาริษยา พยายามหาวิธีขับไล่ใส่ร้าย
โดยวิธีการสกปรกต่างๆ เช่นมีพระบางรูปไปฟ้องนายอำเภอ ด้วยกล่าวหาว่า
“เราเป็นพระจรจัด”

ถึงเหตุการณ์จะเป็นเช่นไรก็ตาม เราก็ไม่หวั่นกลัวในโลกธรรมเหล่านั้น เพราะ
ถือว่าการที่เรามาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ไม่ได้มาสร้างความชั่ว แต่มาทำความดี มาอบรม
ชาวบ้านให้เกิดปัญญาหูตาสว่างในทางธรรม
วันหนึ่งท่านนายอำเภอได้ออกมาตรวจราชการและได้พักค้างอยู่ในหมู่บ้านนี้ด้วย
ท่านนายอำเภอได้สอดส่องพฤติกรรมความประพฤติของเราท่านได้กล่าวว่า

“พระที่กล้าสามารถอบรมสั่งสอนญาติโยม ให้เข้าใจพระธรรมอย่างนี้หาได้ยาก
จึงขอนิมนต์ให้ท่านอยู่ไปตามสบาย”

ผลที่สุดทางอำเภอก็เห็นความดีความงามที่เราหมั่นเพียรทำ และเลื่อมใสศรัทธา
ตามไปด้วย
ตั้งแต่บัดนั้นมา เราได้พักอยู่ในหมู่บ้านนั้นอย่างสงบ ไม่มีเรื่องอะไรกวนใจ
ให้เสียอารมณ์ธรรม

คัดลอกจากหนังสือ พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตกล้าแข็ง (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)

พระไตรสรณคมน์ปราบผี

มีอยู่วันหนึ่ง หมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านนามนนี้เท่าไรนัก เกิดมีการลือว่าผีปอบกำลังอาละวาดและมีผีป่าเข้าผสม มีการตายกันไม่เว้นแต่ละวัน ชาวบ้านได้มีความเชื่อว่าผีอาละวาดจริง ต่างก็พากันครั่นคร้ามหวาดเสียว กลัวกันเป็นการใหญ่ พวกชาวบ้านได้ส่งตัวแทนมาที่ท่านอาจารย์มั่น ฯ ขอให้ไปไล่ผีให้พวกเขาด้วย เมื่อตัวแทนชาวบ้านนั้น มีอยู่ ๓-๔ คนมากราบพระอาจารย์แล้วก็เล่าถึงเหตุเภทภัยที่พวกเขากำลังได้รับอยู่ให้ท่านฟัง

เมื่อท่านได้ฟังแล้วจึงบัญชาให้ผู้เขียนไปจัดการแก้ไขพวกผีปอบ อันที่จริงผู้เขียนก็เคยจัดการเรื่องผีๆ มาหลายครั้งแล้ว มาคราวนี้ท่านอาจารย์มั่นฯมาใช้ให้ไปจัดการทั้งๆ ที่พระเถรอื่นๆ ที่มีความสามารถในทางนี้ตั้งหลายองค์ ทำไมท่านจึงไม่ใช้ให้ไปจัดการ แต่กลับมาให้ผู้เขียน ซึ่งขณะนั้นเป็นพระผู้น้อย มีพรรษาเพียง ๓ พรรษาเท่านั้น ก็คงจะเป็นการทดลองความสามารถหรือดูใจว่าจะเชื่อฟัง ก็สุดที่จะเดา แต่ขณะนั้นผู้เขียนก็เป็นผู้คอยดูแลอุปัฏฐากท่านตลอดเวลา ก็เป็นห่วงจะได้ใครมาแทนการอุปัฏฐาก สำหรับผู้ใคร่อุปัฏฐากก็มีมาก เพราะใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้ชิดตัวท่าน แต่โอกาสไม่ให้เท่านั้น

เป็นอันว่าผู้เขียนเดินทางไป เพื่อจัดการกับผี ได้สามเณรไปเป็นเพื่อนหนึ่งองค์ ไปพักอยู่ที่ป่าใกล้ ๆ บ้านนั้นมีพวกญาติโยมมาแผ้วถางที่อยู่ เห็นเนินปลวกพอที่จะพักชั่วคราวได้ เมื่อพักอยู่ ตกกลางคืนได้มีประชาชนพากันมามากมาย ผู้เขียนสังเกตดูชาวบ้านที่มานั้นดูตื่นๆ คล้ายๆ จะตกใจ เพราะทุกคนเกรงกลัวผี ถึงมันไม่กินเรา มันอาจจะกินลูกเรา เขาคงคิดว่าอาจารย์องค์นี้จะสู้ผีไหวหรือไม่ เพราะดูแล้วก็ยังหนุ่มเด็กอยู่เลยถ้าไม่ไหวพวกเราอาจะถูกผีรุกพวกเราหนักยิ่งขึ้น แต่เขาก็ดูจะมั่นใจว่านี้เป็นศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ฯ คงจะมีความสามารถจัดการกับผีได้ท่านจึงส่งมา

ในค่ำคืนวันนั้นผู้เขียนได้แสดงธรรมให้ชาวบ้านฟัง และให้เขารับพระไตรสรณคมน์ แนะนำความเชื่อถือผิดต่าง ๆ พอสมควรแล้วเขาก็พากันกลับบ้าน ตอนจะกลับผู้เขียนได้เตือนพวกโยมว่า

“โยม คืนนี้อาตมาจะไล่ผีที่มีอยู่หมู่บ้านนี้ จะเป็นผีปอบหรือผีอะไรจะไล่ออกให้หมด และขอให้ทุกคนจงบำเพ็ญภาวนาอย่างที่อาตมาสอนไว้โดยทั่วกัน และในคืนนี้ใครมีประสบการณ์อย่างไร ให้มาบอกอาตมาในวันพรุ่งนี้”

เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจ เมื่อวันรุ่งขึ้นพวกประชาชนในหมู่บ้านนี้ ได้มาเล่าความฝันและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อคืนนี้สุนัขมันเห่าหอนกันตลอดคืน ทำเอาชาวบ้านนั้นไม่ใคร่หลับกันทีเดียว ต่างก็เข้าใจว่าอาจารย์ได้ใช้วิชาอาคมปราบผีแน่นอนแล้ว และเขาก็เล่าความฝันของโยมหลายคนที่ปรากฏการณ์เช่นเดียวกัน เขาฝันว่า พวกผีนับจำนวนร้อย พากันหอบลูกจูงหลาน มีหน้าตาลักษณะต่าง ๆ กันเดินออกจากหมู่บ้านนี้ไป พลางก็พูดกันว่า อยู่ไม่ได้แล้วโว้ย ร้อนเหลือเกิน พวกกูก็อยู่กันมานานแล้ว ไม่เคยถูกใครบังอาจมารังควานเลย คราวนี้กูสู้ไม่ไหว ดูท่าทางของพวกผีบอกว่าเดินหนีกันอย่างรีบร้อน และในความฝันเขาบอกว่า เวลาเดิน ๆ ถอยหลังมิได้เดินไปข้างหน้า เหมือนคนเรา

มันเป็นการได้ผลรวดเร็วเกินคาด ทำให้จิตใจของชาวบ้านนี้เกิดความเชื่อมั่นในตัวผู้เขียนมากทีเดียว และเขาทั้งหลายก็เชื่อแน่ว่า พวกผีมันไปกันจริง ๆ โดยอาศัยความเชื่อมั่นนี้ ทำให้หมู่บ้านเกิดความสงบเงียบ ได้รับความสุขสบายอย่างยิ่งเพียงชั่ววันเดียว บรรยากาศที่เคยคุกรุ่นด้วยความหวาดเสียว และหวาดระแวงด้วยความกลัวผี ก็หายไปจากหมู่บ้านนี้ยังกะปลิดทิ้ง

ในครั้งนั้นปรากฏว่า ชาวบ้านที่อยู่กันเป็นหมู่ ๆ ใกล้เคียงยิ่งได้ร่ำลือกันว่าผีออกจากบ้านนี้แล้ว มันกำลังบ่ายโฉมหน้าไปโน้น หมายความว่าจะต้องผ่านหมู่บ้านใกล้เคียงเหล่านั้น ต่างก็ตกใจ นึกว่าคงจะมาอยู่กับพวกเรากระมัง พากันมายังผู้เขียนเป็นการใหญ่ ผู้เขียนก็พานั่งสมาธิและแสดงธรรมให้เขาฟัง แต่พวกเขาได้พูดว่า ขอให้ท่านช่วยส่งพวกผีให้พ้นหมู่บ้านของพวกผมด้วยเถิด ผู้เขียนเห็นเป็นโอกาสดี เลยบอกว่าต้องมาฟังเทศน์ทำสมาธิภาวนารักษาศีล พวกเขาเหล่านั้นก็ทำตามทุกอย่าง ซึ่งขณะนั้นจะให้เขาทำอะไรก็ยอม เป็นการให้พวกเขาได้รับธรรมจากผู้เขียนมากทีเดียว จึงนับว่าได้ประโยชน์ไม่น้อยเลย และในเวลาอันรวดเร็วด้วย เมื่อได้ทำพิธีต่าง ๆ เป็นการไล่ผีที่พวกเขาเข้าใจผิดจนรู้เหตุผลในเรื่องนี้ดีแล้ว อยู่กับเขาประมาณอาทิตย์เศษ เรื่องความวุ่นวายของ“ ผีปอบ” ได้สงบลง เป็นความยินดีปรีดาของชาวบ้าน

หายความหวาดผวาแล้ว ผู้เขียนก็ลาพวกเขากลับมาที่บ้านนามน เพื่อพบกับพระอาจารย์มั่น ฯ เข้าประจำหน้าที่เป็นอุปัฏฐากตามเดิม เมื่อพบพระอาจารย์ในวันนั้น ท่านได้ถามว่า

“วิริยังค์ได้แก้มิจฉาทิฏฐิสำเร็จหรือไม่”

ผู้เขียนตอบอย่างภาคภูมิว่า “ได้แก้สำเร็จแล้วทุกประการ”

ท่านได้พูดเสริมต่อไปว่า

“นี้แหละคือประโยชน์และพระภิกษุสามเณรผู้บวชมาแล้วในพระพุทธศาสนา นอกจากจะทำประโยชน์แก่ตนแล้ว ก็ควรจะได้ทำประโยชน์ผู้อื่นต่อไป จึงจะเป็นการเชิดชูไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา บางคนเขาว่าพวกเราอยู่ในป่า บ้านนอกบ้านนา เอาแต่ความสุขส่วนตัว ได้รู้ธรรมเห็นธรรมแล้ว ก็หลบตัวซ่อนอยู่ในป่าเขา ไม่ทำประโยชน์แก่ส่วนรวม ความจริงแล้วพวกเราก็ทำประโยชน์ส่วนรวมกันแล้วทุกองค์ เพราะชาวบ้านนอกบ้านนาที่ยังต้องการผู้เข้าใจในธรรมทั้งส่วนหยาบและละเอียดมาสอนเขา หากพวกเขาไม่มาแนะนำในทางที่ถูกอันเป็นส่วนหยาบและละเอียดแล้ว ก็จะหลงเข้าใจผิดกันอีกมาก นี้แหละคือการทำประโยชน์แก่คนบ้านนอกบ้านนา จะคอยให้เจ้าฟ้าเจ้าคุณผู้ทรงความรู้ในกรุงในถิ่นที่เจริญมาสอนนั้นเห็นจะไม่ไหว เพียงแต่ท่านเดินทางด้วยเท้าสักหนึ่งกิโลสองกิโล ก็ไม่เอาแล้ว พวกเราจึงได้ชื่อว่า ได้มีส่วนช่วยทำประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง ที่ใครอื่นเขามองไม่ใคร่เห็น”

ผู้เขียนนั่งฟังท่านอธิบายก็ซาบซึ้งใจเป็นหนักหนาและเข้าใจอะไร ๆ หลายอย่าง เกี่ยวกับส่วนตัวและส่วนรวม

ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ฉบับสมบูรณ์ โดยพระอาจารย์วิริยังค์
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/monk-hist-index-page.htm

พระอาจารย์สีโหปราบมาร

อาจารย์สีโหท่านเป็นนิสัยมีตลก ๆ นิด ๆ นี่ละมันเป็นไปตามนิสัยนะ ไปบวชแล้วมันก็ติดไปนั้นละ โกนแต่ผมออกนิสัยไม่ได้โกนออกมันก็ติดไปด้วย ท่านเที่ยวกรรมฐานมาอำเภอน้ำพองนี่ แต่ก่อนอย่าไปถามเรื่องถนนหนทาง มีแต่ดงแต่ป่า เที่ยวไปได้หมด ท่านเที่ยวมาทางอำเภอน้ำพองกับเณรองค์หนึ่ง ท่านพักอยู่บ้านนี้แล้วบ้านฟากกันไปนั้นเขาก็มานิมนต์ท่าน เพราะที่นั่นมันแรง ที่เขาจะนิมนต์ท่านไปพักที่นั่นมันแรงจริง ๆ เขาก็มาบอกว่าที่นั่นมันแรง ใครไปอยู่ที่นั่นไม่ได้แหละเขาบอก แล้วเขาจะนิมนต์ท่านไปพักอยู่ที่นั่น

เออ มันแรง อาตมาชอบแรง ๆ นั่นละ นั่นละนิสัยตลกอยู่ในนั้น อาตมาจะไปปราบมัน ท่านพูดตลก ตลกอยู่ในนั้นละ แต่ความจริงจริง ๆ ท่านก็ไม่มี มันเป็นนิสัย บ้านอะไรน้าเราก็ลืมชื่อเสีย เรียกว่ามันเป็นดงเป็นดอน เหมือนว่าเป็นเกาะหนึ่งที่เขาแตะไม่ได้ นอกนั้นเขาทำไร่ทำนารอบ ๆ ที่นี้แม้แต่ต้นไม้ไปฟันไปบุกก็ไม่ได้นะ ผีมันแรง ท่านว่า เอ้อ อาตมาจะไปปราบให้ เป็นนิสัยตลก

บอกวันแล้วเขาก็มารับท่านไปที่ป่านั้น เขาเรียกป่าละเมาะ แต่มันเป็นต้นไม้สูง ๆ ไม่มีใครไปแตะต้องเลยตรงนั้น ท่านไปพักที่นั่น พอไปถึงตอนเย็นประมาณสัก ๔ โมงเย็น พวกสัตว์เขาก็มาตามประสาของเขานั่นแหละ ท่านหากตีความหมายไปถึงเรื่องผีหมดเลย ควายกำลังคึกคะนองมันก็มานี้ ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ โห้ ตั้งหน้าสู้กันแต่วันนักนะ คือตั้งหน้าสู้กันแต่วันเลย ควายมันก็ผ่านมาไปหาเพื่อนฝูงของมัน ท่านเดินมาหัวจงกรม เอ้อ วันนี้ตั้งเค้าแต่วันนักนะ ทีนี้เดินอยู่ไม่นาน สักเดี๋ยวไก่ป่าก็มาอีกแหละ ก็ป่าไก่ป่าอยู่ที่นั่นจะไม่ให้เขามายังไง แต่ท่านตีความหมายเป็นผีไปหมด โห นี่เปลี่ยนเป็นไก่นะที่นี่ ทีแรกเป็นควายมา ควายก็ไปแล้วแหละ ไปตามประสาของมัน ทีนี้ไก่มันก็มา โห้ นี่เปลี่ยนจากควายเป็นไก่เชียวเรอะ พอมืดประมาณสัก ๓ ทุ่มโยมเขาก็มาหา พอเขาหลบไปแล้ว ท่านเข้าที่ภาวนา ท่านจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามขึ้นอยู่กับนิสัยนะ มันหากเป็นเองตามนิสัยกิริยาแสดงออก

พอญาติโยมไปกันหมดแล้ว เณร เตรียมเข้าที่ วันนี้จะพาปราบมาร ให้เณรเตรียมเข้าที่ อยู่กันคนละที่ ไม่นานนักเสียงเณรร้องแว้ก ๆ ท่านก็ลุกจากที่ เป็นยังไงเณร โถ มันเหมือนช้างเอางวงมากวาดมุ้ง กวาดเณรด้วย มันกวาดมุ้งเข้ามากวาดเณรด้วย ผมกลัวก็ร้องล่ะซี เฮอะ ถ้าว่าเก่งจริงไปเล่นกับเณรทำไม ไม่มาสู้กับกูวะ นี่ละตอนขบขันตรงนี้ละนะ เณรก็เงียบไป ทางนี้ก็เข้าที่ นี่ตอนมันสำคัญ ท่านนั่งภาวนาสวดคาถาไหนต่อคาถาไหน สวดท่าต่อสู้มันเป็นโลก ถ้าสวดเป็นธรรมไม่ได้ต่อสู้อะไร เรียกว่าเป็นธรรมล้วน ๆ ฤทธาศักดานุภาพก็เต็มสัดเต็มส่วนของธรรม ถ้าสวดเพื่อจะต่อสู้นั้นต่อสู้นี้ นั้นเป็นกิริยาของโลกไม่ใช่ธรรม

อันนี้มนต์บทไหนขลัง ๆ ท่านเอามาสวดหมด เตรียมท่าไว้ ทีนี้พอไม่นานนะ จากเณรมาแล้วมาถึงที่พักท่าน คราวนี้มันไม่ได้เป็นช้างซี เป็นฟ้าผ่า คือเหมือนฟ้าผ่าจริง ๆ นี่ เปรี้ยงลงเลย ท่านล้มลง ล้มเองนะ ความรุนแรงที่ว่าฟ้าผ่านี่ เปรี้ยงล้มลงทางนี้ โห้ เอาจริง ๆ เหรอ ตั้งท่าสวดอีก ก็เปรี้ยงลงทางนี้อีก ๒ ครั้ง ทางนี้ก็ยิ่งเอาใหญ่ละ ถึง ๒ ครั้งแล้ว พอครั้งที่สามฟาดข้างหลังหัวคะมำลงไปเลย เฮ้อ มันไม่ถอยนะนี่ เอ้า มันไม่ถอยกูก็ไม่ถอย กูก็จะเอาใหญ่วันนี้ พอฟาดครั้งที่สี่ เปรี้ยงข้างหน้านี้หงายหลัง ๔ ครั้ง เณร ๆ เรียกเณร เณรเปิดหนีกลางคืน ได้เผ่นหนีกลางคืนจริง ๆ ไม่ใช่พูดเล่น นั่นละรุนแรงไหมล่ะ

นี่ละพวกกายสิทธิ์กายทิพย์อย่างนั้นละเวลาแสดง ให้เห็นตัวปั๊บเห็นทันที หายวับทันทีเลย แล้วก็เปิดหนีเลย พวกโยมเขาไปตามเอามา มาอะไร ที่นั่นไม่ดีภาวนาไม่สะดวก ไม่บอกนะกลัวผี ผีปราบไม่พูดนะ ที่นั่นไม่ดีภาวนาไม่สะดวก ไม่เอาแหละ จากนั้นมาท่านก็เล่าให้เพื่อนฝูงฟัง ใครต่อใครมาเล่า ยังไม่มีโอกาส พอมีโอกาส เพราะท่านกับเราสนิทกันอยู่แล้วนี่ กับเราสนิทกัน ไหนท่านอาจารย์ที่นี่ จะเอาจริงเอาจัง ว่าอย่างนั้น เรื่องราวเป็นยังไง เคยได้ยินเรื่องอย่างนั้น ๆ มา แล้วท่านอาจารย์เป็นยังไง อย่ายุ่ง ๆ ของล่วงแล้วอย่ายุ่ง บอกว่าของล่วงแล้วอย่ายุ่ง ไม่พูด อย่ายุ่ง ก็มีตลกอยู่ในนั้นแหละนิสัยของท่าน อย่ายุ่ง ๆ ของล่วงแล้ว ความจริงคือกลัวขายหน้า ก็เราจะซักจริง ๆ นี่เข้าใจไหม ตกลงก็เลยว่าอย่ายุ่ง ๆ ของล่วงแล้ว

นี่พูดถึงเรื่องพวกกายสิทธิ์กายทิพย์เป็นไปได้ทุกอย่าง พวกนักจิตตภาวนาที่มีความเชี่ยวชาญทางนี้ท่านไปถามใครเมื่อไร ก็อย่างเห็นกันอยู่อย่างนี้ ๆ ท่านจะถามอะไร เห็นภายในมันยิ่งชัดกว่าเห็นภายนอก เพราะฉะนั้นถึงว่าพวกกิเลสตัณหามันลบตาลบหูลบจิตใจของสัตวโลกนี่ซิ มันถึงจมลงแต่นรก ๆ พระพุทธเจ้ามารื้อฟื้น คือคำสอนพระพุทธเจ้ามีแต่จริงล้วน ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ ตลอดไปเลย เรื่องของกิเลสนี้ปลอมล้วน ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ นั่นละฟังซิ นี่ละที่มันลบล้างสัตวโลกอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละครั้ง ๆ เป็นระยะ ๆ แต่ส่วนกิเลสฝังหัวใจสัตว์ ปิดหูปิดตาปิดใจสัตวโลกนี่มันปิดตลอดเวลา เวลาพระพุทธเจ้ามามันก็จางไป

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
http://www.luangta.com
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓
(คัดลอกมาบางส่วน)

พระป่าผจญผีสาว

การปฏิบัติต่อหมู่ต่อเพื่อนเราก็นำหลักการปฏิบัติของเราที่เคยดำเนินมาแล้ว และครูบาอาจารย์พาดำเนินมา เราก็ยึดมาจากครูบาอาจารย์มาสอนหมู่เพื่อนปฏิบัติต่อหมู่เพื่อน ถ้ามันจำเป็นต้องไปเช่นบ้านคนตาย กุสลา มาติกา มันแยกกันไม่ออก เขาติดสันดานมาตั้งแต่เกิด นี่จะว่ายังไง อย่างนี้มันฝังลึก เราก็อนุโลมไปเสียเราก็รู้ อันไหนที่ควรลดหย่อนผ่อนผัน พอถอดพอถอนได้ ให้เบาบางลงไปกว่านั้นเราก็ทำ อันไหนไม่พอจะเป็นไปได้ เราก็ปล่อยไปเสียตามนั้น เพราะเป็นชั่วกาลชั่วเวลาเท่านั้น

เขาถือเป็นอย่างยิ่งไม่ว่าภาคไหนในเมืองไทยเรานี้ เมื่อคนตายแล้วต้องเกี่ยวกับพระ พูดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ระลึกถึง พระองค์ที่ว่ากล้าหาญเต็มที่ ขี้ขลาดเต็มตัวจนจะตาย ท่านไปภาวนาอยู่ในถ้ำ อดอาหาร เที่ยวไปนั่งอยู่ตามทางเสือ ทางอะไรนั่นแหละ น่าเสียดายนะพระองค์นี้ ถ้าหากว่าจิตใจได้เหนี่ยวรั้งครูอาจารย์ไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์จริง ๆ ก็จะไม่เสีย นี้สึกไปแล้ว ทราบว่าสึก แต่ผมไม่เห็น ได้ทราบว่าสึก

แต่ก่อนแกเคยเป็นนักเลง จิตใจ อู๋ย เด็ดมาก สมเป็นนักเลง ว่าไป -ไป ว่าอยู่ -อยู่ จริงจังมากทีเดียว ตอนแกปฏิบัติตัวเอง แกก็จริงจัง กลัวผีนี้เป็นเบอร์หนึ่ง เวลาจะแก้ แก้จนกระทั่งกล้าหาญเบอร์หนึ่งเหมือนกันในตัวเอง ไม่มีสะทกสะท้านเลยเรื่องผี ไปที่ไหนอยู่ได้หมด เพราะการแก้ได้ ไม่ใช่มันหายไปเฉย ๆ หายด้วยอุบายวิธีแก้ด้วยธรรม มีความรู้แปลก ๆ เหมือนกันพระองค์นี้ เวลานั่งภาวนากลางคืน เขาตายในบ้านรู้แล้ว เอ้อ ! วันพรุ่งนี้จะมายุ่งเราอีกแล้ว นี่คนตายแล้วในบ้าน นั่นท่านรู้นะ แล้วจริง ๆ

แถวนั้นก็ไม่มีพระ สถานที่อยู่ ถ้ำกับป่าช้าห่างกันเท่าไร กี่กิโล ตั้งห้าหกกิโล ลงไป ข้าวก็ไม่ได้กิน แทบล้มแทบตาย เมื่อยล้าก็ต้องได้ไป นี่แหละเรียกว่ามันแยกกันไม่ออกอย่างนี้ คนตายรายใดเป็นรู้ แปลกอยู่นะพระองค์นี้ท่านบอกนะ มันรู้ และแน่ด้วย ถ้าสมมุติว่าเป็นแบบโลก ๆ ก็ว่าพนันกันได้เลย บ้านนี้เขาตายแล้วคืนนี้เขาจะมานิมนต์เราแล้ว บางทีก็มีเทพ พวกเทพมานะ ท่านก็พูดถึงเรื่องเทพดีเหมือนกัน เทวดาที่อาศัยอยู่ตามถ้ำ ไม่ใช่เป็นรุกขเทวดา รักษาดินว่างั้น อันนี้แกไม่มีเรียนมากนะ มันเป็นขึ้นตามนิสัย

อย่างนี้แหละจิตเมื่อมีความสงบเข้าไปแล้ว ไอ้เรื่องนิมิตต่าง ๆ ที่จะมาปรากฏตามจริตนิสัย หรือไม่ปรากฏนั้น ก็เป็นตามจริตนิสัยด้วยกัน ไม่ต้องเรียนอันนี้เป็นขึ้นมาเอง เมื่อเป็นขึ้นมาแล้วนั้นแหละ ต้องเรียนวิธีการปฏิบัติต่อสิ่งนั้นให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นผิดได้ เพราะอันนี้ไม่ใช่ของดีโดยถ่ายเดียว ถ้าหากเราได้รู้วิธีปฏิบัติกันโดยถูกต้องแล้ว ก็เป็นเครื่องมือได้ดี อันนี้พวกนักปฏิบัติรู้แปลก ๆ ต่าง ๆ

สมัยที่ปฏิบัติอยู่ด้วยกันนี้ก็เคยเล่าสู่กันฟังสนุกสนานดีเหมือนกัน ที่เราเขียนในปฏิปทาหรืออะไรนั้นมีแต่ความจริงทั้งนั้นนะ เช่น บางองค์อย่างนี้ เขียนเรื่องราวขององค์ไหนออกมา หากแต่เราไม่ระบุเท่านั้นแหละ เอาเรื่องของท่านองค์นั้น ๆ ออกมาเลย เป็นความจริง ๆ เป็นบางรายก็ไปอยู่ ความรู้รู้เหมือนกัน นี่ก็ค้านกันไม่ได้ เอ้าองค์หนึ่งไปอยู่ถ้ำนั้น เอ้าองค์หนึ่งไปอยู่ถ้ำนั้นได้ ๓ คืน เผ่นมาแล้ว

มาหากัน โอ๊ย อยู่ไม่ได้ ไม่ทราบเป็นยังไงมันผีหรืออะไรก็ไม่รู้แหละ ผีกามมาลาก มันเอาศีรษะห้อยลงเพดานถ้ำนี่ มันหย่อนลงมานี้ ต้องขออภัยนะ มันเอานมมาใส่ตัวเรา เอาหัวหย่อนมานี่มาทำ.แผ่กุศลธรรมอะไรมันก็ไม่ยอมรับว่างั้น เจริญเมตตามันไม่รับ มันจะรับแต่กามกิเลส อยู่นี่ ๓ คืนไม่ได้หลับได้นอนเลย มันมาแสดงอยู่อย่างนั้นก็เลยลงไป ไปหาเพื่อนอีก ก็เล่าเรื่องให้ฟัง

เอ้า ถ้างั้นอยู่ถ้ำนี้ผมไปเองนะ พระองค์นั้นก็รู้เหมือนกัน มีความรู้ทางนี้เหมือนกัน ไปอยู่นั่นก็เหมือนกันได้ ๒ คืน เผ่นมาเลย โอ๊ย จริง ๆ เอ๊ มันเทวดาอะไร พวกนี้มันผีอะไรทำไมมันกรรมหนักกรรมหนาเอานักหนานะ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น มีแต่จะเอาท่าเดียว เรื่องกิเลสกับเรื่องกาม กามราคะ ทำอะไร ไม่ยอมรับ เรียกว่าพวกนี้พวกหนาแบบบอกบุญไม่รับ ไม่ค้านกันนะ รู้จริง ๆ ทำแบบเดียวกันแหละว่างั้น ทีแรกองค์นี้เล่าให้ฟังก่อน เอ้า ผมลองดูหน่อย มันเป็นยังไงว่ะ เป็นที่รู้กัน ไป โอ๊ยยอมรับ แน่ะ อย่างนั้นละถ้ามันเห็นเหมือนกันรู้เหมือนกัน ค้านกันได้ยังไง เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นสัญญาอารมณ์ ปุ๊บปั๊บท่านเคยรู้เคยเห็นมาแล้ว เคยเป็นมาแล้วนี่เข้าใจแล้ว เข้าใจวิธีปฏิบัติ

สัญญาอารมณ์ไปหลอกเจ้าของก็มี เช่น บอกไปอย่างนั้น แล้วไปเป็นสัญญาอารมณ์ขึ้นมาก็มี แต่นี้เป็นผู้มีพื้นเพทางนี้อยู่แล้วด้วยกัน เข้าใจด้วยกัน เคยพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เกี่ยวกับเรื่องภูตผีปีศาจอะไรต่ออะไรให้กันฟังจนเคยชิน หรือเป็นที่แน่ใจต่อกันและกันแล้ว เหมือนอย่างว่ามีอะไรอยู่นั้นน่ะผมถึงได้มานี่ เอาเถอะท่านไปดูซิ โอ้ ใช่ แน่ะ ตาเรามีเราก็มองเห็น อ๋อ ใช่ แน่ะเป็นอย่างนั้นจะว่าไง หูเรามีก็ได้ยิน ภายในมันก็เป็นเหมือนกัน

แต่นี้เราพูดเมื่อมันมาสัมผัสแล้วเราก็พูดไปเฉย ๆ ไม่ใช่หลักปฏิบัติ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ควรสนใจ ให้สนใจต่อความเพียรของตนนั้นเป็นสำคัญมาก ให้เอาให้จริงจัง เอ้า ตายก็บูชาเถอะ บูชาพระพุทธเจ้า บูชาพระธรรม เป็นการบูชาเลิศทีเดียว ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺโน โหติ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นชื่อว่า บูชาตถาคต ปฏิบัติก็บูชาได้ ตายก็บูชาได้ เอาให้เห็นความจริง ขุดค้นลงไปถึงเวลาจะขุดค้น สติปัญญามี สิ่งที่มาสัมผัสเหล่านั้นจะเป็นหินลับปัญญาทั้งนั้น ซึ่งแต่ก่อนเป็นข้าศึกมาครอบงำจิตใจเราให้จนจะเป็นจะตายก็มี สติปัญญามันดิ้นของมัน ฟัดกันไปจนรู้ประจักษ์ นี่ถ้าจะพูดแบบโลก ๆ ก็หัวเราะแหะ ๆ ต่อหน้านี่จะว่าไง เพราะมันแก้ของมันได้

นี่อุบายสติปัญญาจึงไม่ใช่เป็นเรื่องเล็กน้อย เวลาเข้าคับขัน เมื่อความตั้งใจ ความมุ่งมั่นของเรามีอยู่แล้ว มันหากแข็งแกร่งของมันเอง เอา เป็นก็เป็น ตายก็ตาย พอมันได้ปักลงอย่างนั้นแล้ว มันเหมือนหินหักพุ่งเลยเทียว สู้ตายไม่เสียดายถึงเรื่องโลก มันเกิดมากับโลกก็ตายไปแบบโลก ๆ นี่เราเกิดมากับโลก เราจะให้เป็นธรรม ตายไปด้วยธรรม ให้ผิดกับโลกตรงนี้ นั่นความคิดเรื่องปัญญาของเราก็ต้องใช้อย่างนั้น

http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=885&CatID=3