Category Archives: กรรม ภพภูมิ โลกนรก โลกสรรค์ โลกเทวดา โลกมนุษย์ พรหมโลก

พิสูจน์ตายเกิดตายสูญ

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส (๓หน)

อนิจฺจา วต สงฺขารา   อุปฺปาทวยธมฺมิโน

อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ   เตสํ วูปสโม สุโขติ.

บัดนี้ จะเริ่มได้แสดงธรรมิกถา อันเป็นโอวาทคำสั่งสอนของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้ท่านพุทธบริษัททั้งหลายฟัง ตามกำลังและโอกาสอำนวย วันนี้เกี่ยวกับการถวายเพลิงศพของท่านพระอาจารย์ฝั้น ซึ่งเป็นพระอาจารย์สำคัญองค์หนึ่ง เวลานี้กำลังจะเสร็จเรียบร้อยลงไปด้วยดี ทำไมท่านอาจารย์ฝั้นท่านก็เป็นพระเหมือนกันกับพระทั้งหลายที่ว่าเป็น ลูกศิษย์พระตถาคต ปรากฏอย่างเด่นชัดในความเป็นพระเหมือนกัน แต่ประชาชนพุทธบริษัททั้งหลายมีความเคารพนับถือ มีความรักความจงรักภักดีต่อท่านมากทั่วประเทศไทยก็ว่าได้ ไม่ว่าทางใกล้ทางไกล ฐานะสูงต่ำหรือวัยใดไม่เลือก ต่างท่านต่างเสียสละมาด้วยความเชื่อความเลื่อมใส มาถวายเพลิงท่านในวาระสุดท้ายนี้

การ มานี้ย่อมเสียสละทุกอย่างเราท่านทั้งหลายก็ทราบได้ดี เสียสละทั้งเวล่ำเวลาหน้าที่การงานสมบัติเงินทอง แม้ที่สุดชีวิตจะหาไม่ในขณะที่มาก็จำยอม นี่เพราะความเชื่อความเลื่อมใสต่อท่าน ท่านเป็นพระประเภทใดถึงได้มีประชาชนเคารพนับถือมาก เราเองเพียงจะมีความภูมิใจในเรา เป็นที่อบอุ่นใจในเราก็ยังเป็นไปไม่ได้ แต่ท่านเองสามารถทำความร่มเย็นให้แก่องค์ท่านเองแล้ว ยังสามารถทำความร่มเย็นหรือเป็นเครื่องดูดดื่มจิตใจของประชาชนทั้งหลายได้ เป็นจำนวนมาก ซึ่งเทียบกับแม่เหล็กอันสำคัญดึงดูดจิตใจประชาชนให้มีความเชื่อความเลื่อมใส ทั้งนี้เพราะท่านมีความสำคัญอยู่ภายในองค์ท่าน เรียกว่าคุณธรรม คุณธรรมนี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐเหนือโลกทั้งสาม คำว่าธรรมนั้นเป็นของมีอยู่ตลอดอนันตกาล แต่ไม่มีใครสามารถที่จะรื้อฟื้นธรรมนั้นขึ้นมาแสดงให้โลกเห็นได้ นอกจากพระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรกเพียงองค์เดียว

ท่านอาจารย์ฝั้นได้บวชในพระพุทธศาสนา ตั้งใจประพฤติปฏิบัติดัดกายวาจาใจของตน  เต็มสติกำลังความสามารถเรื่อยมา เรียกว่าเป็น สุปฏิปนฺโน ผู้ปฏิบัติดี อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรงต่อทางมรรคผลนิพพาน ญายปฏิปนฺโน ปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงภายในใจ สามีจิปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติสมควรแก่ธรรมน่ากราบไหว้บูชา เพราะฉะนั้นคนทั้งหลายจึงได้กราบไหว้บูชาเคารพนับถือท่าน เนื่องจากท่านมีของดีด้วยธรรมปฏิบัติมี ๔ ประการนี้เป็นรากฐานสำคัญ

คำว่า สุปฏิปนฺโน อุชุฯ ญาย ฯ สามีจิปฏิปนฺโน นี้นั้น เป็นพระโอวาทของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนบรรดาพุทธบริษัท เฉพาะอย่างยิ่งคือภิกษุบริษัท หรือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะถากถางดัดแปลงกายวาจาใจของผู้ปฏิบัตินั้นๆ ให้ได้ถึงความรู้ยิ่งเห็นจริง ศาสนาของพระพุทธเจ้ารวมลงแล้วเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา เป็นธรรมศูนย์กลางอยู่เสมอต่อมรรคผลนิพพาน ท่านผู้ใดตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ไม่ว่าภิกษุ ไม่ว่าอุบาสก อุบาสิกา ธรรมไม่ได้เลือกหน้า ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง เป็นต้องให้ผลแก่ผู้ปฏิบัตินั้นโดยลำดับด้วยกัน

ท่าน อาจารย์ฝั้น ท่านเป็นพระสำคัญมาดั้งเดิม การประพฤติปฏิบัติก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติจริงๆ จนมีความรู้ความเข้าใจทางด้านปฏิบัติธรรม ถ้าเป็นสมัยพุทธกาลก็เรียกว่าบรรลุธรรมขั้นนั้นๆ ไปโดยลำดับ ผู้มีความสามารถฉลาดรู้ถึงอรรถถึงธรรมจริงๆ ก็บรรลุถึงอรหัตผลได้เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาล เพราะศาสนธรรมนี้เป็นท่ามกลางเสมอในการสั่งสอนอบรม หรือเป็นท่ามกลางในการที่ผู้ปฏิบัติจะนำมาแก้กิเลสอาสวะทุกประเภทที่มีอยู่ ภายในใจ และเป็นความเหมาะสมในการแก้กิเลสทุกประเภทตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาจนกระทั่ง ถึงปัจจุบันนี้

ธรรม นี้ไม่มีการเสื่อมสูญ ไม่มีเรียวมีแหลมไปไหน นอกจากผู้ปฏิบัติธรรมจะทำความเรียวแหลมแก่ตนเท่านั้น มรรคผลนิพพานจึงเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ว่าครั้งพุทธกาลหรือสมัยปัจจุบันนี้ มีการปฏิบัติเป็นสำคัญ ไม่มีสิ่งใดที่จะมากีดกันหวงห้ามไม่ให้ผู้ปฏิบัติโดยชอบธรรมตามหลักธรรมของ พระพุทธเจ้า ไม่ให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ในสัจธรรมท่านแสดงไว้ ๔ ประการ คือ๑) ทุกข์ ความทุกข์กายทุกข์ใจ ซึ่งเป็นผลอันหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากร่างกายวิกลวิการวิปริตผิดไปต่างๆ ทุกข์อันที่ ๒) เกิดขึ้นมาจากใจที่คิดสั่งสมกิเลสอาสวะให้เกิดขึ้นภายในตน แล้วปรากฏผลขึ้นมามากน้อย ทั้งสองประการนี้แลที่จะเป็นเครื่องกั้นกางมรรคผลนิพพานไม่ให้เกิดขึ้น

แล้วมีสิ่งใดที่จะเป็นเครื่องบุกเบิก หรือถากถางสิ่งกีดขวางทั้งสองประเภทนี้ให้ผ่านพ้นไปได้ ท่านกล่าวไว้ว่า มัชฌิมาปฏิปทา คำว่า มัชฌิมา นั้นสรุปธรรมทั้งหลายนับแต่ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ลงมา ย่อลงมาเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป เป็นต้น และสัมมาสมาธิเป็นที่สุดท่าน ผู้ใดนำมัชฌิมาปฏิปทานี้ไปปฏิบัติให้สมบูรณ์ ผู้นั้นแลชื่อว่าเป็นผู้สามารถจะบุกเบิกทางอันเป็นสิ่งที่รกรุงรังด้วยกิเลส ทั้งหลายภายในจิตใจของตนให้หลุดพ้น หรือให้ผ่านพ้นไปได้โดยลำดับๆ จนกระทั่งถึงนิโรธคือความดับทุกข์ มรรคคือข้อปฏิบัติมีกำลังสามารถเพียงไร นิโรธคือความดับทุกข์ย่อมดับไปโดยลำดับๆ จนกระทั่งมรรคมีกำลังเต็มที่ สามารถสังหารกิเลสทุกประเภทให้หมดไปจากใจ นิโรธคือความดับทุกข์ อันเป็นผลเกิดขึ้นมาจากสมุทัยได้แก่กิเลสทั้งหลายนั้น ก็แสดงขึ้นมาอย่างเต็มที่ภายในจิตใจของผู้นั้น

การ สำเร็จมรรคผลนิพพานไม่ได้หมายสถานที่กาลเวลาเป็นสำคัญ ยิ่งกว่าการประพฤติปฏิบัติ ไม่ว่าครั้งพุทธกาลหรือสมัยนี้ก็ตาม ขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง อันควรแก่การแก้กิเลสประเภทต่างๆ ให้หมดสิ้นไปได้ด้วยมรรคคือข้อปฏิบัตินี้เป็นของสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เราท่านทั้งหลายผู้ปฏิบัติศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า ได้สนใจคิดบ้างหรือไม่ว่า สัจธรรมทั้ง ๔ ประเภทนี้ ยังมีสมบูรณ์อยู่กับพวกเราทั้งหลาย หรือหากว่าส่วนใดที่ด้อยลงไป การด้อยขอให้ด้อยในทางทุกข์และสมุทัยเถิด อย่าให้ด้อยข้อปฏิบัติ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป ที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา จะเป็นโอกาสหรือจะเป็นความหวังที่จะให้ผู้ปฏิบัตินั้นๆ ได้ถึงความพ้นทุกข์ได้เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาล

พอ เทศน์มาถึงตอนนี้ ก็มีปัญหาอันหนึ่งที่ปรากฏขึ้นเมื่อเย็นวานนี้ มีพระท่านไปถามว่า ในครั้งพุทธกาลปรากฏว่าพระพุทธเจ้าแสดงธรรมแก่พุทธบริษัท ได้สำเร็จมรรคผลนิพพานมากมายก่ายกอง อันนี้เป็นความจริงประการใดหรือไม่ เราก็ได้ตอบตามความรู้ป่าๆ ของเราว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสโดยสิ้นเชิง ธรรมะที่แสดงออกจากพระทัยของพระพุทธเจ้าโดยทางพระโอษฐ์ เป็นธรรมะที่บริสุทธิ์หมดจด ออกมาจากพระทัยที่บริสุทธิ์ ผู้ฟังฟังด้วยความตั้งอกตั้งใจ เพื่อจะรู้ยิ่งเห็นจริงในความจริงทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น เมื่อต่างอันต่างจริงเข้าบวกกันแล้ว จะเป็นของเลวลงได้อย่างไร

เพราะ ฉะนั้น ผู้ที่บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ก็ต้องเป็นผู้มุ่งต่ออรรถต่อธรรมต่อความสัตย์ความจริงจริงๆ และผู้ชี้แจงแสดงธรรมก็เป็นผู้แสดงด้วยความรู้จริงเห็นจริง ไม่แสดงแบบสุ่มสี่สุ่มห้าเดาหน้าด้นหลังไปอย่างนั้น ตนเองไม่รู้จำได้แต่ชื่อของธรรมว่า ความโลภเป็นอย่างนั้น ความโกรธเป็นอย่างนี้ ความหลงเป็นอย่างนั้น เราจำชื่อของกิเลสได้จนกระทั่งถึงปู่ย่าตายายของมันก็ตาม เช่นเดียวกับเราจำชื่อของโจรผู้ร้ายทั้งหลายได้นั่นเอง อย่าว่าเพียงจำชื่อของโจรผู้ร้ายทั้งหลายนั้นได้เลย จำจนกระทั่งโคตรแซ่ของผู้ร้ายเหล่านั้นได้ ก็ไม่เห็นเกิดประโยชน์อันใด ถ้าจับตัวเสือเหล่านั้นไม่ได้ ก็คือเสือเหล่านี้เองที่จะทำความเดือดร้อนเสียหายแก่บ้านแก่เมือง หาความสงบไม่ได้

อัน นี้การจำชื่อของกิเลสตัณหาอาสวะเฉย ๆ ไม่เพียงแต่จะจำชื่อของตัวกิเลส จำจนกระทั่งถึงโคตรแซ่ของกิเลสด้วยความจดความจำเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรให้กิเลสมีความกระทบกระเทือน หรือจับกิเลสไม่ได้ ฆ่ากิเลสไม่ตายแล้ว การจำชื่อกิเลสทุกประเภทได้ไม่เห็นมีความหมายอันใดเลยเช่นกัน

เพราะ ฉะนั้นจึงมีความสำคัญอยู่ที่การจำชื่อของกิเลสได้แล้ว ให้ทำหน้าที่ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ที่จะให้กิเลสเหือดแห้งหรือหมดสิ้นไปด้วยอุบายวิธีใด ที่เรียกว่าฆ่ากิเลสไปโดยลำดับ กิเลสจะสิ้นออกจากใจไปเป็นลำดับจนกระทั่งหมดสิ้นภายในจิตใจ เป็นผู้ถึงความบริสุทธิ์วิมุตติพุทโธเหมือนองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เรียกว่าตามเสด็จพระองค์ทัน เช่นเดียวกับเราจำชื่อของโจรของผู้ร้ายได้แล้ว ตามจับตัวมาทำโทษให้ได้ ก็ไม่มีผู้ใดที่จะเป็นโจรผู้ร้ายก่อความเดือดร้อนแก่บ้านเมืองอีกต่อไป

การ ปฏิบัติศาสนธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราควรคำนึงถึงพระโอวาทที่พระองค์ทรงสั่งสอนพวกเรา ไม่ใช่สั่งสอนเพียงปาวๆ เท่านั้น ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ก็ทรงสละพระชนม์ชีพเพื่ออรรถเพื่อธรรม จนกระทั่งถึงสลบไสลไปถึง ๓ ครั้ง ซึ่งเราเคยทราบในตำรับตำราอยู่แล้ว จนกว่าจะได้ตรัสรู้มีความลำบากยากเย็นแค่ไหน ไม่มีใครเสมอเหมือนพระพุทธเจ้าในเรื่องความลำบาก หรือความอุตส่าห์พยายามทุกด้านทุกทาง เพื่ออรรถเพื่อธรรมมาเป็นสมบัติของพระองค์และมาสั่งสอนโลก

การ สั่งสอนโลกนั้น พระองค์สั่งสอนด้วยพระเมตตาจริงๆ ไม่มีโลกามิสใดๆ เข้าเคลือบแฝงเลย เพราะพระทัยท่านบริสุทธิ์ ไม่มุ่งประสงค์สิ่งใดนอกจากหัวใจของสัตว์โลก ได้รับผลประโยชน์มีความร่มเย็นเป็นสุข และรู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่วรู้บุญรู้บาป รู้นรกสวรรค์ ประจักษ์ตามพระโอวาทที่ทรงสั่งสอนนั้นเท่านั้น นั้นเป็นสิ่งที่พระองค์ต้องการอย่างยิ่ง

พระ โอวาททุกบททุกบาททรงแสดงด้วยพระเมตตา เราผู้รับพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ควรจะสำนึกในพระคุณของท่าน แล้วพยายามปฏิบัติตนอย่าให้เสียเวล่ำเวลา เกิดมาในชาติหนึ่งๆ ไม่ใช่เป็นของเล็กน้อย เช่นเกิดมาเป็นมนุษย์ ต้องมีภูมิคุณธรรมควรที่จะเป็นมนุษย์ได้ถึงจะมาเป็นได้ เช่น กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของที่หาได้ยาก แต่เราทุกคนที่ปรากฏตัวอยู่เวลานี้ ได้เป็นมนุษย์แล้วอย่างสมบูรณ์ด้วยกัน และทราบประจักษ์ใจว่าตนเป็นมนุษย์ เมื่อได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ก็ควรจะรักษาคุณสมบัติแห่งความเป็นมนุษย์นี้ด้วยดี ด้วยข้อปฏิบัติ มีทานมีศีลมีอบรมเจริญเมตตาภาวนาสวดมนต์ประจำภูมิมนุษย์เรา ไม่เช่นนั้นก็จะกลายไปแย่งภูมิสัตว์ กิริยามารยาทความรู้ความเห็นของสัตว์มาเป็นของตัว เมื่อไปแย่งเอากิริยามารยาทความรู้ความเห็นของสัตว์มาเป็นของตัวแล้ว ก็จะก่อความเดือดร้อนให้แก่ตนและผู้อื่นได้มากมาย เพราะมนุษย์เรามีความฉลาดกว่าสัตว์ การทำความเสียหายจึงทำได้อย่างมากมายยิ่งกว่าสัตว์ใดๆ ทั้งนั้น และมนุษย์เราเป็นผู้ฉลาดกว่าสัตว์ การบำเพ็ญตนให้เป็นไปในทางที่ดี ย่อมไม่มีสัตว์ตัวใดจะเสมอมนุษย์ได้เลย เพราะมนุษย์ฉลาด

เวลา นี้เราเกิดมาในท่ามกลางแห่งพระพุทธศาสนา ก็เรียกว่าเป็นบุญลาภของเราแต่ละท่านๆ อย่าให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ตามหลักธรรมที่ได้ยกขึ้นไว้ ณ เบื้องต้นนั้นว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา สังขารร่างกายของเราทุกๆ ท่านตั้งอยู่ในความไม่แน่นอนทุกขณะ คือ สังขารร่างกายไม่เที่ยง ไม่เพียงไม่เที่ยงอยู่เฉพาะกาลเท่านั้น ไม่เที่ยงไปตลอดเวลา แปรอยู่โดยสม่ำเสมอตั้งแต่ขณะแรกเริ่มปฏิสนธิวิญญาณขึ้นมา จนกระทั่งถึงบัดนี้ และแปรไปจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายคือความตาย

เรา จึงไม่ควรนอนใจในชีวิตจิตใจของเราที่เป็นอยู่นี้ว่าจะไม่ตาย สัตว์ทุกตัวสัตว์ มนุษย์ทุกคนมีป่าช้าเต็มตัว ใหญ่โตกว้างแคบดูในตัวของเราก็ทราบ นี้เป็นป่าช้าหมดทั้งตัว เมื่อตายแล้วหาสาระอันใดไม่ได้ อุปฺปาทวยธมฺมิโน มีเกิดขึ้นกับตายเท่านั้นเป็นคู่เคียงกัน อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เกิดแล้วต้องตาย นั่นท่านบอก เตสํ วูปสโม สุโข การระงับดับเสียได้ซึ่งความเกิดเป็นรูปเป็นกายเป็นหญิงเป็นชายอะไรนี้เสียได้ ท่านว่าเป็นความสุขอย่างยิ่ง

พวก เราทั้งหลายปรารถนาอยากเกิดกัน แต่ไม่ปรารถนาอยากตาย เป็นความขัดแย้งต่อความจริง ปีนเกลียวกับความจริง จึงได้ทุกข์อยู่เรื่อย ๆ เพราะความปีนเกลียวความจริง การรู้ตามความจริงปฏิบัติตามความจริง คือหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสั่งสอนไว้นั้นเป็นความถูกต้อง เราจะได้ไม่ประมาท เกิดขึ้นมาอย่างไรแล้วต้องตาย ในขณะที่มีชีวิตอยู่นี้ให้พยายามบำเพ็ญ เราอย่าเชื่อเราจนเกินไปเรามีกิเลส เหมือนคนตาบอดเชื่อตัวเองไม่เชื่อตนตาดี เดินไปที่ไหนชนแต่ไม้โดนแต่ไม้ เจ็บแข้งเจ็บขาก็เจ็บแข้งเจ็บขาคนตาบอดนั้นแล ไม่ใช่เจ็บแข้งเจ็บขาคนตาดี การเชื่อคนตาดีดีกว่าเชื่อตัวเองซึ่งเป็นคนตาบอด คนโง่ควรจะเชื่อคนฉลาดเป็นของดี

ถ้า เราเชื่อเรามากจนเกินไป โดยไม่คำนึงถึงว่า ผู้ใดบ้างที่จะมีความฉลาดแหลมคมยิ่งกว่าเรา ถือว่าเราเป็นผู้ฉลาดเหนือใครๆ หรือว่าฉลาดเต็มตัว นั้นมักจะโง่เต็มตัวอยู่ทุกขณะ การที่เชื่อย่อมมีเชื่อหลายด้านหลายทาง เช่น เชื่อว่าตายแล้วสูญก็มี นี่เชื่ออย่างจมไปเลย ความที่ว่าตายแล้วสูญนั้น เราค้นหาสาเหตุอันใดมา มีเหตุมีผลอย่างไรพอที่จะยืนยันได้ว่าตายแล้วสูญเล่า

ตาย แล้วเกิดนี่มีหลักมีเหตุผลเป็นเครื่องยืนยัน ดังพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ท่านเรียกว่าวัฏวน วนไปเวียนมาอยู่ในกำเนิดต่างๆ แล้วแต่กรรมที่มีอยู่ภายในจิตใจจะพาให้ไปเกิดในภพน้อยภพใหญ่ ชั้นสูงชั้นต่ำชั้นใดๆ ไม่เลือก สำคัญอยู่ที่กรรมซึ่งมีอยู่ภายในใจ กรรมดีกรรมชั่วนี่เป็นเชื้ออันสำคัญที่จะยังสัตว์ทั้งหลายให้ไปเกิด และมีความสุขความทุกข์ มีอำนาจวาสนา โง่ฉลาดต่างกัน มีอยู่ที่ตรงนี้ ไม่ได้มีอยู่ที่ความสำคัญเอาเฉยๆ

เช่น อย่างว่าตายแล้วสูญเป็นต้น อะไรมันสูญ ถ้าหากว่าตายแล้วสูญ พวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่นี้มีมาได้อย่างไร เพราะคำว่าตายแล้วสูญนั้นจะไม่สูญตั้งแต่เพียงเท่านี้ จะสูญมาดั้งเดิมอยู่แล้ว ไม่ใช่จะมาสูญเพียงขณะเรามาพูดนี้เพียงเท่านั้น อะไรมันสูญ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เข้า ผสมกันแล้ว จิตไปจับจองว่าเป็นเจ้าของมาเกิดเป็นรูปเป็นกาย เป็นหญิงเป็นชาย ปรากฏเป็นตัวเราเป็นสัตว์ต่างๆ มีอยู่เต็มโลกเต็มแผ่นดิน นี่ถ้าโลกเป็นของตายแล้วสูญจริงๆ สัตว์มาเกิดได้อย่างไร เอาอะไรมาเกิด เพราะอะไรๆ มันก็ต้องสูญไปหมด จิตตายแล้วสูญมีความรู้สึกในตัวคนได้อย่างไรเล่า นี่ก็เพราะตายแล้วไม่สูญนั่นเอง มันถึงมีอยู่ให้เห็นอยู่รู้อยู่อย่างนี้

ผู้ ที่ว่าตายแล้วสูญนั้นแล เป็นเหตุที่จะให้ทำความชั่วช้าลามกต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่คำนึงถึงผลว่าจะเป็นอย่างไร ความเชื่อตัวเองนั้นแลเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ เราสำคัญว่าตายแล้วสูญ แต่ความจริงมันไม่สูญ เมื่อไปเกิดในภพต่างๆ เพราะอำนาจแห่งการทำกรรมหนัก ก็จะได้รับความทุกข์แก่ตัวเองนั้นแล เช่นเดียวกับคนตาบอดไม่เชื่อคนตาดี ความเจ็บก็จะต้องตัวเองเป็นคนเจ็บ โดนไม้โดนอะไรก็ตาม ความไม่เชื่อคนตาดี ผลสุดท้ายก็คนตาบอดนั้นแลเป็นผู้ได้รับความทุกข์ เพราะความเชื่อตัวเอง

เรา ทั้งหลายมืดบอด ไม่มีความสว่างไสวอันใดเป็นเครื่องยืนยัน พอที่จะรับรองเป็นความจริงได้ เกิดมาก็ไม่ทราบว่ามาจากภพใดชาติใด มาปรากฏเป็นมนุษย์อยู่นี้ แล้วตายจากนี้แล้วจะไปไหนอีก เมื่อไม่มีทางออกโดยธรรมแล้วก็ว่าตายแล้วสูญ คนที่เข้าใจว่าตายแล้วสูญนั้นแล เป็นเหตุให้ทำกรรมชั่วช้าลามกได้โดยไม่มีการยับยั้ง เพราะว่าเราเกิดชาติเดียวตายไปแล้วไม่เห็นมีอะไรทั้งนั้น สูญสิ้นไปเลย นี่เป็นความสำคัญ แต่สิ่งที่เป็นเชื้อให้เกิดนั้นได้แก่อะไร ท่านว่าอวิชชาเป็นเชื้อสำคัญ แต่การที่เราจะพิสูจน์ถึงเรื่องความเกิดความตายนี้ เราจะพิสูจน์เพียงความคิดด้นเดาเอาเฉยๆ นั้นไม่ได้ ไม่ยังผู้นั้นให้สิ้นสงสัยได้เลย

พระพุทธเจ้า ผู้ทรงสั่งสอนสัตว์โลก ทรงค้นพบด้วยภาคปฏิบัติของพระองค์ ตรัสรู้ด้วยการปฏิบัติ ไม่ได้ตรัสรู้ด้วยการด้นเดา ด้วยการคิดเอาเฉยๆ เมื่อได้ตรัสรู้ความจริงแล้ว นำความจริงนั้นมาสั่งสอนโลก ธรรมนั้นจึงเป็นของจริงลบไม่สูญ เช่นอย่างว่าตายแล้วเกิดอีก อะไรเป็นเหตุให้เกิดอีก พระพุทธเจ้าก็ทรงทราบแล้วว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา, สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ เป็นต้น อวิชชานั้นแลเป็นเชื้อสำคัญ ที่ฝังอยู่ภายในจิตนั้น พาให้สัตว์ไปเกิดในกำเนิดต่างๆ กันไม่มีที่สิ้นสุดจุดหมายปลายทางเลย การที่จะระงับดับเสียซึ่งความเกิดนั้นดับวิธีใด ท่านสอนวิธีดับ เฉพาะอย่างยิ่งคือ จิตตภาวนาเป็นภาคพิสูจน์อันสำคัญ และจะเห็นความจริงด้วยภาคภาวนานี้เท่านั้น อย่างอื่นเป็นไปไม่ได้

พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ด้วยการภาวนา ตรัสรู้ด้วยการปฏิบัติ สาวกทั้งหลายบรรลุธรรมด้วยการปฏิบัติ รู้จริงเห็นจริงด้วยการปฏิบัติ ไม่ได้รู้จริงเห็นจริงด้วยความจำความคาดคะเนเอาเฉยๆ อันนั้นเป็นความสำคัญของคนมีกิเลส ไม่ใช่เป็นความจริงของธรรม พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติธรรม รู้ธรรมด้วยความจริงในพระทัยแล้วจึงนำมาสั่งสอนโลก เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว

คำว่า อวิชฺชาปจฺจยา นี่เราจะทราบได้ทางภาคปฏิบัติ เริ่มแรกปฏิบัติถ้าใจของเรายังไม่เคยสงบร่มเย็นเลย เราก็ไม่ทราบว่าใจคืออะไร ร่างกายคืออะไร มันรู้ไปหมดทั้งตัวแต่จับจุดแห่งความรู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติ อย่างท่านสอนให้อบรมจิตให้มีความสงบ ก็เพื่อจะตะล่อมกระแสจิตเข้ามาสู่วงเฉพาะของตนเอง เพื่อจะจับตัวเองได้ว่านี้คือจิต นั้นคือร่างกาย ในภาคปฏิบัติเบื้องต้นก็จะพิสูจน์ถึงเรื่องของจิต พิสูจน์เรื่องจิตท่านให้พิสูจน์ด้วยหลักจิตตภาวนา เมื่อใจมีความสงบเราจะเห็นจุดแห่งความรู้อย่างเด่นชัดอยู่ภายในตัวของเรา สงบมากเพียงไรยิ่งเห็นจุดของจิตเด่นชัด ร่างกายเป็นอย่างหนึ่ง จิตเป็นอย่างหนึ่ง เห็นได้อย่างชัดเจนภายในใจของผู้สงบ ยิ่งจิตมีรากฐานแห่งสมาธิแน่นหนามั่นคงด้วยแล้ว ก็ยิ่งเห็นฐานของจิตได้อย่างชัดเจน จากนั้นแล้วก็พิจารณาทางด้านปัญญา

คำ ว่าปัญญาคือความเฉลียวฉลาด ความคลี่คลาย ความพินิจพิจารณาไตร่ตรองค้นหาความจริงที่มีอยู่ในสกลกายของเรา เรียกว่ามีอยู่ที่ขันธ์ ๕ นี้ รูปได้แก่ร่างกายส่วนต่างๆ นี้เรียกว่า รูป เวทนา ได้แก่ความสุข ความทุกข์ เฉยๆ ที่มีอยู่ทั้งในร่างกายและจิตใจ สัญญา คือความจำได้หมายรู้ จำได้ว่าบ้านนั้นอยู่นั้น บ้านนี้อยู่นี้ คนนั้นชื่อนั้น สังขารคือความคิดความปรุงของใจ นี่เป็นอาการที่ออกมาจากจิตแต่ละอย่างๆ วิญญาณคือความรับทราบ เวลาอายตนะภายนอกกับอายตนะภายในกระทบกัน ได้แก่ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง เป็นต้น เกิดความรู้สึกขึ้นในขณะนั้น พอสิ่งสัมผัสผ่านไปความรู้นี้ก็ดับไป ท่านเรียกว่าวิญญาณ

การ พิจารณาคลี่คลายสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้เห็นชัดตามเป็นจริงของมัน เรียกว่าปัญญา ปัญญาคลี่คลายดูให้เห็นชัด รูปให้เห็นเป็นสภาพของรูปตามความจริง ไม่ใช่เรา เวทนา ความสุขความทุกข์เฉยๆ เป็นความจริงแต่ละอย่างๆ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา นี่ทางภาคปฏิบัติเป็นอย่างนี้ สังขาร ความคิดความปรุงขึ้นมาภายในจิตใจ เกิดแล้วดับ ดับแล้วเกิด คิดดีคิดชั่วดับ มีเกิดมีดับเป็นคู่เคียงกันเสมอไป ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา

พิจารณา จนเห็นชัดภายในจิตใจ ว่ารูปเป็นรูป เวทนาเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ละอย่างๆ เป็นอาการหนึ่งๆ เท่านั้น ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ให้เห็นได้อย่างชัดเจนประจักษ์ใจ เมื่อรู้แจ้งเห็นชัดในอาการทั้งห้านี้แล้ว จิตย่อมหดตัวเข้าไป ปล่อยวางรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ออกไว้ตามความเป็นจริงของมัน นี่การคลี่คลายการพิสูจน์ถึงเรื่องจิต มีอะไรเป็นสาเหตุให้เกิดไม่เกิด จิตมีความติดข้องพัวพันในสิ่งใด หนักในอารมณ์ใดมาก เราย่อมทราบได้ชัดว่า จิตนี้ยังมีความสืบต่อกับสิ่งนั้นๆ

เมื่อ ปัญญาพิจารณาหยั่งทราบชัดเจนแล้วปล่อยวางเข้ามาๆ เรียกว่าจิตขาดจากอารมณ์นั้นๆ โดยลำดับ จนกระทั่งเข้ามารู้ภายในตนเอง คือ มีจิตกับอวิชชาเท่านั้น กิ่งก้านแขนงของอวิชชาที่ส่งออกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือส่งไปทางรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถูกตัดหมดหรือถูกรู้เท่าทันด้วยปัญญา ปล่อยวางเข้ามาไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย เหลือแต่อวิชชาตัวเดียวเท่านั้น ลูกเต้าหลานเหลนถูกฆ่าฉิบหายตายหมดด้วยปัญญาแล้ว ก็พิจารณาตัวเชื้อที่พาให้เกิด ไม่มีอันใดที่จะพาให้เกิดนอกจากอวิชชานี้เท่านั้น นี่การปฏิบัติให้พิสูจน์เรื่องความตายเกิดตายสูญต้องพิสูจน์อย่างนี้

เมื่อ ได้ทำลายอวิชชาลงไปหมดด้วยปัญญาอันแหลมคมแล้ว หมดเชื้อ ความเกิดไม่มี เป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ นี้ละที่พระพุทธเจ้าทรงทราบว่าเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ เป็นอย่างนี้ การเกิด-เกิดเพราะสาเหตุแห่งอวิชชานี้ ได้ชำระลงไปหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีเหลือแล้ว ภพไม่มี นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ความเป็นอีกความเกิดอีก คือ เกิดในภพนั้นๆไม่มี รู้ประจักษ์พระทัยพระองค์อย่างนี้ ไม่ได้รู้ด้วยความคาดคะเน ความด้นเดาเอาเฉยๆ ว่าตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญอะไรทำนองนั้น

แม้ เราจะเชื่อตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าว่า ตายแล้วเกิดก็ตาม แต่ถ้ายังไม่ถึงความจริงที่เราปฏิบัติรู้เองเห็นเอง อันนั้นก็ยังไม่เกิดผลเท่าที่ควร เพียงเชื่อไปเท่านั้น การที่จะให้เกิดผลโดยสมบูรณ์ ต้องเป็นเราประพฤติปฏิบัติให้เห็นตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ไว้แล้วภายในใจของตน ทุกสิ่งทุกอย่างจริงหมดด้วยปัญญาแล้ว นั้นแลเป็นผลของผู้ปฏิบัติ การสิ้นสุดแห่งความเกิดก็สิ้นสุดที่อวิชชาซึ่งเป็นเชื้อให้พาเกิดพาตาย เมื่ออวิชชาสลายตัวลงไปแล้ว ด้วยอำนาจของข้อปฏิบัติมีปัญญาเป็นสำคัญแล้ว ไม่มีอันใดที่จะมาเป็นสาเหตุให้ก่อภพก่อชาติอีก นั้นคือท่านผู้บริสุทธิ์ ผู้นี้ไม่เกิด

ทุกขํ นตฺถิ อชาตสฺส ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด ในขณะเดียวกันทุกข์ย่อมมีแก่ผู้ชอบเกิดเสมอนั่นแหละ ทุกฺขา ชาติ ปุนพฺปุนํ การเกิดบ่อยๆ ก็เป็นทุกข์ไม่หยุด การไม่เกิดเสียนั้นแลเป็นบรมสุข ท่านว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง จะหมายถึงอะไร ก็หมายถึงความบริสุทธิ์ของใจนั้นแล ไม่ต้องไปก่อภพก่อกำเนิดเกิดในสถานที่ใดอีก ประจักษ์ด้วยปัญญา นี้แลเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก เป็นผู้รู้เองเห็นเองด้วยการปฏิบัติของตนเอง ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ ท่านผู้รู้ทั้งหลายจะพึงรู้โดยเฉพาะตนเองเท่านั้น ไม่สาธารณะแก่ผู้ใดที่ไม่ได้ปฏิบัติ

ธรรมะ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวมาเหล่านี้ เวลานี้เป็นโมฆะไปแล้วเหรอ สวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนั้น ชอบตั้งแต่ครั้งพุทธกาลโน่นเหรอ ปัจจุบันนี้ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ชอบเหรอ หรือชอบแต่พวกเรา แต่ธรรมไม่ชอบ มันจึงเป็นเหตุให้เกิดกิเลสตัณหาอาสวะ เกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เราเป็นชาวพุทธปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วกิเลสตัวไหนบ้างที่ได้หลุดลอยออกไปเพราะถือศาสนา ถือเฉยๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์ถ้าไม่ถือเพื่อปฏิบัติ เหมือนเราถือขนมอยู่ในมือของเรานั้นน่ะ ถ้าไม่รับประทานก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ข้าวต้มขนมมันก็ทิ้งไปเฉยๆ เน่าเฟะไปเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์ นอกจากเอามารับประทานเท่านั้น

ธรรม ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่จะมีอยู่เฉยๆ ยกเป็นตู้เป็นหีบแบกอยู่บนบ่าแล้วชื่อว่าถือศาสนา ถืออยู่ที่ใจ ปฏิบัติอยู่ที่ใจ ให้รู้ที่ใจให้เห็นที่ใจ พิสูจน์ความจริงของธรรมต้องพิสูจน์ภายในใจ ท่านสอนลงที่นี่ไม่ได้สอนไปที่ไหน

นี่ ละท่านอาจารย์ฝั้น ท่านปฏิบัติมีความรู้ยิ่งเห็นจริงอย่างนั้น ท่านมีความอบอุ่น มีความภูมิใจในอรรถในธรรมสำหรับท่าน ท่านเคารพท่าน เพราะฉะนั้นจึงเป็นสาเหตุให้คนทั้งหลายมีความเคารพต่อท่าน ท่านเป็นผู้ดี คนทั้งหลายก็มีความเคารพ นี่เป็นหลักสำคัญ ขึ้นอยู่กับ สุปฏิปนฺโน อุชุ ฯ ญาย ฯ สามีจิปฏิปนฺโน นี้เป็นหลักสำคัญ

เรา ท่านทั้งหลายก็เป็นผู้มีความรู้อันหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของอยู่ในร่างกายนี้ มีสิทธิ์ที่จะรู้จะเห็นธรรมทั้งหลายได้เช่นเดียวกันกับครั้งพุทธกาล เพราะศาสนธรรมที่สอนไว้นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหญิงกับชายโดยถ่ายเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของผู้บำเพ็ญทั้งหลาย มีจิตตภาวนาเป็นสำคัญ ครั้งไหนก็ตามคำว่ามัชฌิมาต้องท่ามกลางเสมอ เป็นธรรมเหมาะสมกับการแก้กิเลส ถอดถอนกิเลสทุกประเภท สำหรับผู้ปฏิบัติถูกต้องตามหลักธรรมแล้ว มีสิทธิหรือมีอำนาจที่จะถอดถอนกิเลสภายในจิตใจของตนให้หลุดพ้นได้ด้วยกัน ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาถึงปัจจุบันนี้ไม่มีอะไรแปลกต่างกันเลย ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่เรียกว่ากิเลส ก็เป็นกิเลสประเภทเดียวกันมาแต่ครั้งพุทธกาลถึงปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้น ธรรมจึงไม่จำเป็นจะต้องไปเปลี่ยนแปลงหาอย่างอื่นมาแก้กิเลส

หากว่าธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วนี้ ไม่สามารถจะแก้กิเลสในสมัยปัจจุบันเรานี้ได้เหมือนครั้งพุทธกาลแล้วไซร้ ก็ ควรจะได้เสาะแสวงหาธรรมใหม่เอี่ยมขึ้นมาให้ทันสมัย แต่นี้ธรรมนี้เป็นธรรมที่เหมาะสมอยู่ตลอดเวลาแล้วที่จะแก้กิเลสทุกประเภท หรือทำคนให้ดีได้โดยลำดับเช่นเดียวกับครั้งพุทธกาล ท่านจึงเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา เป็นธรรมศูนย์กลางเสมอ เป็นความเหมาะสมเสมอ ความพอดีเสมอ เรียกว่ามัชฌิมาคือความพอดี

โลก เรานำไปใช้ก็เอาหลักมัชฌิมานี่แหละไปใช้ถึงจะพอดี ถ้าเลยมัชฌิมานี้แล้วไม่พอดีทั้งนั้น ไม่ว่าอันใดก็ตาม เช่นอาหาร แกงเผ็ดเกินไปไม่พอดี เค็มเกินไปไม่พอดี หวานเกินไปไม่พอดี เปรี้ยวเกินไปไม่พอดี ฟังคำที่ว่าเกินไปๆ นั้นไม่ใช่มัชฌิมา นั้นไม่ใช่ความพอดี ความพอดีก็คือว่าอาหารนี้พอดี ไม่จืดเกินไปไม่เค็มเกินไป เหมาะ นี่เรียกว่าเหมาะสมแล้ว ถ้าเป็นบ้านเป็นเรือนก็เหมาะสม ไม่สูงเกินไปไม่ต่ำเกินไป คนก็พอดี ไม่สูงนักไม่ต่ำนักก็พอดี

หลัก สากลของโลกนำมัชฌิมานี้ทั้งนั้นไปใช้ คือความพอดี เลยนี้แล้วไม่เรียกว่าพอดีได้เลยและขัดขวางด้วย เราจะเห็นว่าศาสนธรรมนี้เข้ากับโลกได้หรือไม่เมื่อเป็นเช่นนั้น ธรรมเข้ากับโลกไม่ได้แล้วโลกจะเป็นอย่างไร เช่นโลกแห่งสัตว์ สัตว์ประเภทไหน เช่นสุนัขอย่างนี้เขาไม่สนใจกับอรรถกับธรรมเลย เรียกว่าธรรมกับเขาเข้ากันไม่ได้ แล้วน่ากราบน่าไหว้ไหม เราเห็นความสวยงามของสัตว์ที่ไม่มีอรรถมีธรรมไหม

มนุษย์ เราเมื่อไม่มีอรรถมีธรรมหาความสวยงามหาความน่าดูที่ไหนมี มนุษย์เราไม่ใช่จะงามในรูปร่างกลางตัวแล้วเป็นความสดสวยงดงาม เป็นที่มีคุณค่าราคาโดยถ่ายเดียว สำคัญที่คุณธรรม การประพฤติปฏิบัติ กิริยามารยาท นี่เป็นเหตุที่จะส่งเสริมบุคคลนั้นให้มีสาระสำคัญขึ้นมาภายในตน ไม่ใช่เพียงรูปร่างเท่านั้นเป็นสำคัญ อันนั้นเป็นแต่เพียงเครื่องประดับหน้าร้านเท่านั้น ถ้าเข้าไปในร้านไม่มีอะไรก็เป็นเครื่องหลอกโลก คนนั้นสวยงามแต่รูปร่างแต่จิตใจต่ำทราม ความประพฤติปฏิบัติเลวทรามใช้ไม่ได้

คน เรามีคุณค่าอยู่ที่ความประพฤติปฏิบัติ สัตว์ทั้งหลายมีคุณค่าอยู่ที่เนื้อที่หนังของมัน ตายแล้วนำไปจ่ายตลาดได้เป็นเงินเป็นทองสำเร็จประโยชน์ มนุษย์ตายแล้วกลัวผีกันทั้งนั้น หาคุณค่าราคาไม่ได้ถ้าไม่หาคุณค่าราคาด้วยคุณธรรม ยกตัวอย่างเช่นครูบาอาจารย์นี่ลองดูซิ อย่างท่านอาจารย์ฝั้นนี้เป็นต้น ใครกลัวไหมกระดูกท่านอาจารย์ฝั้น มีแต่ผู้อยากได้ต้องการทั้งนั้น ถ้าเราจะแจกแล้วชุลมุนกันใหญ่เลย เป็นข้าศึกน้อยๆ อันหนึ่งขึ้นมาในวงงานนี่แหละ เพราะใครก็ต้องการกระดูกท่าน ต้องการอัฐิท่าน ใครก็ต้องการๆ

ไม่ เห็นมีใครว่ากลัวกระดูกท่านอาจารย์ฝั้นเลย นี่เพราะเหตุใด เพราะกระดูกนี้มีคุณค่า กระดูกนี้มีคุณธรรม ออกมาจากท่านผู้มีคุณธรรม อะไรก็กลายเป็นคุณธรรมไปหมด เช่น ผ้าสบง จีวร เครื่องใช้ต่างๆ บริขารของท่านเป็นสิริมงคลไปหมด เพราะท่านพาให้เป็นสิริมงคล ท่านเป็นผู้มีคุณค่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมีคุณค่าไปหมด แน่ะ ถ้าเป็นธรรมดาๆ อย่างคนตายธรรมดาๆ แล้วใครกลัวผีทั้งนั้นแหละ แม้แต่พ่อแม่กับลูกยังกลัวผีกัน กลัวพ่อจะมาหลอก แม่จะมาหลอก และกลัวลูกคนนั้นจะมาหลอกมาหลอน ทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่รักกันแทบล้มแทบตาย พอชีวิตหาไม่แล้วเท่านั้นกลัวผีกันแล้ว นั่นเพราะเหตุไร มันต่างกันที่คุณธรรมนี้

มนุษย์ เราจึงสำคัญที่คุณธรรมเป็นหลักใหญ่ พระพุทธเจ้าจึงสอนธรรมะนี้เพื่อให้เป็นคุณธรรม ให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเป็นเครื่องประดับมนุษย์ให้มีความสวยงาม สวยงามภายนอกสวยงามภายใน เช่นดอกไม้ ดอกไม้สวยงามแต่กลิ่นไม่หอมก็ไม่น่าทัดน่าทรง ทั้งสวยงามด้วยทั้งกลิ่นหอมด้วยน่าทัดน่าทรงมาก ดอกไม้ไม่สวยงามแต่กลิ่นหอมก็ยังดี ทั้งขี้ริ้วขี้เหร่ดอกไม้นั้นน่ะ ทั้งกลิ่นเหม็นด้วย ไม่มีใครเหลียวแลเลย ดูไม่ได้ มนุษย์เราก็เหมือนกัน รูปร่างกลางตัวสวยงามด้วยความประพฤติปฏิบัติตัวเองก็ดีด้วย มีคุณธรรมด้วย ผู้นั้นมีคุณค่าสูง รูปร่างไม่สวยงามแต่น้ำใจสวยงาม ผู้นั้นก็มีคุณธรรมดี รูปร่างก็ไม่สวยงามแล้วทั้งจิตใจก็เลวทรามใช้ไม่ได้เลย รูปร่างก็ขี้ริ้วขี้เหร่ น้ำใจก็เหมือนกันอีก นี่เรียกว่าดูไม่ได้ ในลักษณะ ๔ อย่างนี้ ให้เราทั้งหลายเทียบเคียงเอาเอง

มนุษย์ เรามีคุณค่าที่การประพฤติปฏิบัติดังที่กล่าวแล้วสักครู่นี้ ถ้าไม่มีคุณค่าอันนี้น่ะกลัวผีกันทั้งนั้นแหละ ถ้ามีคุณค่านี้แล้วดังอัฐิของท่านอาจารย์ฝั้นนี้แหละแจกไม่ได้ ต้องเป็นข้าศึกกันทันที ใครก็จะเอาๆ กระดูกของท่านมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คนทั่วประเทศไทยใครก็จะเอาๆ นั่นละตอนจะเกิดข้าศึกกัน ทำไมใครจึงไม่คิดกลัวผีกระดูกท่านบ้าง ก็เพราะคุณธรรมของท่านเป็นสำคัญ

ให้ เราทำตัวของเราอย่างนี้ ไม่ได้อย่างท่านอาจารย์ฝั้นก็ตาม แต่ขอให้เราเป็นคนดี ประพฤติปฏิบัติตัวให้ดี ธรรมของพระพุทธเจ้านี้เป็นเครื่องประดับสัตว์โลกให้มีความสวยงาม ทั้งความประพฤติการปฏิบัติตัว นอกจากนั้นยังเป็นสุขในปัจจุบันและเป็นสุขในอนาคตอีกด้วย ในโลกนี้ก็เป็นสุข ไปโลกหน้าก็เป็นสุข เพราะเป็นผู้สร้างคุณงามความดีอันเป็นสาเหตุให้เกิดความสุขขึ้นมา

วัน นี้ได้อธิบายถึงเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา และเกี่ยวกับเรื่องท่านอาจารย์ฝั้น ให้ท่านทั้งหลายนำไปประพฤติปฏิบัติ และพูดถึงเรื่องตายเกิดตายสูญ ขอให้ทุกๆ ท่านได้นำไปวินิจฉัยภายในตัว เราทุกคนเป็นผู้เกิดมาแล้ว ให้วินิจฉัยตัวเองให้ทราบด้วยตัวเองนั้นแล เป็นสิ่งสำคัญที่สุด วันหนึ่งๆ ที่ผ่านไปๆ ขอให้ผ่านไปด้วยคุณงามความดีประสมกันไปด้วย อย่าให้มีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อย่าให้มีแต่ความลืมเนื้อลืมตัวไปหมด ศีลธรรมไม่ปรากฏภายในจิตใจเลย คนนั้นหาคุณค่าหาราคาไม่ได้

คำ ว่าบุญและบาปนั้นลบไม่สูญ ใครจะว่าบุญและบาปไม่มีก็ตาม ก็เหมือนกับว่าตายแล้วสูญนั่นแหละ สิ่งที่มีอยู่ย่อมเป็นสิ่งที่เปิดเผยด้วยความมีอยู่ของตน แต่ลี้ลับสำหรับคนที่ไม่เห็น เช่นหนามที่ขวางทางอยู่ เป็นความเปิดเผยด้วยความมีอยู่ของมัน แต่เราไม่เห็นไปเหยียบเข้า หนามที่เราไม่เห็นนั่นแลมันปักเท้าเราให้เจ็บได้ คำว่าบาปหรือบุญนี้เราเทียบกันได้อย่างชัดเจนก็คือว่า สุขกับทุกข์ เคยหนีจากร่างมนุษย์และร่างสัตว์เมื่อใด สุขทุกข์มีมาดั้งเดิม บาปก็คือความชั่ว อันเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ บุญก็คือความดีอันเป็นสาเหตุให้เกิดความสุข เราจะลบล้างได้อย่างไร

ผู้ ใดเป็นผู้ตรัสไว้ในสิ่งเหล่านี้ บาปก็พระพุทธเจ้าแสดงไว้ บุญก็พระพุทธเจ้าแสดงไว้ นรกสวรรค์ก็พระพุทธเจ้าแสดงไว้ ทรงแสดงไว้ทุกแง่ทุกมุม ไม่ได้แสดงแบบลวงโลก พระพุทธเจ้าไม่ใช่ศาสดาลวงโลก เป็นศาสดาที่รู้จริงเห็นจริงจริงๆ นำสิ่งที่รู้เห็นประจักษ์พระทัยแล้วออกมาสั่งสอนโลกแล้วจะผิดไปที่ไหน จึงหาความผิดไม่ได้ มีแต่ความถูกต้องดีงาม สมกับหลักธรรมว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้วตรัสชอบแล้วเท่านั้น

ขอ ให้ทุกท่านซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชน นำอรรถนำธรรมของพระพุทธเจ้าไปเป็นสิริมงคล ไปเป็นคุณสมบัติแก่ตัวของเรา เราจะมีความอบอุ่นภูมิใจในความเป็นมนุษย์ของเรา เวลาเราตายไปเราก็มีความภูมิใจว่าเราได้สร้างความดีไว้ในใจ ใจนี้เป็นนักท่องเที่ยวเกิดได้ทุกแห่งทุกหน ไม่กำหนดกฎเกณฑ์ในสถานที่เกิด สำคัญที่มีกรรมดีกรรมชั่วเป็นเครื่องหนุนอยู่ภายในจิตใจ นี่เป็นของสำคัญ เพราะฉะนั้นจึงควรสร้างความดีให้มากๆ

ให้ เราระลึกถึงป่าช้าบ้างวันหนึ่งคืนหนึ่ง วันหนึ่งๆ ควรระลึกถึงความตายอย่างน้อยสัก ๕ ครั้ง ใจคนเราก็จะมีหยุดชะงักบ้าง การทำความชั่วช้าลามกทั้งหลาย หรือความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม การลืมเนื้อลืมตัวก็จะมีสติสตังบ้าง เพราะป่าช้ามีอยู่กับตัว เราต้องตายวันหนึ่งแน่นอน จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนก็ต้องมีตาย ทุกข์จนขนาดไหนก็ต้องมีตาย คนโง่คนฉลาดมีความตายประจำด้วยกัน จึงควรสร้างความดีงามไว้สำหรับตน จะได้เป็นสิริมงคลในปัจจุบันแลอนาคต

การ แสดงธรรมก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา ขอบุญญานุภาพแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ จงมาคุ้มครองท่านทั้งหลายให้มีความสุขกายสบายใจ และกลับไปบ้านด้วยความปลอดภัยโดยทั่วกัน เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๒๑
http://www.luangta.com

นรกมีก็มีอย่างนี้ สวรรค์มีอย่างนี้

หลังจังหัน

เมื่อ วานนี้ก็ได้พูดอยู่เรื่องพรบ.สงฆ์ คนทั้งแผ่นดิน พระสงฆ์ผู้ทรงศีลทรงธรรมทั่วประเทศไทย มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีพระราชอำนาจสถาปนา พระขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ฟังซิคนทั้งแผ่นดิน พระสงฆ์ผู้ทรงศีลทรงธรรมทั่วประเทศไทยอนุโมทนาสาธุการ เป็นประเพณีมาดั้งเดิมจนกระทั่งป่านนี้ นานสักเท่าไรฟังซิ นี่เป็นพื้นฐานที่หนาแน่นมั่นคงและดีงามของประเทศไทยเรา ที่มีความเห็นพร้อมเพรียงกันอนุโมทนาหรือทูลถวายให้ท่านทรงตั้งพระเป็น สมเด็จพระสังฆราช เป็นความถูกต้องดีงาม ทางธรรมก็หาที่ต้องติไม่ได้

การ ที่พูดทั้งหลายเหล่านี้เรานำธรรมมาสอนโลก เราไม่ได้มาเป็นคู่ทะเลาะวิวาทกับโลก เราไม่ใช่ฝ่ายนั้นไม่ใช่ฝ่ายนี้ ไม่มีความหวังแพ้หวังชนะ หวังได้เปรียบเสียเปรียบ เราไม่มี เพราะเรานำธรรมพระพุทธเจ้ามาสั่งสอนสัตว์โลก ผิดถูกดีชั่วประการใดจะพูดไปตามหลักความจริงแห่งธรรม ไม่ให้เคลื่อนคลาดไปจากนั้น อย่างพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงตั้งสมเด็จพระสังฆราช นี้ เป็นประเพณีที่เมืองไทยเรายอมรับทั้งฝ่ายพระเจ้าพระสงฆ์ทั้งฝ่ายประชาชนมา นมนาน จนเป็นประเพณีที่หนาแน่นมั่นคงมาตลอดปัจจุบันนี้ นี่คือความถูกต้องดีงามแน่นหนามั่นคง

ทีนี้ มีพรบ.พอรอแบอะไรก็ไม่รู้มาตั้งมากีดมาขวาง มาแย่งอำนาจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะแย่งไปหาอะไร พิจารณาซิ เราอยากจะพูดว่าพรบ.สงฆ์นี่มันสงฆ์ไหน มันสงฆ์เป็นบ้าหรือ เราอยากว่าอย่างนั้น ถ้าสงฆ์เป็นคนดีจะทำไม่ลง ประเพณีของชาติไทยหนาแน่นเท่ากับเมืองไทย แล้วพรบ.สงฆ์ไหนน่ะที่จะมาหนาแน่นมั่นคงยิ่งกว่าประเพณีอันนี้ ถึงจะต้องมาคัดค้านต้านทานหรือมาแย่งเอาอำนาจนี้ไปใช้ มันฟังไม่ได้นะ เราอยากถามถึงพรบ.นี้ ใครเป็นคนตั้งขึ้นเป็นพรบ.สงฆ์ ใครเป็นคนตั้งขึ้นมาเราจะค้นหาเหตุหาผลอีกนู่นไม่ใช่ธรรมดา คือมันผิดขนาดนั้นว่างั้นเถอะ ไปแย่งเอาอำนาจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระราชสมบัติอันดั้งเดิมของพระองค์ ที่ประชาชนยอมยกทูลเกล้าถวายท่านมา

เรา วิเศษวิโสมาจากไหนจึงต้องไปขัดไปแย้งหรือไปแย่งเอามา มาเป็นอำนาจบาตรหลวง ตราเป็นพรบ.สงฆ์ ตราเมืองไทยมันหนาแน่นยิ่งกว่าพรบ.สงฆ์เป็นไหนๆ ตราเมืองไทยคือขนบประเพณีของเมืองไทยที่ปฏิบัติกันมาเป็นเวลานมนาน ตราอันนี้หนักแน่นขนาดไหน พรบ.สงฆ์แส็งอย่างว่าหนักแน่นที่ไหน นี่ละภาษาธรรม เราพูดอย่างตรงไปตรงมา เพราะเราไม่มีแพ้มีชนะ ไม่มีได้มีเสีย และไม่มีกล้าไม่มีกลัว ธรรมไม่กล้าไม่กลัวกับอะไร เหนือทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เรานำธรรมนั้นมาแสดงด้วยความเป็นธรรม ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก เพราะฉะนั้นพรบ.นี้จึงบอกได้ชัดๆ ว่าผิด อย่าเอาเข้ามาเป็นก้างขวางคอของคนทั้งชาติเลย ต้องถอนออกทันทีถึงถูก ตั้งแต่ตั้งขึ้นมานั้นมันก็ผิดพอแล้ว ยังจะเอามาบีบบังคับประชาชนอีก ผิดเป็นชั้นๆ ขึ้นไปเลย เราว่าอย่างนี้แหละ พูดตามอรรถธรรมเป็นอย่างนี้

ธรรม สอนโลกจะไปสอนเอนเอียงๆ ลูบหน้าปะจมูก เห็นที่สูงที่ต่ำอย่างนี้ไม่ได้ ต้องสอนอย่างตรงไปตรงมาจึงเรียกว่าธรรม ตายใจได้ โลกตายใจได้ กราบไหว้ได้สนิท ถ้ามีเอนมีเอียงไม่ใช่ธรรม ไว้ใจไม่ได้ว่างั้นเถอะ พูดถึงเรื่องพรบ. เราก็ย้ำเข้าไปอีกอย่างนี้แหละ เพราะมันผิดว่างั้นเถอะ แหม เหยียบหัวคนทั้งประเทศ พระสงฆ์ไทยผู้ทรงศีลทรงธรรมถูกเหยียบไปด้วย ด้วยพรบ.ของสงฆ์นี้แหละ มันสงฆ์องค์ไหนน่ะเราอยากถามดู มันสงฆ์องค์ไหนมันถึงเก่งเอานักหนา ไม่มองดูธรรม พระสงฆ์ก็ลูกพระพุทธเจ้า ต้องมองดูธรรม ผิดถูกดีชั่วประการใด

อย่าง ประเพณีของคนไทยที่ใช้กันมา ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาหรือตั้งสมเด็จพระสังฆราชนี้มา ตั้งแต่เมื่อไร ดึกดำบรรพ์ของเมืองไทยเราว่างั้นเถอะ ใครก็อนุโมทนาสาธุการน้อมเกล้าถวายมาตลอด พระสงฆ์ก็อนุโมทนาสาธุการมาตลอด แล้วอยู่ๆ พ.ศ.๒๕๓๕ ก็มีนักปราชญ์จรวดดาวเทียมขึ้นมาเหยียบหัวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหยียบหัวพระสงฆ์ทั้งประเทศ เหยียบหัวคนไทยทั้งประเทศต่อหน้าต่อตาอย่างไม่อายเลย ถ้าพูดอย่างนี้ถนัดดีกับความเป็นอย่างนั้น เราอยากจะพูดว่ากับความเซ่ออย่างนั้น ไม่ดูหรือตามี ประเพณีนี้หนักแน่นขนาดไหน คนทั้งโลกเขารู้กันเห็นกัน พระสงฆ์ที่มาตั้งบัญญัตินี้มันไม่เห็นหรืออยากว่าอย่างนั้น ถ้าเห็นมาตั้งหาอะไร หลับตาตั้งเหรอ ผู้อ่านไม่ได้หลับตาอ่านมันลืมตานี่

พูด เท่านั้นละ เหมือนนักมวยเวลาขึ้นต่อยปึ๊งปั๊งๆ พอเสร็จแล้วกอดคอกันลงไปธรรมดา เพราะการพูดนี้ไม่ได้พูดด้วยอำนาจแห่งความโกรธ ความโมโหโทโส พูดด้วยอำนาจแห่งธรรม ควรหนักหนัก ควรเบาเบา ควรเน้นหนักขนาดไหน ธรรมจะเป็นอย่างนั้นตลอด ถ้าเรียบๆ ก็เรียบๆ ถ้าควรหนักต้องหนัก ควรหนักจะไปเบาไม่ได้ มันจะเป็นพรบ.อันนี้นะ ควรเบาเป็นหนักก็ไปเหยียบหัวคนอย่างหนักอย่างนี้ไม่ได้ เราจึงได้พูดตรงๆ เลยว่าต้องเลิก ไม่เลิกไม่ได้พรบ.อันนี้ ต้องเลิก ไม่เลิกไม่ได้เมืองไทยจมได้ เพราะฝ่าเท้าของคนโง่ๆ นี้ ว่างั้นเลย

คน ทั้งประเทศมีหัวใจทุกคน มีหัวทุกคน หัวคิดปัญญามีทุกคน พระสงฆ์ก็สังฆมณฑลผู้ทรงศีลทรงธรรมมีด้วยกัน มันเอาความรู้จรวดมาจากไหนมาทำอย่างนี้ แล้วเหยียบหัวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือเราไม่อยากว่าพระเศียรนะ ให้มันตรงกันกับพวกฝ่าเท้าพวกหยาบๆ เอาอันนี้เข้าไปใส่พระเศียรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กลายเป็นหัวไปเลย มันเหยียบได้อย่างสบายๆ  เพราะ ฉะนั้นจึงว่าเหยียบหัวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข้ากันได้กับเรื่องนี้ใช่ไหมล่ะ ธรรมดาก็พระเศียร เช่นอย่างว่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้า เราออกมาพูดให้มันได้จังหวะกันกับความหยาบโลนอันนี้ สูงขนาดไหนมันเอามาเหยียบได้ ว่างั้นละ เพราะคนหน้าด้าน คนไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่มีบาปมีบุญ ทำได้อย่างนั้น

(หลวงตาครับ พรรคมหาชนน้อมรับคำสั่งคำสอนของหลวงตา และจะแก้ไขทั้งสองมาตราตามที่หลวงตาสั่งสอนครับ)

อย่า ว่าแก้ไข ให้ลบ ว่าแก้ไขเรายังไม่ยอมรับ ถ้าว่าลบแล้วถูกต้อง นี่เป็นก้างขวางคอของคนทั้งประเทศ ของพระสงฆ์ผู้ทรงศีลทรงธรรมทั่วสังฆมณฑล เรียกว่าก้างอันใหญ่หลวงขวางคอ ดึงออกให้หมด พรบ.อย่าแก้แต่ให้ลบให้หมด เข้าใจเหรอ เหลือไว้ทำไมมันเป็นภัยต่อชาติ ต่อประเพณีของชาติมาดั้งเดิม ซึ่งคนทั้งชาติเทิดทูนกันมาตลอด มันมาเหยียบหาอะไร ว่างั้นแหละ ก็มีเท่านั้น (หลวงตาครับ พวกกระผมอยู่พรรคมหาชนเขต ๒ ถ้าหลวงตามีอะไรจะฝากถึงพวกกระผมก็ฝากได้ครับ) เออ มีอะไรก็พูดได้ในฐานะลูกศิษย์มีอาจารย์ เราก็เป็นชาวพุทธด้วยกัน เป็นลูกของพระพุทธเจ้าด้วยกัน พูดกันได้ทุกอย่าง เท่านั้นละพอใจ(พวกกระผมขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ครับ) เออ ให้พากันทำหน้าที่การงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเรา อันนี้เป็นหลักใหญ่มาก เท่านั้นละ มีโอกาสจะสนทนาธรรมะธัมโมกันก็ได้ไม่ว่าอะไร

ผู้กำกับ สันติ อินโดนีเซีย มีปัญหามากราบเรียนครับ อยากให้คนในศาลาตั้งใจฟัง เป็นปัญหาสำคัญอยู่ครับ

หลวงตา สำคัญไม่สำคัญหูเรามีเราจะฟัง ใจเรามีเราจะคิด ไม่ให้ใครมาตัดสินเรา เราจะตัดสินเราเอง เอ้าว่าไป

ผู้กำกับ กราบ นมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ ใน ๕ วันนี้ขณะนั่งสมาธิ เมื่อรู้สึกตัวหายและเวทนาหายไปเหลือแต่จิตล้วนๆ ก็ได้ปรากฏภาพให้เห็นเหมือนดูทีวี เป็นภาพผู้ชายผู้หญิงตกอยู่ในกระทะมีไฟร้อนๆ บางคนก็เดินบนเถ้าถ่านร้อนๆ มีกระจกโรยอยู่ด้วย บางคนก็ถูกตัดนิ้วตัดมือ ถูกสับตามมือ บางคนถูกตัดลิ้น ถูกตัดหัวทิ้ง บางคนถูกควักลูกตา บางคนถูกเหล็กแหลมแทงเข้าไปในตัว ถูกกรรไกรตัดตามร่างกาย บางคนถูกลากตัว ถูกแซ่โบยตีตามตัว ผู้คุมคล้ายคนแต่ไม่เหมือน คือมีผิวหนังเลี่ยน ไม่มีขนตามร่างกาย บางคนมีหาง ตาไม่มีหนังตา มีเขี้ยว ถือสามง่ามคอยทิ่มแทง ภาพทั้งหมดที่เห็นในตอนแรกจะกลัว แต่ภายหลังเกิดความสงสารขึ้นมาแทน เพราะบางคนที่เห็นยังมีชีวิตอยู่ และได้ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดแห่งนี้ด้วย หนูรู้จักด้วย แต่ทำไมจึงมีภาพไปปรากฏในนรก หนูจึงอยากให้หลวงตาช่วยอธิบายด้วยว่า ทำไมเขายังไม่ตาย แต่กลับมีภาพไปปรากฏอยู่ในนรกด้วย

หลวงตา เรา ยังไม่อธิบายอย่างอื่นนะ เราอธิบายว่าถ้าอยากให้ภาพปรากฏชัดๆ ก็ให้สร้างความชั่วให้มากๆ แล้วจะชัดขึ้นๆ ในตัวของเราเองนี้แล้วกระจายไปถึงแดนนรก สายทางของความชั่วนี้จะลงนั่นละไม่ไปอื่น สายทางความดีนี้จะขึ้นเป็นภาพแบบเดียวกัน

ผู้กำกับ ต่อ นะครับ บางภาพที่เห็นเป็นสถานที่และผู้คนดูสวยงามมาก ไม่เคยเห็นมาก่อน รู้สึกเหมือนตนเองออกไปยืนอยู่นอกโลก และมองมาที่โลกที่เราอยู่คล้ายๆ โลกใบอื่นๆ อีกมากมาย เหมือนเห็นทั่วจักรวาล ภาพที่เห็นทั้งหมดเหมือนนั่งดูทีวี และกดรีโมทภาพเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ เป็นร้อยๆ ภาพให้เห็น โดยที่หนูไม่สามารถจะบังคับจิต รั้งจิตไว้ได้ มันเห็นของมันเองโดยอัตโนมัติ จึงปล่อยให้จิตได้ทำงานของมันไปอย่างอิสระ แต่ก็มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา หนูทำอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ เพราะจะเป็นอย่างนี้บ่อยๆ เจ้าค่ะ

หลวงตา ถูกต้อง ใช้ตามเวลา แต่ถ้าไปเพลินอย่างนั้นอย่างเดียวก็ผิด ให้เข้ามาดูจิตเจ้าของ แก้จิตเจ้าของ อันนั้นเป็นสิ่งภายนอกนอกไปจากจิต ตัวจิตเองจะเป็นผู้รับทุกสิ่งทุกอย่างในนี้ ให้ดูตัวนี้ให้รอบคอบ อันนั้นเป็นอาการเป็นเงาของจิต หรือเป็นเรื่องที่จิตได้รู้ได้เห็นสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นสิ่งนั้นๆ ต่างหาก ไม่ใช่เรา ให้ปรับปรุงเราให้ดีเข้าไปยิ่งกว่านั้น แล้วสิ่งเหล่านี้จะเป็นครูสอนเรา เป็นครูสอนโลก ดังที่พูดเวลานี้สอนด้วยกันทุกคน ให้นำไปพินิจพิจารณา ใครบกพร่องตรงไหนให้นำไปแก้ไขเสีย เวลายังไม่ตายยังมีผู้บอกเล่าอย่างนี้ก็ยังดี

พอ พูดอย่างนี้แล้วเราก็ยังไม่เคยพูด ได้ ๕๕ ปีนี้ สิ่งเหล่านี้นะ เราไม่เคยพูดเพราะเห็นว่าจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย พูดไปก็เท่านั้นแหละๆ ไม่ค่อยเกิดประโยชน์นัก วันนี้มีเหตุการณ์ที่จะพูดบ้างก็เอามาพูด เวลาพิจารณาลงไปนี้ กำหนดพิจารณา เอา ฟาดแดนนรกขึ้นมาอยู่กับมนุษย์นี้เลยให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ไฟแดนนรกเผาไหม้สัตว์ทั้งหลายที่เป็นบาปเป็นกรรมมากๆ นั้นให้เห็นต่อหน้าต่อตา นี่คือแดนนรก เอาขึ้นมาแสดงในเมืองมนุษย์เรานี้ แต่เมืองมนุษย์ไม่มีนะเวลานั้น จะมีแต่อันนี้ละแสดงออกเต็มเหนี่ยวๆ ภาพนรกภาพนี้ผ่านไป ภาพนั้นผ่านมา แสดงเรื่องราวของสัตว์โลกที่ทำกรรมชั่วช้าลามกแล้วไปตกนรก เรื่องของนรกเรื่องสัตว์นรกที่ตกนั้น ขึ้นมาแสดงในหัวใจ พูดง่ายๆ จังก้าอยู่นี้เลยให้ดูอย่างชัดเจนในแดนมนุษย์เรา

ก็ เราอยู่แดนมนุษย์ นั่งอยู่ก็คือมนุษย์นั่ง พิจารณาก็มนุษย์พิจารณา แต่แดนนรกขึ้นมาจ้าๆ อยู่นี้ให้เห็นอย่างชัดเจน ถ้าธรรมดาเรียกว่าสลบไสลนั่นละ มองดูแล้วจะดูไม่ได้ แต่นี้ดูอย่างสบาย เห็นอย่างสบาย ไม่ว่าแดนนรก แดนสวรรค์ แดนอะไรจะออกมาแสดงให้เห็นอยู่ที่ใจนี้หมด เพราะฉะนั้นใจจึงเป็นของเลิศเลอมากถ้าทำให้ดี ถ้าทำไม่ดีก็เลวมาก ไปอยู่ในแดนนรกก็คือใจดวงนี้ ให้พากันจำเอา ที่พูดมานี้มันรู้มาพอแล้ว แต่ไม่เป็นสิ่งที่จะพูดอะไรก็ไม่พูด วันนี้มีเรื่องมาสัมผัสจึงพูดเสียบ้าง แดนนรก แดนไหนๆ ขึ้นมาจ้าอยู่ในนี้ มาแสดงให้เห็นเต็มเหนี่ยวๆ แล้วผ่านไป แดนนี้ผ่านมาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนๆ  จากนี้ก็แดนสวรรค์ พรหมโลก แสดงให้เห็นชัดเจนจากหัวใจดวงนี้

หัวใจ ดวงนี้เข้าถึงได้หมด แดนนิพพานไม่พูดเพราะหมดสมมุติไปแล้ว เหล่านี้อยู่ในแดนสมมุติทั้งนั้น นรกไม่ว่าหลุมใดๆ เป็นแดนสมมุติทั้งนั้น ส่วนนิพพานพูดไม่ได้เลยเพราะไม่ใช่แดนสมมุติ พูดก็พูดได้แต่ว่านิพพานเฉยๆ อะไรก็เอามาพูดไม่ได้มันไม่เหมือนเลย พากันพิจารณานะ ที่พูดนี้ก็เป็นสักขีพยานอันหนึ่ง วันนี้เรามาพูด นี้ปรากฏยิ่งมากกว่านี้อีกเป็นไหนๆ ฟังซิ แดนนรกขึ้นมาให้เห็น มาเผามาอะไรกันอยู่นี้ทุกสิ่งทุกอย่าง โอ๋ย พูดไม่ถูก เห็นอย่างชัดเจนหายสงสัยๆ แต่เวลาจะเอามาพูดพูดไม่ถูก พูดได้เพียงเท่านี้ ที่มันละเอียดลออทุกสิ่งทุกอย่างไม่เคยรู้เคยเห็น ได้มาปรากฏขึ้นในจิตใจตามความจริงที่แสดงนั้น เห็นประจักษ์อย่างไม่สงสัยเลย วันนี้นี้มาพูดเราก็เอาออกมาพูดบ้าง เอาละพอ พูดมากไปมันจะเป็นบ้าทั้งเขาทั้งเราไปละ

สันติ หนูรู้จักเขาที่ตกนรกเพราะเป็นเพื่อนกัน แต่ช่วยไม่ได้

หลวงตา เพื่อน ไม่เพื่อนก็ช่างเถอะ ทุกข์อยู่กับผู้ทำไม่อยู่กับใคร สุขก็อยู่กับผู้ทำ วันนี้ก็เอาไปฟังเสียนะ วันนี้ได้ออก อันนี้มาเป็นเหตุได้ออก ถ้าไม่มีเหตุนี้ไม่ออก จนกระทั่งวันตายก็ไม่ออก เพราะเป็นวิสัยของจิตที่รู้ที่เห็นตามนิสัยวาสนาของแต่ละรายๆ นี้จะรู้จะเห็นเต็มหัวใจๆ ไม่สงสัยๆ แต่สิ่งที่ควรจะนำมาพูดได้มากน้อยหรือว่าไม่พูดนั้นเป็นเรื่องของผู้พิจารณา ผู้รู้ ผู้เห็นจะนำออกพิจารณาเองพูดเอง ไม่ควรพูดก็ตายไปด้วยกันเลย

นี่ที่ธรรมพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ตั้งแต่แดนนรกขึ้นมานี้ กราบสนิทเลย หาที่ค้านไม่ได้เลย จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ว่านรกมีก็มีอย่างนี้ สวรรค์มีอย่างนี้ๆ บาปบุญเป็นยังไงที่อยู่ในแดนนรกเป็นอย่างนั้น คุณงามความดีที่เป็นบุญเป็นกุศลเป็นยังไง อยู่ในบุคคลผู้เสวยสุขอยู่อย่างนั้นๆ ชัดเจนหมดเลยไม่สงสัย แต่เวลาจะเอามาพูดพูดไม่ได้ พูดไม่ถูก มันมีข้อขัดข้องหลายประการถึงขั้นที่ว่า ๑.พูดไม่ได้ ๒.ไม่ควรพูดเลย เข้าใจ เอา ให้พิจารณาไป

เรื่อง จิตเป็นของสำคัญนะ อย่าเห็นแต่แดนนรกนั้นแดนนรกนี้ แดนนรกอันหนึ่งที่ยังถอนมันไม่ได้ มันเป็นแดนนรกอันหนึ่งอยู่ในใจก็ให้ดูเอา มันละเอียดแดนนรกอันนี้ ถอนออกหมดแล้วจะไม่มีนรกเหลือเลย ถ้ายังมีกิเลสอยู่ในจิตแม้น้อยหนึ่งก็แดนนรกน้อยก็มีอยู่ในนั้น เข้าใจไหม ถ้าเอาออกหมดแล้วนรกไม่มี ถ้ากิเลสยังมีอยู่นั้นแดนนรกน้อยๆ ตัวเท่าไอ้หยองนี้ยังมีนะเข้าใจไหม เอาละพอเท่านั้น พูดเพียงเท่านั้นละวันนี้

ผู้กำกับ พล เอกชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวในการสัมมนาเรื่อง บทบาทของพระพุทธศาสนาในการส่งเสริมความมั่นคงของชาติ ว่า พระพุทธศาสนาและเรื่องความมั่นคงของชาติเป็นเรื่องสำคัญ คนไทยควรให้ความสนใจศึกษาหาความรู้ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และปฏิบัติตนให้ถูกต้องในการส่งเสริมพระพุทธศาสนาและความมั่นคงของชาติ ปัจจุบันพระพุทธศาสนาต้องประสบภัยทั้งภัยภายนอกและภัยภายใน ภัยจากภายนอกมาจากลัทธิศาสนาอื่น จากกระแสวัตถุนิยม ภัยภายในมาจากพุทธศาสนิกชนทั้งบรรพชิตและฆราวาสที่ไม่ประพฤติปฏิบัติตามหลัก ธรรมของพระพุทธศาสนา เป็นชาวพุทธแต่เพียงในนาม ไม่ได้เป็นชาวพุทธที่แท้จริง ที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน มีคำพูดและการกระทำที่บ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ทำให้บทบาทของพระพุทธศาสนาในการส่งเสริมความมั่นคงของชาติลดน้อยลง ทุกคนจะต้องร่วมมือกัน จบครับ

หลวงตา เออ นี่ถูกต้องแล้วนะ ที่พลเอกชวลิตมาพูดนี้ถูกต้องแล้ว เวลานี้ภัยของพุทธศาสนาเราเกิดขึ้นจากพระเป็นตัวสำคัญมากทีเดียว เวลานี้พระเป็นอลัชชี พระเป็นมหาโจรปล้นศาสนา เหยียบหัวพระพุทธเจ้า ฟันหัวพระพุทธเจ้าแหลกเหลวไปหมดเวลานี้ คืออลัชชีในเพศของพระนี้ละ ว่าเป็นศากยบุตรลูกตถาคต แต่มันกลับกลายเป็นมหาภัยต่อพระพุทธเจ้า เหยียบหัวพระพุทธเจ้าคือพระธรรมวินัยคำสั่งสอนนั้นให้แหลกเหลวไปหมด เอาตั้งแต่ความเลวร้ายขึ้นมาประกาศทั่วโลกดินแดนหายางอายไม่ได้เวลานี้ นี่ละภัยเกิดอยู่แล้ว นี้เราก็ประกาศมาอยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ ทางภายนอกมันก็ประกอบกันเหมือนกันนี่ละ กิริยาอาการที่แสดงออกไปนี้มีตั้งแต่เรื่องเป็นภัยต่อชาติ ต่อศาสนา และพระมหากษัตริย์ทั้งนั้นๆ เลยนะเวลานี้

เรา จึงได้เตือนเสมอกระตุกเสมอ นี้มันมีตั้งแต่ภายนอก มาดูข้างนอก ภายในก็พิจารณาเต็มเหนี่ยว เพราะฉะนั้นการพูดออกมาจึงไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน เพราะมีภายในเป็นเครื่องยันกันๆ เราไม่ได้มีตั้งแต่คิดโน้นเดานี้เอามาพูดเฉยๆ นะ ภายในก็มีภายนอกก็มีมาประกอบกันเข้ากันได้จังหวะดีแล้วออกเลยๆ ถ้าจะออก ไม่ออกก็ไม่ออกเท่านั้นเอง ท่านทั้งหลายจำไว้นะ อย่าหลับหูหลับตา ต้องต่อสู้ต้านทาน เราเป็นเจ้าของสมบัติของชาติไทยเรา ให้ต่างคนต่างรับผิดชอบด้วยกัน

เวลา นี้ภัยกำลังหนาแน่น อย่าหดหัวอยู่ในกระดอง มันจะเป็นเต่าถูกเขาทับกระดองแตกหัวแตกนะ เวลานี้มหาภัยนี้หน้าด้านมาก ดื้อด้านที่สุด หน้าด้านที่สุดทุกแบบ มาทางศาสนาก็ไปอีกแบบหนึ่ง ไปทางโลกก็ไปอีกแบบหนึ่ง มีแต่แบบจะทำให้ชาติ ให้ศาสนาและพระมหากษัตริย์บรรลัยไปด้วยกันนั้นแหละเมื่อเช้านี้ก็พูดถึงเรื่องพระราชอำนาจต้องเอากันอย่างหนัก นี้ยังจะได้ประชุมกันอีกอยู่พระ

แดน พุทธศาสนาในพระสงฆ์ผู้ทรงศีลทรงธรรม เทิดทูนขนบประเพณีอันนี้มานมนาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช นี้เป็นพื้นฐานแห่งเมืองไทยของเราที่เป็นประเพณีอันดีงามมาดั้งเดิม เวลานี้กำลังถูกแย่งเอาไป จากนั้นทางนี้จะทวงคืน หึงหวงเห็นไหมล่ะ นี่พวกเปรตพวกผีมันทำลายอยู่อย่างนี้แหละให้จำเอา เอาละพอ วันนี้พูดเท่านั้นละสายแล้ว

(ทองคำเมื่อเช้าได้ ๕ บาท ๑๑ สตางค์ครับ)

วัน นี้ได้ตั้ง ๕ บาท ๑๑ สตางค์ของน้อยเมื่อไร นี่ละทองคำประเภทซึมซาบ คือค่อยไหลซึมเข้าไปตามกองใหญ่ที่เรามอบไปแล้ว ๑๑ ตันกับ ๓๗ กิโลครึ่ง นี่มอบเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ไม่ควรจะให้ขาดวรรคขาดตอนทีเดียว เพราะทองคำในคลังหลวงของเรายังขาดอยู่มากทีเดียว จึงควรจะได้ทองคำประเภทน้ำไหลซึมตามเข้าไปๆ เป็นประเภทพรำเบาๆ พรำฝอยๆ บางทีก็ตูมตามลงมา ลูกเห็บคนละ ๙ บาท ๑๐ บาทก็มี บางทีเป็นกิโลก็มี นี่เรียกว่าลูกเห็บตูมตามลงมากับฝนกำลังมันฝอยลง ให้ได้มากๆ นะเรา เป็นห่วงตรงไหนเราก็พูดให้พี่น้องฟัง เป็นห่วงชาติไทยของเรา จุดนี้เป็นห่วงมากอยู่ เพราะฉะนั้นเวลาเรื่องผ่านไปแล้วจึงยังไม่แล้ว ยังขอบิณฑบาตและออดอ้อนพี่น้องทั้งหลายอยู่ตลอดนี้ อย่าด่วนว่าหลวงตาบัวรบกวนพี่น้องทั้งหลายเข้าใจเหรอ ให้หามาเถอะ ให้พร

ก็ ดีอินโดนีเซียมาพูดให้ฟังวันนี้ มาสัมผัสเลยได้นำออกบ้างวันนี้ ที่ว่านรกแดนเมืองผีมาประกาศก้องให้เห็นประจักษ์ชัดเจนอยู่กับหัวใจบน พื้นฐานของเมืองมนุษย์ วันนี้ออกเสียบ้าง นี่เห็นไหมล่ะเก็บมานานสักเท่าไรแล้ว ๕๕ ปียังไม่เคย วันนี้มาสัมผัสจึงออก ที่ยังไม่ออกมากกว่านี้เป็นไหนๆ เข้าใจเหรอนั่น ละธรรมไม่ได้ผลักได้ดัน ไม่กดไม่ถ่วง ไม่ดีดไม่ดิ้น ที่กระวนกระวายอยากพูดอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มีในธรรม มีเหมือนไม่มี รู้เหมือนไม่รู้ เห็นตามความเป็นจริงแล้วอยู่ตามเป็นจริงๆ เมื่อไม่มีอะไรสัมผัสที่จะนำออกมาก็ไม่ออก วันนี้ทางอินโดนีเซียมา ทางนั้นออกมาทางนี้จึงแย็บออกรับกัน มากกว่านี้เป็นไหนๆ จะมาว่าอะไรอย่างนั้น

วัน นี้สันติมาพูดรู้สึกปลุกใจทางนี้ดีนะ ได้แย็บออกมาเสียบ้าง เขาพูดน่าฟัง พอเขาพูดปั๊บมันจะวิ่งถึงกันหมดกับเรื่องของเราที่เป็นมายังไงๆ เราจึงวิตกวิจารณ์ที่ว่าไปตกนรกๆ นั้น วิตกวิจารณ์กับพวกปทปรมะที่มันไม่ยอมฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเลย พวกนี้จะเหมาเรื่องนรกนี้มาอยู่ในตัวทั้งหมดตั้งแต่ยังไม่ตายละ พวกปทปรมะ พวกคัดค้านธรรมพระพุทธเจ้า พวกโจมตีพระพุทธเจ้า พวกเดียวกันนั้นละ ไปละที่นี่

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
สักขีพยานเรื่องแดนนรก

จะเป็นอย่างนี้ด้วยกัน

วันนี้เป็นวันที่พี่น้องทั้งหลายที่มาในงานนี้จะได้พิจารณาทั่วถึงกัน เพราะความเป็นเช่นนี้ จะมีทุกรูปทุกนาม ไม่มีเว้นแม้รายเดียว ว่าเกิดแล้วต้องตาย เป็นคู่เคียงกันมาตั้งแต่วันเกิด วันตายมันถ่ายรูปติดตัวมาตลอด จนกระทั่งวาระสุดท้ายก็ตาย เวลามีชีวิตอยู่อย่าได้พากันเพลิดเพลิน จนเกินเนื้อเกินตัว เป็นเรื่องของกิเลสหลอกคนให้ลุ่มหลงหนักมากขึ้นๆ ทางที่จะไปข้างหน้าก็ปิดตันอั้นตู้ไปหมด หาทางเบิกกว้างให้เป็นความสงบร่มเย็นแก่ใจดวงที่สมบุกสมบัน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวนี้ไม่ได้

วันนี้อาจารย์จินตนา ซึ่งเป็นผู้ใจบุญมาตั้งแต่กาลไหนๆ ก็ได้ล่วงลับไปแล้ว วันนี้จะได้ปลงกเฬวรากซากศพ ให้พี่น้องทั้งหลายได้ปลงธรรมสังเวชทั่วถึงกัน ไม่มีใครยิ่งหย่อนต่างกัน เรื่องสภาพเช่นนี้มีอยู่กับทุกคน ต่างกันแต่เพียงว่าก่อนหรือหลังเท่านั้น เมื่อมีชีวิตอยู่ อย่าได้พากันเพลิดเพลินจนเกินเนื้อเกินตัว เวลาตายจะคว้าอะไรไม่ทัน สุดท้ายก็ได้ตั้งแต่สิ่งที่เราเพลิดเพลินรื่นเริงไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้นแล จะย้อนเป็นไฟมาเผาเราในภพชาติต่างๆ

สิ่งเหล่านี้ส่วนมากมักจะมีแต่ความเพลิดเพลินรื่นเริง หลงงมงายไปตามกิเลส ที่ชักจูงไป ลากเข็นไป เราไม่รู้ตัว แต่พอรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว เกิดขึ้นมาก็เป็นรูปมนุษย์เกิดเฉยๆ ก็อยู่กับมนุษย์เขาทั่วๆ ไป แต่ศีลธรรมที่เป็นเครื่องฉุดลากจิตใจ ให้มีความอบอุ่นนั้นไม่มี มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย เพราะกิเลสหลอกลวงต้มตุ๋น ให้เพลิดให้เพลิน ให้รื่นให้เริง ประหนึ่งว่าโลกเขาตายทั้งโลก จะเหลือแต่เราคนเดียวไม่ตาย อายุของเราจะอยู่ค้ำฟ้า ทั้งที่โลกทั้งหลายตายกันทั้งนั้น นี่ละจะเป็นความเสียท่าเสียที ของบุคคลที่ลุ่มหลงจนเกินเนื้อเกินตัว

วันนี้เป็นวันที่ควรจะปลงธรรมสังเวชด้วยกัน จะเป็นอย่างนี้ด้วยกันหมดทุกรูปทุกนาม เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ท่านว่ามรณกรรม คือเรื่องความตายนี้ ไม่มีว่าสูงว่าต่ำ ว่าให้เกียรติผู้ใด เป็นหลักความจริง เกิดแล้วต้องตาย เป็นแต่เพียงว่าก่อนหรือหลังกันเท่านั้น เวลามีชีวิตอยู่ ขอเชิญชวนพี่น้องทั้งหลาย ให้ระลึกถึงศีลถึงธรรมเข้าสู่ใจบ้างพอประมาณ ถ้าไม่ได้มาก ถ้าจิตใจมีความฝักใฝ่ใคร่ต่ออรรถต่อธรรมไปตลอด นั้นเป็นความรื่นเริงไปเรื่อยๆ มีชีวิตอยู่ก็รื่นเริงกับอรรถกับธรรมภายในใจ ตายไปแล้วก็สุคติเป็นที่หวัง

คนใจบุญสุนทาน ไม่เคยปรากฏว่าไปตกนรกหมกไหม้ หรืออเวจีหลุมไหนไม่เคยมี ธรรมของพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยแสดงไว้ เพราะไม่มี ท่านไม่อุตริแสดงธรรม เอาสิ่งไม่มีมาแสดง สัตว์โลกจมอยู่ด้วยกองทุกข์ ท่านก็บอกว่าจมอยู่ด้วยกองทุกข์ ผู้มีความเฉลียวฉลาดบำเพ็ญตัวให้เป็นประโยชน์ เวลามีชีวิตอยู่ทั้งทางโลก ก็ช่วยโลกช่วยสงสารตามกำลังของตน ทั้งฝ่ายธรรมก็สนใจใคร่อรรถใคร่ธรรม ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่เอกอุ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนแล้ว น้อมเข้ามาสู่ใจ ประหนึ่งว่าเราตามเสด็จพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดเวลาที่เราระลึกถึงท่าน ชีวิตจิตใจความระลึกของเราอันนี้เป็นมงคล มหามงคลแก่เรา ขอให้น้อมเข้ามาระลึกถึงบ้าง อย่าระลึกตั้งแต่เรื่องความเพลิดความเพลินรื่นเริงบันเทิง

โลกเขาตายเกลื่อน ไปที่ไหนมีแต่เรื่องเกิดเรื่องตาย แต่เราจะอยู่ค้ำฟ้าคนเดียวนี้ มันหลงตัวลืมตัวจนเกินไป ตายแล้วจะเสียท่า เวลานี้เตือนให้พี่น้องทั้งหลายได้รับทราบเสีย วันนี้เป็นวันสักขีพยานที่จะได้เผาศพเผาเมรุกัน ก็เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาไม่ได้โกหกกัน เราทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ หรือที่อื่นที่ใด ไม่มียกเว้นแม้แต่รายเดียวที่จะไม่เป็นอย่างนี้ แต่สัตว์ทั้งหลายเขาไม่รู้เนื้อรู้ตัว มนุษย์เรานี้เป็นสัตว์ฉลาด ควรจะรู้เนื้อรู้ตัว ระลึกในสิ่งที่เป็นสาระและอสาระเข้ามาสู่ใจ คัดเลือกสิ่งที่เป็นสาระเข้าสู่ใจ ปัดสิ่งที่ไม่ดีงามทั้งหลายออกจากใจ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่เลิศเลอ

ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเลิศเลอยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าใครมีธรรมประเภทนี้ พุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ อยู่ภายในใจนั้น คนนั้นแม้จะทุกข์จนข้นแค้น หัวใจไม่ได้ทุกข์ สมบูรณ์พูนผลไปด้วยอรรถด้วยธรรม ไปด้วยความสุขความเจริญ ความอบอุ่น ทั้งมีชีวิตอยู่และตายไป ไม่ใช่เป็นคนอาภัพ ยิ่งเป็นคนมั่งมีศรีสุข เงินทองข้าวของกองเป็นล้านๆ เท่าภูเขา แต่ไม่มีศีลธรรมภายในใจเลย คนนี้สู้คนจนๆ แต่มีธรรมในใจไม่ได้ ท่านทั้งหลายจะเอาส่วนไหน ให้ท่านเลือกเสียตั้งแต่บัดนี้ ตายไปแล้วจะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว

สมบัติเงินทองข้าวของ เป็นเพียงเครื่องอาศัยในเวลามีชีวิตอยู่เท่านั้น พอลมหายใจขาดเท่านั้น สกลกายของเราก็ขาดกรรมสิทธิ์ สมบัติเงินทองข้าวของมากน้อยก็ขาดกรรมสิทธิ์ไปเช่นเดียวกันหมด สิ่งที่ติดเนื้อติดตัว คือใจของเราซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวไปนั้นก็คือบุญและบาป คำว่าบาปนี้ใครเป็นคนสั่งสอนไว้ คนตาบอดหูหนวก คนโง่เขลาเบาปัญญา ไม่สามารถมาเป็นศาสดานำธรรมมาสอนโลกได้ ก็คือพระพุทธเจ้าผู้เฉลียวฉลาด จอมปราชญ์นั้นเอง มาสอนโลก ท่านสอนว่าบาปมี บาปนั้นทำความเดือดร้อนแก่ผู้ทำบาป บุญมี บุญทำความอบอุ่นเย็นใจให้แก่ผู้สร้างบุญสร้างกุศล ให้พากันคัดเลือกเสีย ตั้งแต่บัดนี้ที่ยังไม่ตาย เวลาตายไปแล้ว นิมนต์พระมากี่วัด มา กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าเจ้าของไม่สร้างกุสลา คือบุญกุศลเสียตั้งแต่บัดนี้

อันนี้ตายแล้วไปนิมนต์พระมากุสลา มันไม่เกิดประโยชน์ หากจะเกิดประโยชน์แล้วศาสนาก็ไม่มี บวชหลวงตาไว้สัก ๒-๓ องค์ ไว้ในบ้านหนึ่งๆ เพื่อมากุสลา ธมฺมา เขาจะสร้างบาปสร้างกรรมขนาดไหนก็ตาม มีผู้ยืนยันรับรองเขาแล้ว คือหลวงตาที่บวชไว้ประจำบ้านนั้นๆ ท่านจะมากุสลาโยนขึ้นสวรรค์นิพพานไปเอง ไม่ต้องสร้างคุณงามความดีให้เสียเวล่ำเวลา ลำบากเปล่าและสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่นี่มันไม่เป็นเช่นนั้น บุญเป็นบุญ บาปเป็นบาป ให้พากันเชื่อบาป

คำว่าบาปนี้ ไม่ใช่คนโง่เขลาเบาปัญญามาสอนไว้ ศาสดาองค์เอกคือพุทธศาสนาของเรานี้ ออกจากพระพุทธเจ้าผู้สิ้นกิเลสแล้ว เป็นโลกวิทู รู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกใน ตลอดทั่วถึง เทวบุตร เทวดา อินทร์พรหม ถึงนิพพาน ย้อนลงไปถึงเปรตถึงผีนรกอเวจี ไม่มีใครจะรู้แม่นยำยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ท่านนำธรรมที่ท่านทรงรู้ทรงเห็นแล้วนี้มาสอนพวกเราผู้ตาบอดหูหนวก ให้พากันฟังเสียงท่านบ้าง ถ้าฟังเสียงท่านแล้ว ให้พยายามบึกบึนตามท่าน ว่าบาปมี ให้ระวังบาป

เจ้าของนั้นแหละเป็นตัวคึกตัวคะนอง ชอบทำบาป ครั้นเวลาทำลงไปแล้ว ความทุกข์ซึ่งเป็นผลของบาปจะมาหาผู้ทำ จะไม่ไปสู่ที่ใด ไม่ใช่เจ้าของของเขา เจ้าของของบาปก็คือผู้ทำบาป เจ้าของของบุญก็คือผู้ทำบุญ จะเข้ามาสู่เจ้าของนี่แหละ พาเป็นพาตายก็คือบุญและบาปนี้ ถ้าบาปแล้ว ดึงลงๆ โดยถ่ายเดียว ใครอยากไปรับความทุกข์ความทรมาน แม้แต่เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ไม่อยากเป็น รักเรื่องรักสัตว์นั้นน่ะ เช่น เราเลี้ยงไว้ในบ้านในเรือนของเรา เมืองไทยของเราหรือเมืองไหนๆ ก็ชอบเลี้ยงสัตว์ไว้ดูเล่น รักหมาเป็นต้น แต่เวลาถามอยากเป็นหมาตัวนี้ไหม ไม่อยากเป็นด้วยกัน แต่รักเขา เป็นอย่างนั้นละเข้าใจไหม

ไม่มีภพใดชาติใดสู้ภพชาติมนุษย์ได้ มนุษย์นี้รู้ทั้งบุญทั้งบาปทุกสิ่งทุกอย่าง เรานั่งฟังอยู่เวลานี้ก็รู้อยู่ด้วยกัน ขอให้ฟังเสียงธรรมของพระพุทธเจ้าบ้าง อย่าฟังแต่เสียงกิเลส ที่มันกล่อมตลอดเวลาให้เคลิ้มหลับไปๆ ด้วยความมืดบอด จะหาความสุขความเจริญแก่ตัวเองไม่ได้ เวลาตายไปแล้วจะจมๆ เพราะความคึกความคะนอง ในการสร้างบาปสร้างกรรมของตนนั้นแหละ ให้พากันสร้างบุญสร้างกุศล

วันหนึ่งคืนหนึ่งตั้งแต่เราเกิดมานี้ กี่ปีกี่เดือนแต่ละคนๆ มาจนกระทั่งบัดนี้ อายุเท่าไร เราเคยสร้างบาปมากน้อยเพียงไร จดทะเบียนไม่ทัน บัญชีไม่ทัน มีแต่บาปเต็มตัว มองเห็นกันเห็นตั้งแต่บาปเต็มตัวๆ หัวคนไม่เห็น เพราะหัวก็หัวบาปเสีย ที่ไหนก็มีแต่บาปเต็มตัว ตายแล้วจมลงในนรก เราอยากเป็นอย่างนั้นเหรอ ถ้าไม่อยากเป็นอย่างนั้น ให้ฟังเสียงศาสดาองค์เอก คือพระพุทธเจ้าไม่เคยโกหกใคร ว่าบาปมี บาปทำความเดือดร้อนแก่ผู้ทำ ให้พากันพยายามละ บุญมีขอให้พากันขวนขวาย สร้างบุญสร้างกุศล อย่าอยู่เปล่าๆ กินเปล่าๆ นอนเปล่าๆ ได้มาใช้สอยด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้แบ่งกินแบ่งทาน

แบ่งกินก็คือเพื่อธาตุเพื่อขันธ์ของเรา แบ่งทานก็เพื่อจิตใจของเรา เราสละทานลงไปแล้ว ใจเราได้สร้างบุญสร้างกุศล ผลความดีทั้งหลายจะไหลเข้าสู่ใจ เวลาตายไปแล้ว ผลบุญนี้แหละจะเป็นผู้สนับสนุนจิตใจของเรา ให้ไปเกิดในสถานที่ดีคติที่เหมาะสม ตั้งแต่มนุษย์ผู้มีฤทธาศักดานุภาพมีอำนาจวาสนา ขึ้นไปถึงเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม เมื่อบุญกุศลเต็มที่แล้ว ถึงนิพพานได้ก็คือบุญคือกุศล

อย่าพากันขี้เกียจขี้คร้าน อย่าพากันอ่อนแอท้อแท้ ในการสร้างบุญสร้างกุศล ให้เชื่อพระพุทธเจ้า ศาสดาองค์เอกนี้มีเพียงพระองค์เดียวที่สอนอย่างแม่นยำ เรียกว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ชอบแล้วดีแล้ว ไม่มีที่จะได้เพิ่มเติมหรือตัดออก เป็นความถูกต้องแม่นยำพอดิบพอดี ได้แก่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ว่าบาปมี มีจริงๆ บุญมี มีจริงๆ นรกมี นรกกี่หลุมมีจริงๆ ตามพระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นด้วยพระญาณหยั่งทราบแล้วมาสอนโลก สวรรค์มีกี่ชั้น ตั้งแต่มนุษย์เราก็เห็นกันอยู่นี้ พระพุทธเจ้าก็ว่าแดนมนุษย์ เราเป็นมนุษย์ เราทำไมจะไม่เห็นตัวเองว่าเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าสอนก็สอนถูกต้อง จากนั้นก็พวกเทวบุตร เทวดา อินทร์พรหม ทรงรู้ทรงเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วมาสอนพวกเรา

เหตุผลของสิ่งเหล่านี้เป็นมาจากอะไร คนทำบาปต้องตกไปในทางที่ต่ำ สิ่งใดที่ไม่พึงปรารถนามักจะเกิดจะพบจะเห็นในสิ่งเหล่านั้น สิ่งที่พึงปรารถนาแต่ขี้เกียจขี้คร้าน สร้างความดีให้สมความปรารถนา ไม่ทำกัน นี่ละโลกจึงมีแต่ความผิดหวังๆ ใครก็อยากให้สมหวังทุกคน เกิดมาในโลกนี้เสาะแสวงหาตั้งแต่ความดิบความดี ขอตั้งแต่ความสุขความเจริญ ครั้นเวลาได้มามีแต่ความผิดหวังๆ บางรายนอนไม่หลับ มือเกยหน้าผาก นอนไม่หลับ แล้วหนักเข้าไปกว่านั้น เป็นบ้าก็มี เพราะความคิดมาก อยากได้ให้สมใจ แต่มันไม่สมใจ เพราะการกระทำของตัวมันขัดแย้งกันกับความมุ่งหวังที่ให้เป็นความสุข แต่ไปทำความทุกข์ขึ้นมาเสีย ความทุกข์ก็มาขัดแย้งทางเดินเพื่อความสุข เลยไปไม่ได้ให้พากันคิดเสียตั้งแต่บัดนี้ ตายแล้วจึงนิมนต์พระมากุสลา ธมฺมา ไม่เกิดประโยชน์

พระท่านสอนคนเป็นๆ นี้แหละ เราผู้ฟังก็นั่งฟังอยู่ด้วยกัน ให้ต่างคนต่างฟัง ผู้เทศน์ก็ตั้งหน้าตั้งตาเทศน์ อย่างหลวงตาเทศน์อยู่เวลานี้ เอาอรรถเอาธรรมมาเทศน์ เป็นภาษาธรรมล้วนๆ ตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมค้อม ไม่มีลูบหน้าปะจมูก นั่นไม่ใช่ภาษาธรรม ภาษาของกิเลส ปลิ้นปล้อนหลอกลวงต้มตุ๋น ประจบประแจงเลียแข้งเลียขา นั่นเป็นภาษาของกิเลส ภาษาของธรรม ดีบอกว่าดี ชั่วบอกว่าชั่ว ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก นรกบอกว่านรก สวรรค์นิพพานบอกสวรรค์นิพพาน ท่านสอนไว้ให้เราละเราบำเพ็ญ ในสิ่งที่ควรละและสิ่งที่ควรบำเพ็ญ อย่าตายใจ

เวลานี้จิตใจมนุษย์เรานี้ซึ่งเป็นชาวพุทธ รู้สึกว่าหนามากเข้าทุกวันๆ ชวนไปวัดเหมือนจะถูกโยนลงในนรก ร้องแหง็กๆ เหมือนจูงหมาใส่ฝนนั้นแหละ เคยเห็นไหมเวลาฝนตกจ้ากๆ จูงหมาออกไป มันร้องแหง็กๆ ไหม ถ้าไม่ร้องแหง็กๆ ก็แสดงว่าผู้พูดนี้ผิดไป หมายังดีๆ ยังสบายอยู่ สบายหมาบางตัวที่มันร้อนๆ มันโดดลงอ่างน้ำ มี เราไม่ว่าตัวเช่นนั้น ตัวที่รังเกียจน้ำ ไปจูงมันใส่น้ำ มันร้องแหง็กๆ อันนี้จูงไปวัดไปวา ไปหาศีลหาธรรม ร้องแหง็กๆ ขึ้นมาทุกคน อยากจะว่าทุกคน วันนี้ติดธุระงานนั้นยุ่ง งานนี้ยุ่ง ถ้าจะชวนไปวัด มีแต่ยุ่งเต็มตัว ถ้าจะชวนลงไปเหวไปบ่อ ตกนรกอเวจีทั้งเป็นนี้ มีสิบขาอยากได้สิบขา ยี่สิบขามันไปด้วยกัน เหมือนขาบุ้งกือเพราะอยากไป นี่ละสิ่งที่มันไม่สมหวัง เพราะมันขัดต่อหลักความจริงที่เราทำอยู่ทุกวันนี้

ให้ดัดแปลงแก้ไขจิตใจของเราด้วยอรรถด้วยธรรม ธรรมไม่เคยพาใครให้ผิดหวัง สอนคนให้ถูกต้องแม่นยำไปตามอรรถตามธรรม มีความสุขความเจริญ ส่วนกิเลสหลอกลวงต้มตุ๋น ให้ติดแต่ความทุกข์ความลำบาก จนตรอกตัวเองนั่นแหละ ให้พากันจดจำเอาเสียในวันนี้ หลวงตาพูดตามอรรถตามธรรม การปฏิบัติมาก็ปฏิบัติตามอรรถตามธรรมอย่างตรงไปตรงมา สิ่งใดที่ผิดขัดต่ออรรถต่อธรรม ปัดออกๆ ด้วยความพากเพียรทุกวิถีทางที่จะทำได้ สิ่งใดที่เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ใจ สั่งสมขึ้นมาๆ ความดีงามก็พอกพูนขึ้นมาโดยลำดับ จนกระทั่งถึงจิตใจหาความสงสัยไม่ได้แล้วในโลกนี้ เมื่อหาความสงสัยไม่ได้แล้ว จะไปสงสัยโลกไหนล่ะ หัวใจเจ้าของก็หายสงสัยแล้ว ดูที่ไหนมันเป็นยังไงก็รู้ตามความสัตย์ความจริง แต่เจ้าของไม่ได้ไม่เสียกับเขา เราก็ไม่เป็นทุกข์

ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ เวลาจะหลับจะนอน อย่างน้อยขอให้ได้กราบพระเสียก่อน เสร็จแล้วก็ให้ภาวนา จะนั่งพับเพียบก็ได้ นั่งขัดสมาธิก็ได้ ถ้าอยากสะดวกสบาย ตามนิสัยของคนชอบสบาย จะปีนขึ้นเก้าอี้ ภาวนาก็ได้ก็ไม่ว่านะ ถ้าธรรมดาก็ต้องมีความเคารพในธรรม มีพิธีอันหนึ่งที่เป็นความสวยงามกับธรรม เช่น มีความเคารพ จะนั่งขัดสมาธิก็เป็นความเคารพประเภทหนึ่ง จะนั่งพับเพียบเป็นความเคารพประเภทหนึ่ง แล้วระลึกนึกน้อมถึงพระพุทธเจ้า เช่น พุทโธ ธัมโม สังโฆ ๓ บทนี้บทใดบทหนึ่ง เราชอบบทใดก็นำธรรมบทนั้น เข้ามาบริกรรมจิตใจของเรา ให้ใจอยู่กับคำบริกรรม เช่น พุทโธๆ เป็นต้น สติติดแนบอยู่กับคำบริกรรมนั้น ไม่ให้คิดยุ่งเหยิงวุ่นวายไปทางอื่น ซึ่งเราเคยคิดมาตั้งแต่ตื่นนอน เราบังคับจิตใจเราเพียง ๕ นาที ไม่ให้คิดออกไปสิ่งภายนอก มันจะเป็นยังไง บังคับได้ จิตใจเป็นสิ่งที่ฝึกได้ บังคับได้ ไม่เช่นนั้นพระพุทธเจ้าไม่สอนโลก นี่ก็คือโลกนี้สอนได้ พระพุทธเจ้าจึงสอน ให้นำไปปฏิบัติตนเองบ้างนะ เกิดขึ้นมาก็จะตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร

ใจนี้เป็นนักท่องเที่ยว สิ่งที่จะติดใจไปนี้คือบาปกับบุญ อย่างอื่นอย่างใดไม่ติด สมบัติเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขา ดอกเตอร์ดอกแต้อะไร เรียนมาที่ไหนมันก็มีแต่ความเสกสรรปั้นยอตามกิเลสพอใจเท่านั้น ครั้นตายไปแล้วมันก็เป็นกองกระดูกอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่มีความดี ถ้ามีความดี เอ้า กองกระดูกเป็นกองกระดูก ทั้งเขาทั้งเราเหมือนกัน แต่กองบุญกองกุศลเต็มหัวใจ เราจะดีดไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ไม่ไปอื่น ถ้าคนสร้างแต่บาปหาบแต่กรรม ก็จมลงไปในนรก ให้พากันพินิจพิจารณาบ้างนะท่านทั้งหลาย

วันนี้มาปลงธรรมสังเวช คือจะเผาศพอาจารย์จินตนา ซึ่งเป็นผู้มีบุญมีคุณ เป็นคนใจบุญมาดั้งเดิมอยู่แล้ว ให้ถือเป็นคติตัวอย่าง ตายไปอย่างสุขใจ เราก็ให้นำธรรมนี้ไปเป็นคติเครื่องเตือนใจสอนเราที่ยังไม่ตาย ให้ระลึกพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ในคืนวันหนึ่ง ไม่ต่ำกว่า ๕ นาที ให้นั่งสงบใจ เอาพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ มาเป็นคำบริกรรม แล้วมีสติติดอยู่กับใจ ห้ามไม่ให้คิดไปกับสิ่งใดทั้งหมดในเวลา ๕ นาที ใจจะสงบเย็น วันนี้ก็ทำ วันหน้าก็ทำ ใจจะสงบเย็นลงไปๆ เมื่อใจเย็นเสียอย่างเดียว โลกธาตุไม่มีความหมาย มาเย็นอยู่ที่ใจนี้ทั้งหมด ถ้าใจร้อน ใจเป็นฟืนเป็นไฟเสียอย่างเดียว โลกธาตุก็มาร้อนอยู่ที่หัวใจเรา

เราอย่าเข้าใจว่าโลกนี้กว้างแสนกว้าง มันกว้างมันแคบอยู่ที่หัวใจเรา ให้ปฏิบัติตนให้ถูกตามธรรมของพระพุทธเจ้า เราจะมีความสุขความเจริญต่อไป ให้ท่านทั้งหลายระลึกไว้ให้ดี วันนี้เป็นธรรมสอนโลก เรานำธรรมเป็นภาษาของธรรม มาสอนพี่น้องทั้งหลาย อย่างตรงไปตรงมา แบบอ้อมค้อมไม่ใช่ธรรม แบบตรงไปตรงมานี้คือแบบของธรรม แก้กิเลส กิเลสตัวไหนมันเป็นภัย แก้ออกๆ อันใดที่ดีสั่งสมขึ้นมาๆ จะเป็นความสุขความเจริญแก่เรา กลับไปบ้านไปเรือนนี้ อย่าลืมเนื้อลืมตัว ให้ระลึกถึงบ้าง ใครได้ดูหัวใจตัวเองบ้างไหมตั้งแต่ตื่นนอน หรือตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งบัดนี้ ดูหัวใจนี้มีธรรมไหม เช่น พุทโธ มีสักคำไหม ธัมโม มีสักคำไหม สังโฆ มีสักคำไหม หรือมีแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาเต็มหัวใจ นี้ก็คือไฟทั้งกองเผาหัวใจ ตั้งแต่นี้ถึงตาย กองไฟจะเป็นกองใหญ่โตเผาหัวใจ เรื่องสวรรค์นิพพานที่ท่านผู้ดีทั้งหลายไป ไม่มีความหมายสำหรับคนสั่งสมตั้งแต่ความชั่ว จะจมอยู่ในนรกโดยถ่ายเดียว

ศาสดาองค์เอกไม่เคยหลอกลวงใคร มีแต่เราหลอกลวงเราเอง พระพุทธเจ้าสอนไว้ตรงไหนไปลบ ว่าบาปมี ก็ลบไม่ให้มีบาป บุญมีก็ลบ ไม่ให้มีบุญ แล้วไม่สร้างบุญ ไม่ละบาป สร้างแต่บาป ตายแล้วจม

ให้พากันจำเอานะ วันนี้แสดงธรรมเพียงเท่านี้ ขอฝากธรรมะไว้กับพี่น้องทั้งหลาย นำไปคิดไปอ่าน นี่เป็นภาษาธรรมะป่า ที่นำมาสอนโลกอยู่เวลานี้ เอามาจากป่าจากเขา จากถ้ำเงื้อมผามาสั่งสอนพี่น้องทั้งหลาย ขอให้ระลึกพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในป่า สาวกทั้งหลายตรัสรู้ในป่าในเขา เป็นสรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา นี้ก็ธรรมมาจากป่าจากเขา มาสอนพี่น้องทั้งหลาย ควรจะเป็นที่ระลึกภายในจิตใจ ให้เป็นสิริมงคลในการมาในงานนี้บ้างพอประมาณก็จะเป็นมงคล การแสดงธรรมเห็นว่าสมควรแก่กาลเวลาและธาตุขันธ์ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลาย โดยทั่วกันเทอญ.

พูดท้ายเทศน์

อาจารย์จินตนานี้เวลามีชีวิตอยู่ เข้าออกวัดป่าตลอดมา เป็นลูกศิษย์วัดป่าบ้านตาด มาเสียชีวิตเสีย อาจารย์เป็นห่วงลูกศิษย์ คิดถึงลูกศิษย์ก็เลยมาเผาศพวันนี้ แล้วแผ่เมตตาให้ลูกศิษย์คนนี้ไปสูงๆ ให้ไปสูงกว่าพวกที่นั่งอยู่นี้ เข้าใจไหม ให้อาจารย์จินตนา ลูกศิษย์หลวงตาบัวนี้ ไปสูงกว่าพวกนี้ที่มันขี้เกียจภาวนา เข้าใจเหรอ เอาละพอ

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส
งานพระราชทานเพลิงศพ รศ.รท.หญิง จินตนา พึ่งละออ
ณ วัดกลางราชวรวิหาร อ.เมือง สมุทรปราการ
เมื่อบ่ายวันที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
http://www.luangta.com

ยังจะสงสัยอยู่หรือว่าตายแล้วไม่เกิด แล้วอะไรมันมาเกิด

ที่ท่านพูดว่า โลก ก็คือหมู่สัตว์ สตฺต แปลว่าผู้ข้อง ผู้ยังติดยังข้อง อะไรทำให้ข้อง? เพียงเท่านั้นก็ทราบแล้ว ท่านพรรณนาไว้หลายสิ่งหลายอย่างหลายภพหลายภูมิ ล้วนแต่ภูมิสถานที่ที่ให้จิตติดจิตข้องและจะต้องไปทั้งนั้น ท่านจึงว่าจิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว เพราะเที่ยวไปไม่หยุดไม่ถอย กลัวหรือกล้าก็ต้องไป เพราะกำลังตกอยู่ในความเป็นนักต่อสู้ ขึ้นชื่อว่า นัก แล้วมันต้องต่อสู้อย่างไม่ลดละท้อถอย ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็ไม่เรียกว่า นัก คือสู้ไม่ถอย

ภพภูมิต่างๆ ไปเกิดได้ทั้งนั้น แม้แต่นรกอเวจีซึ่งเป็นสถานที่มีทุกข์เดือดร้อนมากผิดทุกข์ทั้งหลาย จิตยังต้องไปเกิด! อะไรทำให้จิตเป็นนักต่อสู้?

เชื้อ แห่งภพชาติคือกิเลสทั้งมวลนั่นเอง ที่ทำให้สัตว์ทำกรรม กรรมเกิดวิบาก เป็นผลดีผลชั่ว วนไปเวียนมาในภพต่างๆ ภพน้อยภพใหญ่ไม่มีประมาณ ว่าจะหลุดพ้นจากความเกิดในภพนั้นๆ ได้เมื่อใด เกิดเป็นภพอะไรตัวประธานก็อยู่ที่ใจ เป็นผู้จะไปเกิด เพราะอำนาจกิเลส กรรม วิบาก พาให้เป็นไป

ในโลกเรานี้มีสัตว์เกิดมากน้อยเพียงไรใครจะไปนับได้! เพียงในบริเวณวัดนี้สัตว์ต่างๆ ที่สุดวิสัย ตาเนื้อ จะมองเห็นได้มีจำนวนมากเท่าใด สัตว์ที่เกิดที่อยู่ในที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อนี้ก็มี ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ เพราะละเอียดก็มี แม้แต่สัตว์เล็กๆ ซึ่งเป็นด้านวัตถุ แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อก็มี สัตว์ที่เกิดเป็น ภพ เป็นทั้งลี้ลับทั้งเปิดเผยในโลกทั้งสามจึงมีมากมาย ถ้าเป็นสิ่งที่มองเห็นด้วยตาเนื้อได้แล้ว จะหาที่เหยียบย่ำลงไปไม่ได้เลย เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของสัตว์ เต็มไปด้วยภพด้วยชาติของสัตว์ประเภทต่างๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียด เต็มไปทั้งสามภพสามภูมิ แม้แต่ช่องลมหายใจเรายังไม่ว่าง

ใน ตัวของเรานี้ก็มีสัตว์ชนิดต่างๆ อยู่มากจนน่าตกใจ ถ้ามองเห็นด้วยตาเนื้อ เช่น เชื้อโรค เป็นต้น ไม่เพียงแต่วิญญาณ คือจิตเราดวงเดียวที่อาศัยอยู่ในร่างนี้เท่านั้น ยังมีอีกกี่พันกี่หมื่นวิญญาณอาศัยอยู่ในร่างนี้ด้วย ฉะนั้นในร่างกายเราแต่ละคน จึงเต็มไปด้วยวิญญาณปรมาณูของสัตว์หลายชนิดจนไม่อาจคณนา มีอยู่ทุกแห่งได้ เพราะมีมากต่อมาก และละเอียดมากจนไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา ฟังได้ด้วยหู

ในอากาศกลางหาว ในน้ำ บนบก ทั่วทิศต่างๆ มีสัตว์เต็มไปหมด แล้วยังมัวสงสัยอยู่หรือว่า ตายแล้วสูญไม่ได้เกิดอีก ก็อะไรๆ มันเกิดอยู่เวลานี้เกลื่อนแผ่นดิน ภพหยาบก็มีมนุษย์ ซึ่งกำลังหาโลกจะอยู่ไม่ได้ ยังจะมาสงสัยอะไรอีก

ความ เกิดก็แสดงให้เห็นอยู่ทุกแห่งหน ทั้งหยาบทั้งละเอียด ทั้งในน้ำบนบกมีไปหมด ตลอดบนอากาศ ยังจะสงสัยอยู่หรือว่าตายแล้วไม่เกิด แล้วอะไรมันมาเกิด ดูเอาซี เครื่องยืนยัน ไม่สูญ มีอยู่กับทุกคน ถ้าสัตว์ตายแล้วสูญดังที่เข้าใจกัน สัตว์เอาอะไรมาเกิดเล่า? ลงตายแล้วสูญไปจริงๆ จะเอาอะไรมาเกิดได้ สิ่งที่ไม่สูญนั้นเองพาให้มาเกิดอยู่เวลานี้ ไปลบล้างสิ่งที่มีอยู่ให้สูญไปได้อย่างไร ความจริงมันมีอยู่อย่างนั้น ที่ลบไม่สูญก็คือความจริงนั่นแล

จะมีใครเป็นผู้ฉลาดแหลมคม รู้ได้ละเอียดลออทุกสิ่งทุกอย่างตามสิ่งที่มีอยู่เหมือนพระพุทธเจ้าเล่า?

พวก เราตาบอดมองไม่เห็นตัวเอง ได้แต่ลูบคลำไปลูบคลำมา คลำไม่เจอก็ว่าไม่มี แต่ไปโดนอยู่ไม่หยุดหย่อนในสิ่งที่เข้าใจว่าไม่มีนั้น ต่างคนต่างโดน ความเกิด อย่างไรล่ะ โดนกันทุกคนไม่มีเว้น เหมือนเราไม่เห็น เดินไปเหยียบขวากเหยียบหนามนั่นน่ะ เราเข้าใจว่าหนามไม่มีขณะที่เหยียบ แต่ก็เหยียบหนามที่ตนเข้าใจว่าไม่มีนั่นแหละ มันปักคนผู้ไม่เห็นแต่ไปเหยียบเข้า เพียงเท่านี้ก็พอทราบได้ว่า ควรเชื่อแล้วหรือความรู้ความเห็นอันมืดบอดของตัวเองน่ะ เพียงหนามอันเป็นของหยาบๆ ยังไม่เห็นและไปเหยียบจนได้ ถ้ารู้ว่าที่นั่นมีหนามจะกล้าไปเหยียบได้อย่างไร เช่น หัวตอไปโดนมันทำไม ไม้ไปโดนมันทำไม ถ้าแน่ใจว่ามีใครจะกล้าไปโดน ใครจะกล้าไปเหยียบหนาม ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันเป็นเรื่องเจ็บปวดขนาดไหน แล้วทำไมถึงโดนกันเรื่อยๆ เล่า? ก็เพราะความเข้าใจว่าหนามไม่มีนั่นเอง

ฉะนั้นสิ่งต่างๆ จึงไม่อยู่ในความสำคัญว่ามีหรือไม่มี มันอยู่ที่ความจริงอย่างตายตัว ไม่มีใครอาจแก้ไขให้เป็นอื่นไปได้

นี่ ก็เหมือนกันเรื่องภพเรื่องชาติของคนและสัตว์ มีเกิดให้เห็นมีตายให้เห็นอยู่เกลื่อนแผ่นดิน เฉพาะในโลกเรานี้ก็เห็นเกลื่อนแผ่นดินอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จะปฏิเสธ จะไปลบล้างได้อย่างไรว่ามันไม่เกิด ว่ามันตายแล้วสูญสิ้นไป

เราไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แต่เราเชื่อเราเป็นอย่างไรบ้าง? ผลของมันที่แสดงตอบ! ความรู้ความเห็นของเรามีสูงต่ำหรือแหลมคมขนาดไหนถึงจะเชื่อตนเอง จนสามารถลบล้างความจริงทั้งหลายที่มีอยู่ให้สูญไปตามความรู้ความเห็นของตน ทั้งๆ ที่ตนไม่สามารถรู้ความจริงนั้นๆ ทำไมจึงสามารถอาจเอื้อมไปลบล้างสิ่งที่เคยมีอยู่ให้สูญไปเมื่อเราไม่รู้ ลบเพื่อเหตุผลอันใด? ความรู้นี่มันโง่สองชั้นสามชั้น แล้วยังจะว่าตนฉลาดอยู่หรือ?

ถ้า มุ่งต้องการความจริงด้วยใจเป็นนักกีฬา ก็ควรยอมรับตามความจริงที่ปรากฏอยู่ ลองคิดดู มีนักปราชญ์ที่ไหนบ้างสอนอย่างถูกต้องแม่นยำตามหลักความจริงเหมือน พระพุทธเจ้า จะแห่กันไปหาที่ไหน ลองไปหาดูซี หมดแผ่นดินทั้งโลกนี้จะไม่มีใครเหมือนเลย ใครจะมาสอนให้ตรงตามหลักความมีความเป็นและความจริงดังพระพุทธเจ้า แน่ใจว่าไม่มี!

ประการสำคัญก็คือการคิดว่า ตายแล้วสูญ นั้นเป็นภัยอันตรายแก่ผู้คิดและผู้เกี่ยวข้องไม่มีประมาณ เพราะคนเราเมื่อคิดว่าตายแล้วสูญย่อมเป็นคนสิ้นหวัง อยากทำอะไรก็ทำตามใจชอบในเวลามีชีวิตอยู่ ส่วนมากก็มักทำแต่สิ่งที่เป็นโทษเป็นภัยแก่ตัวเองและผู้อื่น เพราะชาติหน้าไม่มี ทำอะไรลงไปผลจะสนองตอบไม่มี ฉะนั้นความคิดประเภทนี้จึงทำคนสิ้นให้หวัง หลังจากนั้นก็ทำอะไรแบบไม่คำนึงดีชั่ว บุญบาป นรกสวรรค์ พอตายแล้วก็ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ผู้สิ้นท่า เช่น สัตว์นรก เป็นต้น อย่างช่วยอะไรไม่ได้ ทั้งนี้พวกเรายังไม่เห็นเป็นของสำคัญอีกหรือ? ถ้ายังไม่เห็นศาสนธรรมซึ่งเป็นของแท้ของจริงว่าเป็นของสำคัญ ตัวเราเองก็หาสาระอะไรไม่ได้นั่นเอง ในขณะเดียวกันการปฏิเสธความจริงก็เท่ากับมาลบล้างสารคุณของเราเอง กลายเป็นคนไม่สำคัญ คนไม่มีสารคุณ คนหมดความหมาย คนทำลายตัวเอง ชนิดบอกบุญไม่รับ เพราะความคิดที่ลบล้างความจริงที่มีอยู่นั้นเป็นความคิดทำลายตนเอง สิ่งที่มีความหมายแต่ไปลบล้างสิ่งที่จริง แต่ไปขัดความจริง สุดท้ายก็สะท้อนกลับสิ่งที่จริงมาหาตัวเอง เป็นผู้รับเคราะห์กรรมเสียเองโดยไม่มีใครอาจช่วยได้ กลายเป็นคนขาดทุนทั้งขึ้นทั้งล่องซี!

พวก เรานับว่าดีมาก วาสนาเรามีความดีคุ้มครองถึงได้มาพบพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ถูกต้อง ตายตัว บอกขวากหนามให้สัตว์โลกรู้และหลบหลีกกัน และบอกสวรรค์ นิพพาน ให้สัตว์โลกได้ไป ได้น้อมใจเข้ามาประพฤติปฏิบัติ ถวายกาย วาจา ใจ ตลอดชีวิตทุกสิ่งทุกอย่างกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ดำรงตนอยู่ด้วยศีลด้วยธรรม ประพฤติคุณงามความดีตลอดมา เพื่อเป็นการเพิ่มพูนบุญวาสนาบารมีของตนๆ ให้สูงส่งยิ่งขึ้นไป

ผู้ ไม่มีโอกาสทำได้อย่างนี้มีจำนวนมากมาย อยากจะพูดว่า ราว ๙๙ % ประเภทเป็นอยู่ด้วยความเชื่อบุญเชื่อบาป ยังเหลือเปอร์เซ็นต์เดียวหรือไม่ถึงเปอร์เซ็นต์ก็อาจเป็นได้ เมื่อเทียบกับโลกทั้งโลก

         ความเกิดความตายมันเห็นอยู่ชัดๆ ภายในจิต เพราะฉะนั้นขอให้เรียนความจริงซึ่งมีอยู่ที่จิต มัน เกิดอยู่ที่นั่น มันตายอยู่ที่นั่น เชื้อให้เกิดให้ตายมีอยู่ที่จิต เมื่อเรียนและประพฤติปฏิบัติทางด้านจิตตภาวนา ทดสอบเข้าไปหาความจริงที่มีอยู่ภายในจิต ทั้งเรื่องเกิดเรื่องตาย เรื่องความเกี่ยวข้องพัวพันต่างๆ เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องบุญเรื่องบาป เรียนเข้าไปตรงนั้น จะเจอเข้ากับความจริงในแง่ต่างๆ ที่นั่นโดยไม่มีทางสงสัย

เมื่อ เจอด้วยใจตนเองอย่างประจักษ์แล้ว ก็เหมือนเราไปเห็นด้วยตาเนื้อเราจริงๆ เราจะลบล้างได้อย่างไร ปฏิเสธได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นไม่มี แต่ก่อนเข้าใจว่าไม่มี แต่ไปเห็นด้วยตาแล้วจะปฏิเสธได้อย่างไร เพราะตนเป็นผู้เห็นเอง ถ้าลบก็ต้องลบด้วยการควักลูกตาตนออกเพราะลูกตาโกหก

ที่ ลบล้างไม่ลงลบล้างไม่ได้เพราะตนเห็นด้วยตาว่า สิ่งนั้นมันมีอยู่จริง ถ้าเป็นด้านวัตถุที่จับต้องดูได้ก็จับต้องดูได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นตนจะลบล้างได้เหรอ? ว่าสิ่งนั้นไม่มี คือสิ่งที่ตนถือและดูอยู่นั้น ลบล้างไม่ได้ ดังนั้นความจริงที่มีอยู่ ท่านผู้ใดรู้เห็น ท่านผู้นั้นต้องยอมรับความจริงนั้น นอกจากผู้ไม่สนใจอยากรู้อยากเห็นยิ่งกว่าการเชื่อตัวเองเท่านั้น ก็สุดวิสัยที่ธรรมจะช่วยได้

เรื่อง ของความจริงเป็นอย่างนี้ และพวกที่รู้ความจริงก็รู้อย่างนี้ ท่านจึงไม่ลบล้างและสอนตามความมีความจริง พวกเราเป็นคนมืดบอด จึงควรเชื่อและดำเนินตามท่านจะเป็นทางที่ถูกต้องดีงาม เป็นความสวัสดีมงคลแก่ตัวเอง ผู้มุ่งหวังความหลุดพ้นทั้งปวงนับแต่ขั้นต่ำจนถึงขั้นสูงสุด เป็นความจริงไปตามขั้นของธรรมและขั้นของผู้เรียน จิตตภาวนา นั่นแหละ เป็นผู้จะทราบได้ชัดเจน

ในวงขันธ์มีความกระเพื่อม กระเทือนด้วยภพชาติ โดยอาศัยอารมณ์เป็นผู้ชักใยอยู่ตลอดเวลา ด้วย ความเกิดความดับ ๆ อันมีเชื้ออยู่ภายในให้เป็นผู้ผลักดันให้อาการของจิตออกแสดงตัว จิตยังไปไม่ได้เพราะยังมีอัตภาพเป็นความรับผิดชอบอยู่ จิตจึงกระเพื่อมอยู่ อารมณ์เป็นความเกิดดับๆ อยู่เพียงเท่านั้น ถ้าใจสามารถออกจากร่างได้ ใจจะเข้าปฏิสนธิสักกี่อัตภาพก็ได้ในวันหนึ่งๆ จะได้เป็นล้านอัตภาพในคนๆ หนึ่ง เพราะมีความติดความข้องความรักความชอบใจเป็นสายใย รักก็ติด ชังก็ติด โกรธก็ติด เกลียดก็ติด ติดได้ทั้งนั้นไม่มีอั้น อะไรๆ มันติดทั้งนั้น ถ้าใจติดอะไรทำให้เป็นภพเป็นชาติขึ้นมาอย่างเปิดเผยในขณะที่ติดแล้ว วันหนึ่งๆ จะมีกี่ล้านอัตภาพในตัวเราเอง แต่นี่มันได้อัตภาพอย่างเปิดเผยเพียงอันเดียวเท่านั้น ใจจึงเป็นเพียงไปติดไปยึดอยู่กับอารมณ์นั้นๆ เท่านั้น ไม่อาจถอนตัวออกจากอัตภาพนี้ไปเข้าสู่อยู่กับอารมณ์ที่ใจติดได้ คนเราจึงมีได้เพียงอัตภาพเดียว ความเป็นจริงอย่างนี้ การเรียนก็เรียนอย่างนี้ เรียนให้ทราบวิถีของจิตซึ่งพร้อมที่จะติดอยู่เสมอ

         คิด เรื่องอะไรคอยแต่จะติด ตำหนิติชมสิ่งใดก็ไปติดกับสิ่งนั้น ตำหนิก็ติด ชมก็ติด ถ้าจิตอยู่ในขั้นที่ควรจะติดเป็นติดทั้งนั้น ไม่ถอยในเรื่องติด เพราะฉะนั้นเรื่องเกิดเรื่องตายของจิตจึงไม่มีถอย เรื่องสุขเรื่องทุกข์ของจิตจึงมีประจำตน เพราะความคิดปรุงพาให้เป็นไป จิต เป็นผู้ไม่ถอยในการทำกรรมดีชั่ว ผลสุขทุกข์จึงเป็นเงาตามตัวแล้วปฏิเสธได้อย่างไร เรื่องความเป็นของจิตก็เป็นอยู่อย่างนี้ เห็นชัดๆ ภายในตัวเอง การเรียนจึงเรียนลงที่นี่ เมื่อเรียนลงไปที่นี่ซึ่งเป็นเป้าหมายแห่งความจริงทั้งหลาย ก็รู้ชัดเจนโดยลำดับๆ

อัน ใดที่ควรปล่อย เมื่อมีความสามารถรู้ได้ด้วยสติปัญญาแล้วมันปล่อยของมันเอง เมื่อปล่อยแล้วสิ่งนั้นไม่มีมาข้องใจอีกค่อยๆ หมดไป ๆ ใจหดตัวเข้ามาเลื่อนเข้ามา จากที่เคยอยู่วงกว้าง ปล่อยแล้วปล่อยเข้ามา ๆ วงก็แคบเข้าจนกระทั่งเหลือนิดเดียวคือที่ใจนี้ ก็รู้ว่า นี่เชื้อแห่งภพยังมีอยู่ภายในใจ นี่เชื้อแห่งภพนี้เป็นสิ่งหลอกตาได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่ใช้สติปัญญาพิจารณาอย่างละเอียดสุขุม จะติดเชื้อแห่งภพอย่างไม่สงสัย ได้เคยบอกแล้วว่า จิตมันรู้ตัวเองอย่างชัดๆ จากการปฏิบัติ จะลบล้างได้อย่างไรว่า จิตนี้เมื่อตายไปแล้วจะไม่พาเกิดอีก เพราะ ตัวเกิดก็อยู่กับจิต จิตก็รู้ว่าการจะเกิดอีกนั้นเพราะเชื้อนี้เป็นเหตุ รู้ๆ เห็นๆ กันอย่างเปิดเผยจากการปฏิบัติทางจิตตภาวนา ซึ่งเป็นทางดำเนินที่ทรงดำเนินแล้ว ทรงรู้ประจักษ์พระทัยมาแล้ว เชื้อแห่งภพชาติมีอยู่ในจิตมากน้อย จิตจะต้องเกิดในภพอีก

เมื่อ ปฏิบัติจิตตภาวนาเข้าสู่ขั้นละเอียด กิเลสยังมีมากน้อยย่อมรู้ได้ชัดด้วยปัญญา เพราะสติปัญญาอันละเอียดนี้คมมาก ไม่มีอะไรจะหนีรอดไปได้ เพราะปัญญาความรู้เห็นสิ่งต่างๆ ที่มาเกี่ยวข้องกับจิตได้อย่างรวดเร็ว จิตจะมีสาเหตุให้ไปเกิดที่นั่น ไปเกิดที่โน่น สติปัญญาตามแก้ไขทันกับเหตุการณ์ไม่เนิ่นช้า และสามารถตัดขาดได้ในโอกาสที่เหมาะสม

         ประการหนึ่ง จิตขั้นละเอียดนี้พร้อมที่จะหลุดพ้นอยู่แล้ว เมื่อสติปัญญาถึงพร้อมกับสิ่งที่ควรตัดในโอกาสที่ควร จนสามารถตัดขาดเสียได้ ไม่มีเงื่อนสืบต่อภายในจิต จนเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ ขึ้นมา

เมื่อ จิตบริสุทธิ์แล้วจะสูญไปไหน? ถ้ามีการสูญไปอยู่จะเอาอะไรมาบริสุทธิ์? และเอาอะไรมาศักดิ์สิทธิ์วิเศษ? แม้พิจารณาเท่าไรๆ ก็ไม่มีเงื่อนสืบต่อ เพราะกิเลสหมดไปแล้ว จิตถึงความบริสุทธิ์แท้แล้ว จึงเป็นอันหมดปัญหากับจิตดวงนี้ ความที่จิตนี้จะเกิดจะตายต่อไปอีกไม่มี! ความสูญก็ไม่ปรากฏว่ามี เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ จึงไม่ทรงแสดงความสูญไว้กับจิตพระอรหันต์ และจิตของสัตว์โลก จึง ขอย้ำอีกว่าจิตที่จะหมดปัญหาแล้วมันสูญไหม? จิตยิ่งเด่น แล้วจะเอาอะไรมาสูญเล่า? เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้จะเอาอะไรมาสูญ? ขุดค้นเรื่องสูญเท่าไร จิตยิ่งเด่นยิ่งชัดไม่มีอะไรสงสัย เด่นจนพูดไม่ถูก บอกไม่ถูกตามโลกนิยมสมมุติซึ่งหาที่สิ้นสุดยุติไม่ได้ ถ้าใครยังอวดเก่งต่อความคิดว่า ตายแล้วสูญเวลาไปโดยผลที่ไม่คาดฝันในภพหน้า ก็จงเรียก ความตายแล้วสูญ มาช่วยถ้าจะสมหวัง

จิตที่เด่นนอกวงสมมุตินี้ แม้เด่นเพียงไรก็พูดให้ถูกต้องความจริงไม่ได้!

เมื่อปัญหาเกี่ยวกับการตายเกิดตายสูญสิ้นไปจากใจแล้ว ก็เป็นผู้ สิ้นเรื่องโดยประการทั้งปวง ถึง ความบริสุทธิ์เต็มภูมิ จิตที่บริสุทธิ์เต็มภูมินี้สูญไหม? เมื่อรู้ชัดเห็นชัดอย่างนี้แล้วธรรมชาตินี้จะสูญไปไหน? ลงความจริงที่รู้อยู่นี่จะลบได้ไหม? จะให้สูญได้ไหม? ใครจะไปลบเล่า? นอกจากคนตาฝ้าฟางมองไม่เห็นหนทาง เหยียบแต่ขวากแต่หนามแล้วก็บอกว่าหนทางไม่ดี สิ่งที่มีก็คือขวากหนามเต็มฝ่าเท้าเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะเชื่อคนตาดีหรือคนตาบอด จงตัดสินใจด่วน! อย่าให้เสียดายเดี๋ยวตายเปล่า จะว่าไม่บอกไม่เตือน ที่อธิบายมาทั้งนี้เป็นคำบอกคำเตือนอยู่แล้ว

ความ บริสุทธิ์ที่ไม่ต้องฝืนอะไรๆ ก็คืออันนี้แล แล้วอันนี้จะสูญไปได้อย่างไร แต่จะมาตั้งอยู่เหมือนหม้อไหโอ่งน้ำไม่ได้ เพราะคนไม่ใช่หม้อ และนี่เป็นจิต จิตธรรมดากับจิตบริสุทธิ์นั้นผิดกันมากมาย จะมาตั้งกฎเกณฑ์ให้เป็นอย่างนี้ ให้อยู่แบบนี้ๆ ไม่ได้ ไม่ว่าแบบใดๆ เพราะไม่ใช่ ฐานะ ของจิตประเภทนี้ที่จะมาตั้งแบบนี้หรือแบบใดๆ ดังท่านว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ นิพพานสูญแบบนี้เอง คือสูญแบบนิพพาน มิใช่สูญแบบโลกๆ ที่เข้าใจกัน

         สูญแบบนิพพาน คือไม่มีอะไรบรรดาสมมุติเหลืออยู่ภายในจิต ผู้ที่รู้ว่าสิ่งทั้งหลายสูญสิ้นแล้วจากใจนั่นเลย นั่นแหละคือตัวจริง นั่นแหละคือผู้บริสุทธิ์ ผู้นี้จะสูญไปไม่ได้ ยิ่งเด่นยิ่งชัดยิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้นี้ไม่สูญ ผู้นี้แลเป็นผู้ทรงคุณสมบัติอันยอดเยี่ยม ในบทที่สองว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ผู้นี้แลเป็นสุขอย่างยิ่ง นอกสมมุติทั้งปวง

ถ้า จิตบริสุทธิ์ได้สูญไปจริงๆ ธรรมบทนี้จะขึ้นมารับไม่ได้ เพราะก็สูญไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรจะมาเป็นสุขอย่างยิ่งได้เลย การปฏิบัติให้เข้าใจความจริงความแท้ของธรรม ต้องปฏิบัติให้ถูกธรรม อย่าฝืนธรรม จะไม่รู้ความจริงแม้มีอยู่ในตน

คำว่า โลก คือ หมู่สัตว์ ก็หมู่สัตว์ตรงนี้เอง คือตรงที่มีเชื้อได้แก่อวิชชาตัณหาอุปาทานพาให้เกิดอยู่ไม่หยุด ก่อนจะไปเกิดใหม่ต้องเกิดอยู่ภายในจิตนี้เอง ท่านเรียกว่า หมู่สัตว์พากันเกิดอยู่ทั่วโลกดินแดน ตายทั่วโลกดินแดน ก็คือธรรมชาติที่ว่านั่นเอง ไม่มีอันใดเป็นผู้พาให้เกิดพาให้ตาย

ส่วน ความทุกข์ความลำบากที่มาจากธรรมชาติที่ก่อภพ ได้แก่ ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ ธรรมชาติอันนี้เอง เมื่อละหมดโดยตลอดทั่วถึงไม่มีเชื้อ วัฏฏะ ที่จะพาให้เกิดอีกแล้ว ธรรมชาตินี้ก็เป็น วิวัฏฏะ

คำว่า โลกคือหมู่สัตว์ ก็พูดไม่ได้อีกแล้ว หมดปัญหาที่จะพูดว่าโลกคือหมู่สัตว์ของผู้บริสุทธิ์นั้น ฉะนั้นพวกเราจงพยายามปฏิบัติตามหลักความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วนี้ ในธรรมท่านว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าเบื้องต้น คือ อาทิกลฺยาณํ ไพเราะเพราะพริ้ง เต็มไปด้วยเหตุด้วยผลในเบื้องต้นแห่งธรรม มชฺเฌกลฺยาณํ ไพเราะเพราะพริ้ง เต็มไปด้วยเหตุด้วยผล เต็มไปด้วยความถูกต้องดีงามในท่ามกลางแห่งธรรม ปริโยสานกลฺยาณํ ไพเราะในที่สุด ทำให้ผู้ฟังซาบซึ้ง เต็มไปด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความถูกต้องดีงามสุดส่วนแห่งธรรม ทุกชั้นทุกวรรคทุกตอน

สิ่ง ที่น่าติเตียนและควรแก้ไขอย่างยิ่งก็คือ จิตใจของสัตว์โลกผู้ฝืนหลักธรรมอยู่ตลอดเวลา เพราะกิเลสมีอำนาจมากกว่าจึงทำให้ฝืนธรรม เมื่อฝืนธรรมก็ต้องได้รับความทุกข์ เกิดก็เป็นเรา แก่ก็เป็นเรา เจ็บก็เป็นเรา ตายก็เป็นเรา ทุกข์ยากลำบากชนิดไหนๆ ตนก็เป็นคนรับเสียเอง กิเลสมันไม่มารับแทนพอจะให้มันกลัวทุกข์ แล้วแสวงหาธรรมเป็นที่พึ่งดังพวกเรา

พระพุทธเจ้าท่านไม่รับทุกข์ สาวกท่านไม่รับทุกข์ ดังที่มวลสัตว์รับกัน!

        เพราะ ฉะนั้นจึงควรเห็นโทษแห่งการฝืนธรรมว่าเป็นของไม่ดี จะทำให้เกิดไปเรื่อยๆ ตามความฝ่าฝืน จงพยายามแก้ไขดัดแปลงหรือฝึกทรมาน ชำระสะสางสิ่งที่พาให้ฝืนนั้นออกจากใจ เราจะคล้อยตามธรรมซาบซึ้งในธรรมไปเรื่อยๆ ความซาบซึ้งในธรรมนั้น เพราะธรรมเริ่มเข้าถึงใจเรา และกิเลสก็เริ่มถอยทัพ กิเลสเบาบางลงไปแล้วจึงทำให้มีความซาบซึ้งดื่มด่ำ มีความพอใจบำเพ็ญศีลบำเพ็ญธรรม

ถ้า มีแต่กิเลสล้วนๆ เต็มหัวใจ ไม่มีธรรมเข้าขัดขวางต้านทานไว้บ้างเลย ย่อมไม่มีใครจะสนใจในอรรถในธรรมกัน ชาตินี้นับว่ามีเราวาสนา เพราะมีธรรมคอยสะกิดใจ ให้เรามีความชอบความพอใจอยากไปวัดไปวา บำเพ็ญศีล บำเพ็ญทาน บำเพ็ญภาวนา ให้มีช่องทางปฏิบัติบำเพ็ญธรรม มีความดูดดื่ม มีความพออกพอใจ มีความเชื่อความเลื่อมใสในธรรม อันเป็นธรรมรสภายในใจ มีธรรมคุ้มครองจิตใจ กิเลสแม้ยังมีอยู่ในใจก็จริง แต่ธรรมที่ได้สั่งสมมาจึงพอต่อสู้ต้านทานกัน หากมีแต่เรื่องกิเลสล้วนๆ แล้ว การทำความดีย่อมเป็นการทำยากยิ่ง ทั้งไม่สนใจจะทำ สนใจแต่ บาปกรรม นำตนเข้าสู่ความลามกตกนรกทั้งเป็นทั้งตาย ไม่มีวันผลุบโผล่ได้เลย

ผู้ ไม่มีธรรมในใจ ก็คือผู้มีบาปเต็มไปทั้งดวงใจนั้นแล ผลของบาปจึงได้รับแต่ความทุกข์ความลำบากเรื่อยๆ ไป ไม่ว่าอยู่ในภพใดกำเนิดใด แดนใดภาษาใด เพราะใจนั้นมันไม่มีชาติชั้นวรรณะ ไม่มีภาษา แต่เป็นแหล่งผลิตกรรมดีชั่วทั้งปวง และเป็นคลังแห่งวิบากคือผู้รับผล จึงต้องรับทั้งความสุขความทุกข์ที่ตนสร้างขึ้นทำขึ้นมากน้อย จะหลบหลีกปลีกตัวไปที่ไหนไม่ได้ ถ้าไม่สร้างป้อมปราการคือบุญกุศลไว้เสียแต่บัดนี้ ซึ่งยังไม่สายเกินไป เพื่อบรรเทาหรือลบล้างบาปให้ลดน้อยลงจนไม่มีบาปติดตัวติดใจ ผู้นี้แลคือผู้มีความสุขแท้ ไม่เพียงแต่ความสุขที่เกิดจากการเสกสรรปั้นยอซึ่งหาความจริงมิได้

การ กล่าวทั้งหมดนี้ ให้ต่างคนต่างน้อมเข้าสู่ใจของตนเอง ซึ่งเป็นตัวการก่อกรรมทำเข็ญด้วยกัน เป็นตัวการทั้งเรื่องที่เป็นมานี้ เป็นตัวการทั้งเรื่องชำระคือแก้ไข ต้องฝืนต่อสู้กับกิเลส ต้องฝืน อย่าถอยมันจะได้ใจ เพราะกิเลสเคยฝืนเราและเคยบังคับเรามานานแล้ว คราวนี้เราพอมีทางสู้ เพราะได้อรรถได้ธรรมมาจากพระพุทธเจ้า จากครูบาอาจารย์เป็นเครื่องมือต่อสู้กับกิเลส สู้ไม่ถอย ขึ้นชื่อว่าสู้แล้วจะต้องมีชัยชนะจนได้ในวันเวลาหนึ่ง ทีแรกเรายอมมันแบบหมอบราบเลย ถ้าไม่สู้มันก็ไม่เรียกว่า ลูกศิษย์พระตถาคต ผู้เก่งกล้าในการรบกับกิเลส การต่อสู้ยังดีกว่ายอมแพ้เสียทีเดียว คราวนี้แพ้เพราะกำลังยังไม่พอ ก็ต้องยอมแพ้ไปก่อน คิดอุบายขึ้นมาใหม่ สู้เรื่อยๆ สู้กันไปสู้กันมา ย่อมมีทางชนะกันไปเรื่อยๆ เมื่อสู้บ่อยเข้าความชำนาญย่อมตามมา และความชำนะมีมากขึ้น ๆ ต่อไปความแพ้ไม่ค่อยบ่อยไม่ค่อยมี นั่น! ฟังซิ

ทำไม จึงเป็นเช่นนั้น? เพราะจิตถึงธรรมขั้นไม่ยอมถอยทัพกลับแพ้แล้ว ถ้าจะแพ้กิเลสน้อยใหญ่ต่อไปอีก ก็ขอให้ตายเสียดีกว่าที่จะมาเจอความแพ้นี้ ซึ่งเป็นความต่ำต้อยด้อยสติปัญญา ศรัทธา ความเพียร จึงขอให้ตายเสียดีกว่า ขอให้ชนะกิเลสทุกประเภทโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่ขออย่างอื่นที่โลกขอกัน ถ้าไม่ชนะ ก็ให้ตาย นั่น! ฟังซิ เด็ดไหม? จิตดวงเดียวนี่แหละ ดวงที่เคยแพ้ เคยล้มลุกคลุกคลาน นี่แหละ

เมื่อ เวลาพลิกตัวขึ้นสู่ธรรม ด้วยได้รับการฝึกฝนอบรมจากครูอาจารย์มาแล้วด้วยดี จิตมีกำลังวังชาพอมีความรู้ความฉลาด ตลอดถึงผลที่ได้รับประจักษ์ใจ เป็นเครื่องสนับสนุนจิตใจให้ถึงขั้นที่ว่า ให้ตายเสียดีกว่าที่จะเจอความแพ้กับกิเลสน้อยใหญ่อีก ไม่ประสงค์อีกแล้ว เรื่องความแพ้นี้ ไม่เป็นของดีพอจะส่งเสริมเลย

เขาแข่งกีฬากันแพ้กัน ผู้แพ้ก็ย่อมเสียใจ แม้จะเป็นการเล่นสนุกกันก็ตาม ยังทำให้ผู้แพ้เสียใจได้

เรื่องวัฏสงสารคือ เรื่องความเกิดความตาย เรื่องกิเลสซึ่งเป็นภัยต่อเราโดยตรง ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ดังเขาเล่นกีฬากัน เป็นเรื่องของความทุกข์กองทุกข์ในตัวเราแท้ๆ การแพ้สิ่งนี้ถือเป็นของเล่นของดีแล้วหรือ เราคิดดูให้ดี ความจริงแล้วไม่ใช่ของดีเลย ความแพ้กิเลสเป็นความเสียหายแก่ตัวเราไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นการแพ้กิเลสจึงเป็นเรื่องใหญ่โตมาก ทำไมถึงยอมแพ้มันเรื่อยๆ เอ้า! สู้มันไม่ถอย จนได้ชัยชนะไปเป็นลำดับๆ จนถึงขั้นไม่ให้มีคำว่า แพ้ กระทั่งชนะไปเลย!

ผู้นี้แลเป็นผู้ประเสริฐ เมื่อชนะไปเลยแล้ว ทีนี้คำว่า ตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญ นั้นหมด! ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในใจเลย เพราะความสำคัญมั่นหมายเป็นกิเลสทั้งนั้น คำว่า ตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญ นรกมีหรือไม่มี สวรรค์มีหรือไม่มี นี้เป็นเรื่องของกิเลสพาไปให้คิดด้นเดาทั้งสิ้น

พอมาถึงขั้น ชนะไปเลย เรื่องเหล่านี้ก็หมดไปในทันทีทันใด ไม่มีการเกิดได้อีกเพราะไม่มีสิ่งผลักดันให้เกิด ความลังเลสงสัยปลงใจลงกับธรรมไม่ได้ ท่านเรียกว่า นิวรณ์ เครื่องกั้นกางทางดี แต่เปิดทางชั่วให้ทำ ผู้ มีนิวรณ์เข้าเป็นใหญ่ในใจ จึงต้องตัดสินใจเพื่อความดีงามอะไรไม่ได้ นอกจากงานที่จะลงทางต่ำไปเรื่อยๆ นั้น เป็นงานที่สนใจจดจ่อ โดยไม่คิดว่าจะผิดพลาดประการใดและให้ผลเช่นไรบ้าง ด้วยเหตุนี้ความชั่วสัตว์โลกจึงทำได้ง่าย แต่ความดีนั้นทำได้ยาก ผู้โดนทุกข์จึงมีมากแทบทุกตัวคนและมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้จะพูดว่าหลงกองทุกข์กันก็ไม่ผิด แต่ผู้เป็นสุขกายสุขใจนั้นมีน้อยมาก แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีได้

การ ที่เราเห็นเขาแสดงความรื่นเริงออกมาในท่าต่างๆ และ สถานที่ต่างๆ เช่นในหน้าหนังสือพิมพ์เป็นต้น นั่นเป็นเพียงเครื่องหลอกกันเล่นไปอย่างนั้นเอง ความจริงต่างอมความทุกข์ไว้ภายในใจแทบระเบิด โดยไม่เลือกชาติชั้นวรรณะใดๆ เลย ทั้งนี้เพราะสิ่งที่ทำให้ซ่อนความจริงไว้นั้น ได้แก่ความอาย กลัวเสียเกียรติ และเป็นคนใหญ่คนโตที่โลกนิยม นี่ จึงนำออกให้โลกและสังคมเห็นแต่อาการที่เห็นว่าเป็นความสุขรื่นเริงเท่านั้น

ตัว ผลิตทุกข์แก่มวลสัตว์มันผลิตอยู่ภายในใครไม่อาจรู้เห็นได้ นอกจากปราชญ์ที่เรียนรู้และปล่อยวางมัน และกลมารยาของมันแล้วเท่านั้น จึงทราบได้อย่างชัดเจนว่าภายในหัวใจของสัตว์โลกคุกรุ่นอยู่ด้วยไฟราคะตัณหา ไฟความโลภ หาความอิ่มเพียงพอไม่เจอ แม้จะแสดงออกในท่าร่าเริง ท่าฉลาดแหลมคม ท่าผู้ดีมีความสุขฐานะดีเพียงไร ก็ไม่สามารถปิดความจริงที่มีอยู่ในหัวใจให้มิดได้เลย ปราชญ์ทั้งหลายรู้เห็นจับได้ เพราะกลมายาของกิเลสกับธรรมละเอียดต่างกันอยู่มาก ท่านผู้เป็นปราชญ์โดยธรรม จึงทราบได้ไม่ยากเย็นอะไรเลย

ด้วย เหตุนี้จึงควรพยายามสร้างความดีให้พอแก่ความต้องการ จิตใจเป็นของแก้ไขได้ ใจชั่วแก้ให้ดีก็ได้ ทำไมจะแก้ไม่ได้ ถ้าแก้ไม่ได้พระพุทธเจ้าจะฝึกพระองค์ให้ดีได้อย่างไร บาปนั้นมีด้วยกัน เพราะเราทุกคนเกิดมาท่ามกลางแห่งบาป เกิดมากับกิเลสและอยู่ในวงล้อมของกิเลสด้วยกัน เกิดมากับบุญกับบาป และอยู่ในท่ามกลางสิ่งที่ดีชั่วเหล่านี้แล เนื่องจากยังไม่มีความดีพอจะให้อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ได้ แดนมนุษย์เป็นสถานที่และกำเนิดอันเหมาะสมดีอยู่แล้ว จะสร้างอะไรก็ได้เต็มภูมิ แต่การสร้างความดีนั้นเหมาะสมกับภูมิมนุษย์อย่างยิ่ง ดังพวกเราสร้างหรือบำเพ็ญอยู่เวลานี้ อันใดควรแก้ไขดัดแปลง ก็แก้ไขและดัดแปลง สิ่งที่ควรส่งเสริมก็ส่งเสริมไปเรื่อยๆ ด้วยความไม่ประมาทนอนใจ

การ ไม่ประมาท สร้างประโยชน์เพื่อโลกและตัวเองอยู่เสมอ แม้ไปเกิดภพใดก็ไม่เสียท่า คนที่มีความดีแล้วไม่เสียที มีแต่ความสุขความเจริญไปเรื่อยๆ ในภพนั้นๆ มีความสุขสบายตลอดไป จนอุปนิสัยวาสนาสามารถเต็มที่แล้ว ก็ผ่านไปยังแดนเกษมสำราญ การผ่านไปก็ผ่านไปด้วยดี อยู่ด้วยความดี ความดีเป็นเครื่องสนับสนุนให้ผ่านกองทุกข์ต่างๆ ไปได้โดยไม่มีอุปสรรค ถ้าไม่มีความดีก็ไปไม่ได้ การไปสู่ความสุขความเจริญนั้น โลกอยากไปด้วยกันทุกคนนั่นแล แต่ทำไมจึงไปไม่ได้? ก็เพราะกำลังไม่พอที่จะไปนั่นเอง

ถ้า ไปได้ด้วยความอยากไปเท่านั้น โลกทั้งโลกใครจะไม่ทนรับความทุกข์ความลำบากที่เป็นอยู่นี้เลย แม้แต่สัตว์เขายังกลัวทุกข์ ทำไมมนุษย์ฉลาดกว่าเขาจึงจะไม่กลัวทุกข์ จะทนแบกหามทุกข์อยู่ทำไม? ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าทุกข์น่ะ สัตว์อยากพ้นจากทุกข์อย่างเต็มใจด้วยกัน ทำไมไม่พ้นไปเสีย? ทั้งนี้ก็เพราะกรรมยังมี วาสนาบารมียังไม่สมบูรณ์ สุดวิสัยที่จะไปได้ จึงยอมอยู่กันและเสวยทุกข์ตามที่ประสบ

        ยิ่งหลวงตาบัวซึ่งเป็นคลังแห่งกองทุกข์อย่างเต็มตัวเต็มใจอยู่แล้ว มีใครมากระซิบว่า โน่น! ความเกษมสำราญอยู่โน่นน่ะ มานอนกอดทุกข์อยู่ทำไม ไปซี!” จะโดดผางเดียวก็ถึงแดนเกษมน่ะ เอ้า! โดด ๆ ๆ เดี๋ยวนี้ จะถึงเดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นไปได้ดังที่ว่านี้ ขาขาดแขนขาดไปขณะที่โดดก็ขาดไปเถอะ ขรัวตาบัวต้องโดดผึงเลยอย่างไม่เสียดาย เพื่อไปเสวยความสุขให้บานใจหน่อยก็ยังดี ดีกว่านอนกอดทุกข์อยู่ตลอดภพชาติที่เต็มไปด้วยทุกข์ ไม่มีความสุขมาเยี่ยมเยียนบ้างเล้ย แต่นี่มันสุดวิสัย จึงยอมนั่งหาเหาเกาหมัดแบบคนสิ้นท่าอยู่อย่างนี้

ฉะนั้น ขอทุกท่านจงเห็นคุณค่าแห่งความเพียรเพื่อไปสู่แดนเกษม อย่าเอาเพียงความอยากไปมาหลอกล่อให้จมอยู่ในทุกข์เปล่า ธรรมท่านกล่าวไว้ว่า คนจะล่วงพ้นจากทุกข์ไปได้โดยลำดับๆ เพราะความเพียรพยายามเป็นหลักใหญ่ นี่ เป็นธรรมของพระพุทธเจ้าผู้พ้นจากความทุกข์เพราะความเพียร ไม่ใช่เพราะความอยากพ้นเฉยๆ และความท้อถอยอ่อนแอแย่ลงทุกวัน กระทั่งรับประทานอาหารก็นอนรับเพราะขี้เกียจลุก นี่ขำดี

เรา เป็นลูกศิษย์พระตถาคต เป็นพุทธบริษัท ท่านหมายถึงอะไร หมายถึงลูกเต้าเหล่ากอของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงพาเราดำเนินไปอย่างใด พระองค์ทรงดำเนินก้าวหน้า เราเดินถอยหลังมันจะเข้ากันได้ไหม? เราก็ต้องเดินก้าวหน้าไปด้วยความพากเพียรไม่ลดละท้อถอย จะช้าหรือเร็วก็ตาม ขอให้ความพยายามนั้นเป็นไปตามกำลังสติปัญญาความสามารถ อย่าละเว้นความเพียรเท่านั้น ก็เชื่อว่า เป็นลูกศิษย์ที่มีครูสอน ดำเนินตามครู วาสนาเราสร้างทุกวัน ทำไมจึงจะไม่เจริญก้าวหน้า พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนให้สร้างคุณงามความดีเพื่อเป็นอำนาจวาสนา ทำไมวาสนาจะไม่สนับสนุนเรา ความจริงตามธรรมแล้ว ธรรมเหล่านั้นต้องสนับสนุนอยู่โดยดี จงทำให้ยิ่งๆ ขึ้นไปโดยลำดับ ผลสุดท้ายก็เป็นไปได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้านั้นแล

ดัง ที่กล่าวเมื่อสักครู่นี้ว่า ทีแรกก็ยอมแพ้ไปก่อน สู้ไปแพ้ไป ๆ ต่อไปสู้ไปแพ้บ้างชนะบ้างสลับกันไป ทั้งแพ้ทั้งชนะมีสลับขั้นกันไป ทีเขาทีเรา ต่อไปทีเราชนะมากกว่าทีเขาชนะ ต่อไปทีเราชนะมากเข้า ๆ สุดท้ายมีแต่ทีเราชนะ!

กิเลส หมอบลงเรื่อยๆ นอกจากหมอบแล้ว เราฆ่ามันจนฉิบหายไปหมดไม่มีอะไรเหลือ เมื่อฆ่ากิเลสให้ตายแล้วไม่ต้องบอกเรื่องความพ้นทุกข์ ใจหากพ้นไปเอง เท่าที่หาความสุขอันพึงหวังไม่เจอ ก็เพราะกิเลสเป็นกำแพงขวางกั้นไว้นั่นเอง พอทำลายมันให้วอดวายไปแล้ว ความพ้นทุกข์ก็เจอเองไม่ต้องถามใคร!

        การ ที่สัตว์มาเกิดและทนทุกข์ทรมาน ก็เพราะมาอยู่ใต้อำนาจของกองกิเลสเท่านั้น ไม่มีเรื่องอื่นใดเลยเป็นสำคัญกว่าเรื่องกิเลสชนิดต่างๆ ซึ่งเป็นนายเหนือหัวสัตว์โลก เราจึงไม่ควรมองข้ามกิเลสว่าเป็นของเล็กน้อย เรื่องของกิเลสก็คือเรื่องกองทุกข์นั่นเอง มองให้ซึ้งๆ กิเลสอยู่ในใจของเรานี่แล มองให้เห็นกันที่นี่ ฝึกกันนี่ที่ แก้กันที่นี่ ฆ่ากันที่นี่ ตายกันที่นี่ ไม่ต้องเกิดกันก็ที่นี่แหละ! ที่สิ้นทุกข์ก็อยู่ที่นี่ไม่อยู่ที่อื่น

ขอ ให้พากันนำไปพินิจพิจารณา และบำเพ็ญคุณงามความดีให้มากเท่าที่จะมากได้ ไม่ต้องกลัวจะพ้นทุกข์เพราะความดีมีมาก นั่นคิดผิด กิเลสหลอกลวงอย่าเชื่อมัน เดี๋ยวจมจะว่าไม่บอก กิจการใดก็ตามที่จะให้เกิดความดี จะเกิดจากการให้ทานก็ตาม ศีลก็ตาม ภาวนาก็ตาม เป็นความดีด้วยกันทั้งนั้น รวมกันเข้าก็เป็นมหาสมบัติ เป็นเครื่องสนับสนุนจิตใจเราให้เป็นสุข เป็นสุขเรียกว่า สุคโตๆ อยู่ก็สุคโต ไปก็สุคโต ถ้าคนมีบุญ เพราะการสร้างบุญ ไม่มีอย่างอื่น มีอันนี้เป็นสำคัญของคนใจบุญ

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘
กำจัดกิเลสพ้นทุกข์

http://www.luangta.com

ชาติแรกของคนเราคืออะไร? มาจากที่ไหน?

ผู้กำกับ คนที่สองครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา และเชื่อเรื่องวิญญาณมีจริง จิตมีจริง แต่ก็ยังมีข้อสงสัยมากมาย แต่ที่สงสัยมากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องต้นกำเนิดแห่งจิตว่ามีความเป็นมาอย่างไร ชาติแรกของคนเราคืออะไร มาจากที่ไหน ทำไมจึงต้องลงมาเกิด ทำไมไม่ไปนิพพานเลย อยากทราบมากๆ ครับ จะได้ทราบถึงสิ่งที่มาที่ไป จะได้มีกำลังใจในการปฏิบัติธรรมให้ดียิ่งขึ้น

หลวงตา เขาเคยภาวนาไหมล่ะ (สันนิษฐานว่าไม่เคยครับ) เราก็ไม่อยากตอบ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ไปหากำเนิดเกิดของจิต มันฟังไม่ได้นะ รวนเร ถ้าเป็นผู้ที่เป็นนักภาวนาอยู่แล้ว หากำเนิดที่เกิดของจิตนี้ เอา ตั้งลงในภาวนา หนีไม่ได้เลย รากเหง้าเค้ามูลของมันเกิดมาจากไหน จะรื้อขึ้นมาจากจิตตภาวนา ดังองค์ศาสดาพาดำเนินมาแล้ว นี่คือศาสดาองค์เอก รู้หมดฐานจิต ไม่ว่าของใครๆ สามแดนโลกธาตุ ฐานของจิตเดิมของสัตว์ทั้งหลายทรงทราบได้หมดจากจิตตภาวนา เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างกระจ่างแจ้ง อันนี้มันภาวนาหรือเปล่า เอ้า ให้ภาวนาซิถ้าอยากจะทราบ มีแต่อยากทราบเฉยๆ อยากเป็นเศรษฐีแต่ขี้เกียจยิ่งกว่าหมาตายมันจะเป็นได้ยังไง มันก็เป็นคนทุกข์ตลอดวันตายมันนั่นแหละ ตอบกันอย่างนี้ดีกว่า นี่ละฐานของจิต เอาตรงนี้เลย พ้นไม่ได้

นี่ได้ผ่านมาแล้วทุกอย่าง เพราะฉะนั้นจึงกล้าพูดทุกอย่างเลย เหล่านี้รู้หมดแล้วว่างั้นเถอะน่ะ จึงบอกว่าเรียนจบทั้งโลกทั้งทางธรรมในหัวใจดวงเดียว หายสงสัย ปล่อยวางโดยประการทั้งปวง หายห่วง จะว่าเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ก็แล้วแต่ใครจะว่าเอา เราไม่ว่าเราปล่อยหมดแล้ว ไม่มีอะไรเกินพุทธศาสนา การพิสูจน์เรื่องจิตวิญญาณ จิตวิญญาณมีอยู่กับทุกคน นำธรรมพระพุทธเจ้าเข้าไปพิสูจน์มันด้วยจิตตภาวนา แล้วจะรู้ รู้เป็นลำดับ รู้จนกระทั่งถึงที่สุดของจิตดวงนี้ ที่เกิดของจิต ต้นของจิต ปลายของจิต จะรู้รวมกันมาหมด แต่นี้มันไม่ได้ภาวนามาถามงูๆ ปลาๆ เราก็ตอบแค่นี้ นับว่าตอบให้มากอยู่นะ เอาละพอ

นี้พูดอย่างอาจหาญชาญชัยทุกอย่าง ไม่มีสงสัยในโลกทั้งสามนี่ เราหายสงสัยหมด จึงบอกว่าเรียนโลกจบ เรียนธรรมจบ หายสงสัยทั้งสองเลย พูดอย่างถ้าว่าอาจหาญก็เลยอาจหาญไปแล้ว ภาษาของโลกก็ว่า อย่างอาจหาญชาญชัยไม่สะทกสะท้าน เอาของจริงมาแบ นี่น่ะๆ ตาบอดหรือ อยากว่าอย่างนั้นอีก ธรรมพระพุทธเจ้าจริงขนาดนั้นแหละ แล้วมันมาลูบๆ คลำๆ ไม่มาหาตรงนี้ก็ไม่มีความจริงติดหัวใจแหละ ถ้าลงมีพิจารณาอย่างนี้ เฉพาะอย่างยิ่งภาวนาแล้วตามได้ตลอดเลยถึงที่สุด หายสงสัยอย่างที่ว่านี่ นี้พูดตามความจริง หายสงสัยหมดแล้ว เรียกว่าเรียนจบทั้งทางโลกทางธรรม หายสงสัยหมด ไม่มีอะไรสงสัย ไม่มีอะไรมาเป็นภาระให้จิตใจแบกหามอีกต่อไปแล้ว ปล่อยโดยประการทั้งปวง ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น เลิศเลอมาแต่ไหนแต่ไร ที่ตรัสรู้ถ่ายทอดกันมานี้มากขนาดไหน แล้วสัตว์โลกก็ตามพระพุทธเจ้ามากต่อมากผ่านถึงที่สุดของจิตดวงนี้นี้มากนะ

การพูดการจาเทศนาว่าการทุกอาการของเราที่ออก เราบอกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า เราไม่มีกิเลสแทรกออกไปแม้เม็ดหินเม็ดทราย จะเผ็ดร้อนขนาดไหน ฟ้าดินถล่มก็ตาม เป็นเรื่องของธรรม พลังของธรรม อานุภาพของธรรมทั้งนั้นออก กิริยานี้เป็นเครื่องมือใช้ พลังของธรรม ออกมาควรเด็ด กิริยาทางนอกก็เด็ดให้เห็น ข้างในเด็ดมาแล้ว ผลักออกมาดันออกมาให้เห็น กิริยาของเราที่ปฏิบัติต่อโลกเราพูดจริงๆ เราไม่มีเป็นพิษเป็นภัยต่อโลกแม้เม็ดหินเม็ดทราย เราไม่มีเราบอกตรงๆ จะพูดหนักพูดเบาพูดเผ็ดร้อนขนาดไหนก็ตาม บอกว่าเราไม่มีในหัวใจของเรา มีแต่ธรรมล้วนๆ ออก ใครจะปฏิบัติตามก็เอา ไม่ปฏิบัติตาม ธรรมก็ไม่บังคับ แล้วแต่เจ้าของจะนำธรรมไปบังคับเจ้าของถ้าต้องการเป็นคนดีเท่านั้นเอง ท่านสอนไว้เป็นกลางๆ นี่ก็สอนเป็นกลางๆ เด็ดก็เด็ด บอกทุกสิ่งทุกอย่างให้รู้หมด จึงบอกตรงๆ เลยว่าจิตดวงนี้เป็นธรรมทั้งแท่งแล้ว ไม่มีกิเลสตัวใดจะมาแฝง ไม่ว่าจะกิริยาใดที่แสดงออกต่อโลก เราไม่มีพิษมีภัยแฝงไปแม้เม็ดหินเม็ดทราย กิริยาที่แสดงออกทั้งหมดต่อโลกนี่ไม่มี ไม่ว่าพูดเล่นพูดจริงพูดเด็ดพูดเดี่ยวพูดนิ่มนวลอ่อนหวาน ธรรมะจะแทรกไปๆ ทุกกิริยา ไม่ได้พูดแบบลอยๆ นะ มีธรรมะแทรกๆ หนักเบามากน้อย ถ้ามากก็ดันออกอย่างแรง ให้พากันจำเอานะ

ธรรมะพระพุทธเจ้าเมื่อเข้าถึงหัวใจแล้วนิ่มไปหมดเลย สามแดนโลกธาตุเรียกว่านิ่มไปหมด ไม่มีพิษมีภัยต่ออะไรทั้งนั้น บอกไม่มี เราไม่มีพิษมีภัยต่อผู้ใด แม้ความคิดที่จะเป็นพิษเป็นภัยต่อโลก เราไม่มี ความคิดที่เป็นกิเลสก็ไม่มี บอกว่าไม่มี เพราะฉะนั้นโลกผู้ที่ต้องการอรรถธรรมก็ให้ฟังนะ เราจวนจะตายแล้วเทศน์ให้ฟังทุกอย่าง เราไม่เป็นภัยต่อใครในโลกอันนี้ ทั้งสามโลกเราไม่เป็นภัยต่อผู้ใด มีแต่ทำคุณประโยชน์ต่อโลกเต็มความสามารถด้วยความเมตตาเท่านั้น นอกนั้นเราไม่มี ใครจะมาหาเรื่องราวอะไรๆ ก็เหมือนปากอมขี้ อมลงไปเห่าไป ขี้มันก็โปะหัวเจ้าของนั่นละ ให้มาโปะเรา บอกตรงๆ ไม่โปะ จะชมเชยสรรเสริญขึ้นฟาดจรวดดาวเทียม มันก็ไปจรวดดาวเทียมเสียเราไม่เอา จะติฉินนินทาโจมตี เอ้า เอาให้แหลกเราไม่แหลก เราไม่ได้อยู่ในสิ่งเหล่านี้เราไม่มี เหล่านี้เป็นเรื่องมูตรเรื่องคูถทั้งนั้นละ สรรเสริญนินทาน้ำหนักเท่ากัน

เมื่อจิตพอทุกอย่างแล้วเอาอะไรมาใส่ก็ไม่อยู่ ตกหมดๆ สรรเสริญก็ตก เป็นส่วนเกิน นินทาก็ตก เป็นส่วนเกินทั้งนั้น ธรรมชาตินั้นพอแล้วเลิศกว่าทุกอย่างแล้วจะไปหาหยิบอะไรมาว่าเลิศกว่านี้ไม่มี เราพูดอย่างจังๆเลยละ เราปฏิบัติมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มกำลังความสามารถถึงขั้นจะสลบไสลก็มีไม่รู้กี่ครั้ง แต่ไม่เคยสลบก็บอกไม่สลบ แต่เฉียดตลอด เฉียดนี้ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน นี่ละเรื่องฆ่ากิเลส กิเลสตัวมันทำให้เราสู้กันจนถึงขั้นจะสลบ แต่เราไม่เคยสลบเราก็บอกไม่สลบ ขั้นเฉียดนี้มีๆ ตลอด เวลาเด็ดๆ อย่างนี้เด็ดจริงๆ เอ้าชีวิตเหลือก็เหลือไม่เหลือก็เอ้า เข้าสงครามตายในสงครามเลย จะเอาชัยชนะเท่านั้น เพราะฉะนั้นเวลาผลปรากฏขึ้นมาตามความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด ผลจึงเฉียบขาดมาตลอดเลยไม่มีจืดจาง หัวใจดวงนี้ไม่เคยจืดจาง จะเทศน์อะไรหนักเบามากน้อยไม่เคยจืดจางเหมือนเขาเล่านิทาน เล่านิทานนี้ขบขันดีในครั้งนี้ ครั้งหลังมานิทานอันเก่าไม่ขบขันนะ มันจืดชืดไปนี่เรื่องของโลก เรื่องของธรรมไม่มี มีรสชาติเต็มเหนี่ยวอยู่ตลอดเวลา จะออกแง่ไหนๆ มีรสชาติตลอดไปเลย

เราได้บอกกับพี่น้องชาวไทยเราแล้วที่เราช่วยไทยมานี้ อย่างเปิดเผยก็คือช่วยชาติบ้านเมือง ทั้งชาติทั้งศาสนาเราช่วยเต็มกำลังความสามารถของเรา นี่เราเต็มเหนี่ยวแล้วนะ เราไม่มีอะไรที่จะผิดพลาดไปพอจะได้ตำหนิเราว่า การดำเนินไปนี้ผิดไป ไม่มี เพราะพิจารณาโดยธรรมออกโดยธรรมล้วนๆ จึงไม่ต้องไปตรวจทาน เรียบร้อยไปพร้อมๆ เลยทีเดียว ใครจะยึดก็ยึดไม่ยึดก็เท่านั้น เราสุดกำลังความสามารถ อย่างพระพุทธเจ้าท่านสอนโลกได้ ๔๕ พระพรรษาท่านก็ปรินิพพาน ใครจะเอาก็เอาไม่เอาก็ตายกองกันอยู่นี่ก็แล้วแต่ ท่านไม่มาตายกองกันแล้ว นั่น มีแต่พวกเราที่เก่งๆ แล้วมันตายกองกันอยู่ ถ้าใครอวดเก่งกว่าธรรมพระพุทธเจ้า แล้วก็จะตายกองกันอยู่นี่ พวกเก่งๆ พวกตายกองกัน พวกไม่เก่งพวกเชื่อถืออรรถธรรมของพระพุทธเจ้ามีทางจะเล็ดลอดออกไป ไม่ตายกองกันอีกต่อไป พากันจำเอานะ วันนี้ก็เทศน์เท่านี้แหละ เทศน์หนักมากเหนื่อยแล้วนะ เท่านี้ก็พอแล้วละ เอาละพอ

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
http://www.luangta.com

ทำพิธีตัดกรรมเป็นการลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า

null
การตัดกรรมตัดเวร
โดย พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)

การ ตัดกรรม คือ การหยุดทำความชั่วหยุดทำบาป ส่วนการตัดเวร คือ การหยุดการพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน คือไม่แก้แค้นซึ่งกัน และกันรู้จักคำว่าให้อภัยซึ่งกันและกัน และผู้ที่ทำผิดก็ให้รู้จักคำว่าขอโทษ ผู้ที่ถูกขอโทษก็รู้จักคำว่าให้อภัย อันนี้เป็นอุบายตัดกรรมตัดเวร

พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้
กัมมัสสะโกมหิ (เรามีกรรมเป็นของๆตน)
กัมมะทายาโท (เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น)
กัมมะโยนิ (เรามีกรรมนำเกิด)
กัมมะพันธุ (เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง)
กัมมะปะฏิสะระโน (เรามีกรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย)
ยัง กัมมัง กะริสสามิ (เราทำกรรมอันใดไว้)
กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา (เป็นบุญหรือเป็นบาป)
ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ (เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น)
อภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง (พึงพิจารณาเห็นเนืองๆดังนี้)
ไปทำพิธีตัดกรรมก็เป็นการลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า

กรรมใดใครก่อไว้แล้วในเมื่อใจเป็นผู้จงใจทำลงไปแล้วเป็นกรรมอันเป็นบาป ภายหลังจึงมานึกได้และไม่ต้องการผลของบาป มันก็หลีกเลี่ยงปฏิเสธไม่ได้เพราะใจเป็นผู้สั่งให้กาย วาจา ทำลงไป พูดลงไป ใจตัวนี้ต้องรับผิดชอบโดยความเป็นธรรมโดยหลักของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นการที่ไปทำพิธีตัดกรรมนี่หมายถึงตัดผลของบาปนั้นมันตัดไม่ได้ อย่าไปเข้าใจผิด

ถ้าเข้าใจว่าทำบาปทำกรรมแล้วแล้วไปทำพิธีล้างบาปได้ ทำพิธีตัดกรรมแล้วมันหมดบาปประเดี๋ยวก็ทำกรรมชั่วแล้วมาหาหลวงพ่อหลวงพี่ตัด บาปตัดกรรมให้ มันก็ไม่กลัวต่อบาปเพราะฉะนั้นอย่าไปเข้าใจผิดว่าทำกรรมอันเป็นบาปแล้วตัด กรรมให้หมดไปได้ มันเป็นไปไม่ได้

********ยกตัวอย่างเรื่องกรรมบางส่วนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า********

ชาติหนึ่งเคยเกิดเป็นนักเลงชื่อปุนาลี ได้กล่าวใส่ความพระปัจเจกพุทธเจ้า พระนามว่าสุรภิผู้มิได้ประทุษร้ายใคร ด้วยผลแห่งกรรมนั้นต้องไปท่องนรกสิ้นกาลนาน เสวยทุกขเวทนาสิ้นพันปี ด้วยกรรมที่เหลือในภพสุดท้ายก็ถูกใส่ความ เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา ซึ่งเป็นนักบวชหญิงถูกพวกเดียรถีย์ใช้ให้ทำเป็นไปค้างคืนกับพระสมณโคดม ให้ใครต่อใครหลงเข้าใจพระองค์ผิด ทั้งที่นางค้างที่อื่น แต่รุ่งเช้ามาก็ทำท่าโผเผมาจากเชตวนารามที่พำนักของพระพุทธองค์ อีกสองสามวันต่อมามีคนโจษจันเรื่องนี้กันแล้ว พวกเดียรถีย์ก็จ้างนักเลงไปฆ่านางสุนทริกา เพื่อป้ายความผิดว่านางถูกพระพุทธองค์ฆ่าปิดปาก คนทั้งหลายก็สงสัยว่าอาจจะเป็นจริง ร้อนถึงพระราชาต้องส่งราชบุรุษไปสืบเรื่องดูตามร้านสุรา เมื่อได้ความชัดแจ้งก็จับนักเลงที่ฆ่านางสุนทริกา กับเดียรถีย์ที่จ้างฆ่านางสุนทริกา มาลงโทษทั้งหมด

อีกชาติหนึ่งเกิดเป็นพราหมณ์ผู้มีความรู้ มีผู้เคารพสักการะ เป็นผู้สอนมนต์แก่มานพ ๕๐๐ คน และได้ใส่ความภีมฤษีผู้มีอภิญญา มีฤทธิ์มาก หาว่าฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม มานพทั้งหลายก็พลอยชื่นชมยินดีไปด้วย เมื่อไปภิกขาจารในสกุล ก็เที่ยวกล่าวแก่มหาชนว่าฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม ผลของกรรมนั้นภิกษุ ๕๐๐ คนเหล่านี้ทั้งหมดพลอยถูกใส่ความด้วย เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกาที่ถูกนักเลงฆ่าและป้ายความผิดให้พระพุทธองค์ รวมทั้งภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในเชตวนาราม ก็พลอยถูกหาว่าร่วมกันฆ่าปิดปากนางสุนทริกาและถูกด่าว่าด้วย จนกระทั่งพระราชาจับนักเลงและเดียรถีย์ที่ร่วมกันฆ่านางได้ เรื่องราว จึงได้สงบ

อีกชาติหนึ่งไปกล่าวใส่ความพระสาวกของพระสัพพาภิภูพุทธเจ้า มีนามว่านันทะ จึงต้องท่องไปในนรกหลายหมื่นปี เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ถูกใส่ความมาก และด้วยกรรมที่เหลือ ชาติสุดท้ายนี้จึงถูกนางจิณจมาณวิกา ใส่ความว่าพระองค์ทำให้นางตั้งครรภ์

ชาติหนึ่งเคยฆ่าน้องชายต่างมารดาเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ได้ผลักน้องชายต่างมารดาลงในซอกเขา เอาหินทุ่มใส่ ด้วยผลแห่งกรรมนั้นจึงถูกพระเทวทัตเอาหินทุ่มใส่ที่เขาคิชกูฏ จนสะเก็ดหินกระเด็นถูกหัวแม่เท้า ห้อพระโลหิตในชาติสุดท้าย

จะเห็นว่าแม้ขณะเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้ายท่านยังต้องได้รับผลของกรรม เก่าที่ทำไว้ในชาติก่อนมาสนองหลายอย่าง จึงเห็นได้ว่าเรื่องของกรรมนั้นตัดไม่ได้ แต่ตัดเวรนี้มีทางเป็นไปได้ เวรหมายถึงการผูกพยาบาทคอยแก้แค้นกันอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่นฆ่าเขาตายเมื่อนึกถึงกรรมแล้วกลัวเขาจะอาฆาตจองเวร จึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา ถ้าหากว่าเขาได้รับส่วนกุศลเขาได้รับความสุข เขาเลื่อนฐานะจากภาวะที่ทุกข์ทรมานไปสู่ฐานะที่มีความสุข เมื่อเขานึกถึงคุณความดีนึกถึงบุญคุณ เขาก็อโหสิกรรมให้ไม่ตามล้างตามผลาญกันอีกต่อไป อันนี้คือตัดเวรซึ่งตัดได้

บางท่านอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้าช่างโหดร้ายจริงๆ ทำอะไรก็บาป แต่แท้ที่จริงพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้โหดร้ายอย่าเข้าใจท่านผิด พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้กฎความเป็นจริงของธรรมชาติคือรู้ว่าฆ่าสัตว์เป็นบาป ลักทรัพย์เป็นบาป ผิดกาเมเป็นบาป มุสาเป็นบาป ดื่มสุราและสิ่งมอมเมาเป็นบาป แต่บาปที่กล่าวมานั้นมันมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประสูติแล้ว ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มาประสูติแล้วมาบัญญัติขึ้นเอง หรือมาบัญญัติบาปกรรมและโทษทัณฑ์อะไรไว้ลงโทษสัตว์ทั้งหลาย การทำบาปทำกรรมนั้นสิ่งที่เรียกว่าเป็นบาปเป็นการกระทำด้วยกาย วาจา โดยมีใจเป็นผู้เจตนาคือมีความตั้งใจ ทำลงไปแล้วเป็นบาปทันทีคือการละเมิดศีลห้าข้อเท่านั้น เพราะฉะนั้นใครรักษาศีลห้าข้อได้บริสุทธิ์บริบูรณ์จึงเป็นการตัดทอนผลของบาป บาปกรรมที่ทำไว้ในอดีต เมื่อวานนี้หรือเมื่อเช้านี้ ย่อมตัดกรรมไม่ได้แล้วและจะต้องให้ผลต่อไป แต่เราจะตัดการทำกรรมชั่วในปัจจุบันได้และไม่ต้องรับผลของกรรมชั่วในอนาคต เมื่อเราตั้งใจรักษาศีลห้าข้อให้บริสุทธิ์ตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่ขณะปัจจุบันนี้ได้ชื่อว่าตั้งใจตัดเวรตัดกรรมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าหากเราสามารถปฏิบัติต่อๆ ไปได้จนกระทั่งตลอดชีวิตของเรา เราก็จะได้ตัดกรรมตัดเวรตลอดชีวิตเรา นี่คือการตัดกรรมตัดเวรที่ถูกต้อง

ศีลห้านี้เป็นเรื่องสำคัญเป็นแม่บทแห่งศีลทั้งหลายทั้งปวง เป็นหลักธรรมที่เป็นข้อมูลเป็นจุดเริ่มแห่งการทำความดี ผู้ใดปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดาเป็นประโยชน์ให้เกิดทางมรรคผลนิพพานอย่าง แท้จริง ขอให้ยึดมั่นในศีลห้าประการ เมื่อท่านมีศีลห้าข้อนี้ครบโดยบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ความเป็นมนุษย์ของท่านสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจะปลูกฝังความดีอันใดลงไป คุณความดีนั้นก็จะฝังแน่นในกาย วาจา และในใจของท่าน

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15167

หลวงปู่มั่นตอบคำถาม เรื่องเปรตผีนรกสวรรค์

ขณะที่ท่านอธิบายธรรมเกี่ยวกับเปรตผีนรกสวรรค์ เป็นต้น มีอาจารย์องค์หนึ่งที่เป็นศิษย์ท่านเรียนถามท่านขึ้นว่า เมื่อคนทั้งโลกไม่รู้ไม่เห็นบาปเห็นบุญ เห็นนรกสวรรค์ ตลอดเห็นเปรต เทวบุตร เทวดา ครุฑ นาค และวิญญาณที่เป็นภพละเอียดยิ่ง แต่ท่านอาจารย์สามารถรู้เห็นได้เพียงองค์เดียวทั้งที่คนอื่นไม่รู้ไม่เห็นด้วย ท่านอาจารย์จะอธิบายให้คนรู้เห็นด้วยไม่ได้บ้างหรือ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าและพระสาวกท่านเวลาเห็นแล้วยังนำมาสั่งสอนโลกได้ เช่น บาป บุญ นรก สวรรค์ เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมชาติที่พระองค์รู้เห็นแล้วนำมาสอนโลกทั้งสิ้น ไม่เห็นใครปรับโทษพระพุทธเจ้าและพระสาวกท่าน นี่ก็เข้าใจว่าจะไม่มีท่านผู้ใดจะมาปรับโทษท่านอาจารย์ นอกจากเขาจะอนุโมทนาสาธุกับท่านอาจารย์เท่านั้น เช่นเดียวกับพวกกระผมเชื่อและอัศจรรย์ความรู้ความสามารถของท่านอาจารย์อยู่เวลานี้

ท่านอาจารย์ตอบว่า
ผมยังไม่ได้คิดว่าจะพูดอย่างท่านขอร้อง แต่ผู้ขอร้องคือท่านจะหาเรื่องบ้ามาฆ่าตัวท่านและผมก่อนแล้ว ถ้าผมพูดตามความเห็นท่าน ท่านก็เป็นบ้าคนที่หนึ่ง ผมก็คือบ้าคนที่สอง ผู้ฟังที่นั่งอยู่ด้วยกันนี้ก็จะเป็นบ้าคนที่สามที่สี่ จะเป็นบ้าไปด้วยกันทั้งวัด แล้วจะมีวัดบ้าที่ไหนให้พวกเราซึ่งเป็นบ้ากันหมดทั้งวัดอยู่ล่ะ ศาสนาออกจากท่านผู้รอบคอบ แสดงไว้ด้วยความรอบคอบ เพื่อปฏิบัติด้วยความรอบคอบ รู้ด้วยความรอบคอบ และพูดด้วยความรอบคอบ แต่การพูดพล่ามไปดังท่านนี้ จะจัดว่ารอบคอบหรือจัดว่าพวกบ้าน้ำลาย ท่านลองพิจารณาดูซิ ผมว่าเพียงคิดขึ้นเท่านั้นก็เริ่มคิดเรื่องบ้าอยู่แล้ว มิหนำยังจะขืนพูดออกมา ถ้าโลกทนฟังได้โลกไม่แตก ผู้พูดผู้ฟังเหล่านี้ก็ดีแตกและบ้าแตกหาโลกอยู่ไม่ได้แน่ ๆ

การพูดดังที่ท่านคิดนั้นท่านมีเหตุผลอะไรบ้าง ท่านลองคิดดูแม้แต่สิ่งที่เห็น ๆ รู้ ๆ กันอยู่ทั่วไป เขายังรู้จักวิธีปฏิบัติว่าควรอย่างไรไม่ควรอย่างไร จึงจะเหมาะสมกับเหตุการณ์สถานที่และความนิยมของคนในยุคนั้น ๆ ธรรมแม้จะเป็นความจริงเหนือสิ่งใด แต่ยังอาศัยโลกผู้เกี่ยวข้องกับธรรมอยู่ ซึ่งควรปฏิบัติให้เหมาะสมกับโลกกับธรรมไปตามกรณี แม้พระพุทธเจ้าที่ทรงรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ก่อนใครในโลก ทั้งสามารถจะตรัสอะไรได้ด้วยความรู้ความเห็นที่ประจักษ์พระทัย แต่ก็ทรงรอบคอบในสิ่งทั้งปวงว่าจะควรปฏิบัติอย่างไรเสมอมา หากพระองค์จะตรัสบ้างในบางเรื่อง ก็ทรงเห็นว่าเหมาะกับเหตุการณ์สถานที่และบุคคลผู้รับฟัง มิได้ตรัสโดยปราศจากพระสติปัญญาความรอบคอบอันแหลมคม

ความรู้ความเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ควรแก่ฐานะของตนนั้นเป็นสิทธิของผู้นั้น แต่จะพูดพล่ามออกมาเสียทุกสิ่งทุกอย่างโดยปราศจากสติปัญญาที่ควรนำใช้เป็นประจำนั้น รู้สึกจะเป็นความรู้ความเห็นที่แหวกแนว คำพูดแหวกแนว แต่ผู้รับฟังซึ่งมิใช่คนแหวกแนวก็ทนฟังอยู่มิได้ การที่ใครจะปรับโทษหรือไม่นั้นเป็นเรื่องหยาบและเรื่องนอก ๆ ซึ่งไม่สำคัญยิ่งกว่าตัวผู้รู้ผู้เห็น จะควรปฏิบัติต่อตัวโดยสามีจิกรรมอันเป็นความชอบธรรมแก่ตนและผู้เกี่ยวข้องทั่ว ๆ ไป

ความเชื่อและความอัศจรรย์ก็มิใช่เหตุผลที่จะนำมาสนับสนุนเพื่อเสริมคนให้เป็นบ้า ความเชื่อและความอัศจรรย์ด้วยความอยากให้พูดให้คุย ก็เป็นความเชื่อความอัศจรรย์ของคนที่กำลังจะหาทางเป็นบ้า ผมจึงไม่สรรเสริญความเชื่อความอัศจรรย์แบบนั้น แต่อยากให้มีความเชื่อความอัศจรรย์ที่จะเป็นความแหลมคม สมกับที่พระพุทธเจ้าทรงสอนคนให้ฉลาดบ้าง แม้ไม่ฉลาดมากก็พอน่าชมด้วยความหวังว่าจะยังมีผู้ทรงพระศาสนา และสืบพระศาสนาไปด้วยความฉลาดรอบคอบอยู่บ้าง ผมขอถามท่านบ้างว่า “สมมุติว่าท่านมีเงินติดตัวอยู่จำนวนพอที่จะทำประโยชน์หรือทำความเสียหายแก่ตัวท่านได้หากไม่ฉลาด เวลาท่านเข้าในที่ชุมนุมชนท่านจะปฏิบัติต่อสมบัตินั้นอย่างไรบ้าง ถึงจะปลอดภัยทั้งสมบัติและตัวท่านเอง”

พระอาจารย์องค์นั้นเรียนตอบท่านว่า “กระผมก็จะพยายามรักษาสมบัตินั้นเต็มสติปัญญาที่จะรักษาได้”
ท่านถามว่า “สติปัญญาที่ท่านจะนำมาใช้ต่อสมบัติและชุมนุมชนในเวลานั้น ท่านจะนำมาใช้ด้วยวิธีใด สมบัติส่วนอื่น ๆ และตัวท่านเองจึงจะปลอดภัย”
อาจารย์นั้นเรียนท่านว่า “ถ้ากระผมจะสงเคราะห์เขาโดยที่เห็นว่าควรสงเคราะห์ ก็จะพยายามแยกสมบัติจำนวนที่จะสงเคราะห์ออกแผนกหนึ่ง โดยมิให้เขามองเห็นสมบัติส่วนใหญ่ที่มีอยู่ของตน แล้วสงเคราะห์เขาไปเฉพาะจำนวนที่แยกออกไว้จากส่วนใหญ่เท่านั้น นอกนั้นกระผมก็เก็บไว้อย่างมิดชิดไม่ให้ใครรู้ใครเห็น เพราะกลัวจะเป็นภัยแก่สมบัติและตัวกระผมเอง”
ท่านตอบว่า “เอาละ ทีนี้สมมุติว่าท่านรู้เห็นธรรมหรือสิ่งต่าง ๆ ดังที่ท่านยกขึ้นถามผม มีการเห็นเปรตผี เป็นต้น ท่านจะปฏิบัติต่อความรู้ความเห็นและแก่ผู้เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง ถึงจะจัดว่าเป็นผู้มีความรอบคอบในสมบัติประเภทนั้นและเป็นประโยชน์แก่หมู่ชนผู้มาเกี่ยวข้องเท่าที่ควร โดยไม่มีการอื้อฉาวราวเรื่อง ซึ่งอาจเป็นความเสียหายแกท่านเองและพระศาสนาได้”
อาจารย์องค์นั้นเรียนท่านว่า “กระผมก็จำต้องปฏิบัติทำนองเดียวกันกับการปฏิบัติต่อเงินซึ่งเห็นว่าเป็นคุณแก่ตนและผู้อื่นโดยถ่ายเดียว ไม่มีภัยเข้ามาแทรกด้วย”
ท่านถามว่า “ก็เมื่อสักครู่นี้ท่านพูดเป็นเชิงชักนำให้ผมประกาศโฆษณาความรู้ความเห็น มีเห็นเปรตผี เป็นต้น แก่ประชาชน โดยมิได้คำนึงถึงผลประโยชน์และความเสียหายอันจะตามมานั้น ท่านพูดมีความหมายอย่างไรบ้าง ผมคิดว่าถ้าคนมีสติปัญญาพอประคองตัวอยู่บ้างดังมนุษย์ทั่ว ๆ ไป เขาคงไม่พูดอย่างท่านแน่นอน แต่ท่านเองยังพูดออกมาได้ ถ้าท่านไม่เลยขั้นคนธรรมดาก้าวเข้าขั้นไม่มีสติแล้ว จะควรชมเชยว่าท่านก้าวข้ามไปขั้น……อะไรแล้ว ผมเองยังมองไม่เห็นจุดที่ควรชมเชยท่านบ้างเลยbสมมุติว่ามีผู้มาต่อว่าท่านว่า เวลาท่านก้าวเข้าถึงขั้น……แล้ว ท่านจะตอบเขาว่าอย่างไรจึงจะตรงกับความจริงที่เขาว่าท่านโดยมีเหตุผล ท่านได้คิดบ้างหรือเปล่าว่า คนในโลกมีคนฉลาดมากหรือคนโง่มาก และคนจำพวกไหนที่จะสามารถทรงพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองไปด้วยความมีเหตุผล และยั่งยืนไปนานไม่ถูกทำลายด้วยแบบท่านถามผมเมื่อสักครู่นี้”
ท่านนั้นเรียนท่านว่า “ถ้าพิจารณาตามที่ท่านอาจารย์ว่าแล้ว ก็เป็นความผิดในการกล่าวของกระผมโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะเท่าที่กระผมกราบเรียนขอนั้น โดยมุ่งเจตนาในทางอยากให้คนทั้งหลายทราบบ้าง อย่างกระผมทราบแล้วรู้สึกซาบซึ้งและอัศจรรย์อย่างยิ่ง ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาจากท่านผู้ใดเลย เมื่อเล่าให้เขาทราบบ้าง คงจะรู้สึกซาบซึ้งไปนานและเกิดประโยชน์แก่เขามากมาย ด้วยความรู้สึกอย่างนี้จึงทำให้ความอยากนั้นหลุดปากออกมา โดยมิได้คำนึงว่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้พูดและพระศาสนามากน้อยเพียงไรด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กระผมจึงขอประทานโทษได้โปรดเมตตาอย่าให้กรรมนี้ต้องติดในสันดานอีกต่อไป กระผมจะพยายามสำรวมมิให้เป็นทำนองนี้อีก หากมีคนมาต่อว่าว่ากระผมก้าวเข้าถึงขั้น…..ก็จำต้องยอมรับเหตุผล เพราะเราเป็นผู้ควรถูกตำหนิอย่างหาทางหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก่อนกระผมยังมิได้คิดว่าคนในโลกมีความฉลาดมากหรือคนโง่มาก เพิ่งจะมาสะดุดใจเอาขณะที่ท่านอาจารย์ถามนี่เอง เลยเดาเอาตามความรู้สึกว่า คนโง่มีมากกว่าคนฉลาดอยู่มากมาย คิดดูในหมู่บ้านหนึ่ง ๆ มีคนฉลาดและรักศีลรักธรรมอยู่เพียงไม่กี่คน นอกนั้นแทบจะพูดได้ว่า ไม่ทราบที่ไปที่มาของตัวเอาเลยว่าไปเพื่ออะไร มาเพื่ออะไร ทำเพื่ออะไร ผิดหรือถูก ดีหรือชั่ว ควรทำหรือไม่ควร เขาไม่ค่อยสนใจคิดเลย ขอแต่ให้สะดวกสบายในขณะนั้นก็พอใจแล้ว จะเป็นอะไรต่อไปก็มอบให้ยถากรรมเป็นผู้ตัดสินเอาเอง คราวนี้กระผมพอเข้าใจได้บ้างไม่มืดมิดปิดทวารเหมือนแต่ก่อน ส่วนผู้จะทรงพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองและยืนนานต่อไปด้วยความมีเหตุมีผลนั้น ก็เห็นจะได้แก่คนฉลาดเป็นผู้นำ และทรงไว้ด้วยความราบรื่นสม่ำเสมอมากกว่าจำพวกอื่น ๆ จำพวกนอกนั้นก็พลอยได้ประโยชน์ไปตาม ๆ กัน แต่หลักใหญ่เห็นจะอยู่ในคนจำพวกมีเหตุมีผลเป็นแน่ เพราะทางโลกทางธรรม กิจบ้านการอาชีพตลอดงานทุกแผนก รู้สึกจะหนีจำพวกฉลาดมีเหตุผลเป็นผู้นำไปไม่ได้”
ท่านอาจารย์อธิบายต่อไปว่า “งานทางโลกทางธรรมท่านยังพอคิดพอพูดได้ว่า คนฉลาดเป็นบุคคลสำคัญในวงการต่าง ๆ แต่งานของท่านเองซึ่งเป็นนักบวชและนักปฏิบัติทำไมจึงไม่คิดบ้างว่าควรอย่างไรไม่ควรอย่างไร งานพระศาสนาเป็นงานละเอียดมาก ยากที่จะรู้ทั่วถึง ผู้จะทรงพระศาสนาทรงธรรมทรงวินัยให้ถึงขั้นสมบูรณ์ได้ ต้องเป็นคนฉลาด ความฉลาดในที่นี้มิได้หมายความฉลาดที่ทำลายโลกให้พินาศ ทำลายศาสนาให้ฉิบหายล่มจม แต่เป็นความฉลาดในเหตุผลที่จะยังโลกและธรรมให้เจริญโดยถ่ายเดียว ความฉลาดนี่แลที่แสดงไว้ในมรรคแปดว่า สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป คือความเห็นชอบ ความดำริคิดนึกชอบ และเป็นผู้นำกายวาจาให้ประพฤติแต่ในทางที่ชอบตามปัญญาสัมมาทิฏฐิซึ่งเป็นผู้นำ แม้แต่สมาธิที่เป็นไปในทางชอบ ก็จำต้องอาศัยสัมมาทิฏฐิองค์ปัญญาคอยตรวจตราสอดส่องอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นสมาธิหัวตอไปได้ จิตสงบจิตรวมต้องมีสติปัญญาคอยแฝงอยู่เสมอ จิตเกิดความรู้อะไรขึ้นมา จิตออกรู้อะไรบ้าง สิ่งที่รู้นั้น ๆ จะควรปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้องตามหลักของผู้ต้องการความรู้จริงเห็นจริงในสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง ถ้าไม่มีปัญญาแฝงอยู่ด้วยแล้ว ต้องทำให้เห็นผิดยึดผิดไปจนได้ เพราะความรู้ต่าง ๆ ทั้งข้างในทั้งข้างนอกที่เกี่ยวกับสมาธิไม่มีประมาณ สุดแต่จะปรากฏขึ้นมาและผ่านเข้ามา ในรายที่นิสัยจะควรรู้ควรเห็นเป็นต้องรู้ต้องเห็น จะห้ามไม่ให้รู้ให้เห็นย่อมไม่ได้ แต่สำคัญอยู่ที่ปัญญาจะคัดเลือกเก็บเอาเท่าที่พิจารณาเห็นว่าควร นอกนั้นก็ปล่อยให้ผ่านไปอย่างนักปัญญา ไม่ยึดถือไว้ให้ก่อกวนตัวเองอยู่ไม่หยุด ถ้าขาดปัญญาเพียงขั้นสมาธิก็ไปไม่ตลอด คือต้องยินดีกับสิ่งนั้น ยินร้ายกับสิ่งนี้ เพลิดเพลินกับสิ่งนั้น เศร้าโศกกับสิ่งนี้ ซึ่งล้วนเป็นอารมณ์เขย่าใจให้ลุ่มหลงไปตามทั้งสิ้น อารมณ์ที่มาปรากฏถ้าไม่กำจัดด้วยปัญญาจะตกไปได้ยาก นอกจากจะพาให้เป็นอารมณ์ก่อกวนอยู่ไม่หยุดเท่านั้น แต่ถ้าคัดเลือกด้วยปัญญาแล้วจะมีทางผ่านไปได้ ที่ยังเหลืออยู่ก็เฉพาะที่ปัญญาคัดไว้เท่านั้น ปัญญาจึงเป็นธรรมจำเป็นในธรรมทุกขั้น ผู้ก้าวเข้ามาบวชในศาสนา ก็คือก้าวเข้ามาหาความรู้ความฉลาด เพื่อคุณงามความดีทั้งหลายที่โลกปรารถนากัน มิได้เข้ามาสั่งสมความโง่เขลาเบาต่อเล่ห์เหลี่ยมของกิเลสตัวหลอกลวง แต่เพื่ออุบายปัญญาพลิกแพลงให้ทันเรื่องของกิเลสต่างหาก เพราะคนเราอยู่และไปโดยไม่มีเครื่องป้องกันตัว ย่อมไม่ปลอดภัยต่ออันตรายทั้งภายนอกภายใน เครื่องป้องกันตัวของนักบวชคือหลักธรรมวินัย มีสติปัญญาเป็นอาวุธสำคัญ ถ้าต้องการความเป็นผู้มั่นคงต่อสิ่งทั้งหลายไม่สะทกสะท้าน จึงควรเป็นผู้มีสติปัญญาแฝงอยู่กับตัวทุกอิริยาบถ จะคิดจะพูดจะทำอะไร ๆ ก็ตามไม่มีการยกเว้นสติปัญญาที่จะไม่เข้ามาสอดแทรกอยู่ด้วยในวงงานที่ทำทั้งภายนอกภายใน จะเป็นที่แน่นอนต่อคติของตนทุก ๆ ระยะไป ผมปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นบรรดาลูกศิษย์ มีความเข้มแข็งต่อแดนพ้นทุกข์ด้วยความเพียรทุกประโยค ที่เต็มไปด้วยสติปัญญาเป็นหัวหน้างาน ไม่งุ่มง่ามเซอะซะต่อตัวเองตลอดธุระหน้าที่ทั้งหลาย สมกับศาสนายอดเยี่ยมด้วยหลักธรรมที่สอนคนให้ฉลาดทุกแง่ทุกมุม แต่ไม่ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นผู้ปฏิบัติที่มาอาศัยอยู่ด้วย เป็นคนอ่อนแอโง่เง่าเต่าตุ่น วุ่นวายอยู่กับอารมณ์เครื่องผูกพันด้วยความนอนใจ และเกียจคร้านในกิจการที่จะยกตัวให้พ้นภัย ไม่ขยันคิดอ่านด้วยความสนใจในงานของตัวทุกประเภท เพราะงานของพระผู้พร้อมแล้วเพื่อข้ามโลกข้ามสงสารเป็นงานชั้นเยี่ยม ไม่มีงานใดในโลกจะหนักหน่วงถ่วงใจยิ่งกว่างานยกจิตให้พ้นจากห้วงแห่งวัฏทุกข์ งานนี้เป็นงานที่ทุ่มเทกำลังทุกด้าน แม้ชีวิตก็ยอมสละไม่อาลัยเสียดาย จะเป็นจะตายก็มอบไว้กับความเพียร เพื่อรื้อถอนตนให้พ้นจากหล่มลึกคือกิเลสทั้งมวล ไม่มีการแบ่งรับแบ่งสู้เหมือนงานอื่น ๆ จะรู้จะเห็นธรรมอัศจรรย์ที่ไม่เคยพบเคยเห็น ก็รู้และเห็นกันกับความเพียรที่สละตายไม่เสียดายชีวิตนี่แล วิธีอื่น ๆ ก็ยากจะคาดถูกได้ การทำความเพียรของผู้ตั้งใจจะข้ามโลก ไม่ขอเกิดมาแบกหามกองทุกข์นานาชนิดอีกต่อไป ต้องเป็นความเพียรชนิดเอาตายเข้าแลกกัน เฉพาะผมเองก่อนที่จะมาเป็นอาจารย์สอนหมู่คณะ มิได้นึกว่าชีวิตจะยังเหลือเดนมาเลย เพราะความมุ่งมั่นต่อธรรมแดนหลุดพ้นมีระดับสูงเหนือชีวิตที่ครองตัวอยู่ การทำความเพียรทุกประโยคและทุกอิริยาบถได้ตั้งเข็มทิศไว้เหนือชีวิตทุกระยะ ไม่ยอมให้ความอาลัยเสียดายในชีวิตเข้ามากีดขวางในวงความเพียรเลย นอกจากความบีบบังคับของจิตที่เต็มไปด้วยความหวังต่อทางหลุดพ้นเท่านั้น เป็นผู้บงการแต่ผู้เดียวว่า ถ้าขันธ์ทนไม่ไหวจะแตกตายไปก็ขอให้แตกไป เราเคยตายมาแล้วจนเบื่อระอา ถ้าไม่ตายขอให้รู้ธรรมที่พระองค์รู้เห็น อย่างอื่นไม่ปรารถนาอยากรู้อยากเห็น เพราะเบื่อต่อการรู้เห็นมาเต็มประดาแล้ว บัดนี้เราอยากรู้เพียงอย่างเดียวคือสิ่งที่เรารู้แล้วไม่ต้องกลับมาลุ่มหลงเกิดตายอีกต่อไป สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ปรารถนาอย่างยิ่งของเราในบัดนี้ ส่วนความเพียรที่หมุนไปตามความอยากรู้อยากเห็นธรรมดวงนั้น จึงเป็นเหมือนโรงจักรที่เปิดทำงานแล้วไม่ยอมปิดเครื่อง ปล่อยให้หมุนตัวเป็นธรรมจักร ฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลสวัฏฏะทั้งหลายไม่มีวันมีคืน ไม่มีอิริยาบถใดว่าได้ย่อหย่อนความเพียร เว้นแต่หลับไปเสียเท่านั้นเป็นเวลาพักงานชั่วคราว พอตื่นขึ้นมามือกับงาน คือสติปัญญาศรัทธาความเพียรกับกิเลสที่ยังเหลือเป็นเชื้อเรื้อรังอยู่ภายในมากน้อย ไม่ว่างต่อการรบพุ่งชิงชัยกันเลย จนถูกทำลายด้วยสติปัญญาศรัทธาความเพียรให้ราบเรียบไปหมดอย่างสบายหายห่วง นับแต่ขณะนั้นมาส่วนที่ตายไปคือกิเลสทั้งหลายก็ทราบว่าตายไปอย่างสนิท ไม่กลับฟื้นคืนมาก่อกวนวุ่นวายได้อีก ส่วนที่ยังเหลือคือชีวิตธาตุขันธ์ ก็ทราบว่ายังพอทนต่อไปได้ไม่แตกสลายไปตามกิเลส ขณะที่เข้าสู่สงครามทำการหักโหมกันอย่างสุดกำลังทุกฝ่าย สิ่งที่ต่างฝ่ายต่างหมายยึดครองถึงกับต้องทำสงครามยื้อแย่งแข่งชัยชนะกันนั้น คือใจอันเปรียบเหมือนนางงาม ได้ตกมาเป็นสมบัติอันล้ำเลิศประเสริฐสุดของฝ่ายเรา เรียกว่าอมตจิตหรืออมตธรรม ใครค้นพบผู้นั้นประเสริฐโดยไม่มีอะไรมาเสกสรร แต่ธรรมนั้นอยู่ฟากตาย ถ้าใครกลัวตายเสียดายทุกข์ ชอบถือเอาความสนุกในการเกิดว่าเลิศเลอ ผู้นั้นต้องจัดว่าลืมตัวมัวประมาทและชอบผัดเพี้ยนเลื่อนเวลาว่า เช้า สาย บ่าย เย็น ไม่อยากบำเพ็ญความดีสำหรับตนในเวลาที่เป็นฐานะพอทำได้อยู่ ความประมาททั้งนี้ยังจะพาให้หลั่งน้ำตาด้วยความทุกข์ในสงสาร ไม่อาจประมาณได้ว่ายังอีกนานเท่าไร จึงจะผ่านพ้นแหล่งกันดารอันเป็นที่ทรมานไปได้ จึงขอฝากปัญหาธรรมเหล่านี้ไว้กับท่านทั้งหลายนำไปขบคิดด้วยว่า เราจะเป็นฝ่ายคืบหน้ากล้าตายด้วยความเพียรหมายพึ่งธรรม ไม่เหลียวหลังไปดูทุกข์ที่เคยเป็นภาระให้แบกหาม ด้วยความเจ็บแสบและปวดร้าวในหัวใจมาเป็นเวลานาน หรือยังจะเป็นฝ่ายเสียดายความตายแล้วกลับมาเกิดอีก อันเป็นตัวมหันตทุกข์ที่แสนทรมานอีกต่อไป รีบพากันนำไปพิจารณา อย่ามัวเมาเฝ้าทุกข์และหายใจทิ้งเปล่า ๆ ดังที่เป็นมาและเป็นอยู่เวลานี้ จะช้าทางและเสียใจไปนาน เพราะโรงดัดสันดานกิเลส ตัวพาให้ว่ายบกอกแตกแบกกองทุกข์ไม่มีเวลาปลงวางนั้น มิได้มีอยู่ในที่อื่นใดและโลกไหน ๆ แต่มีอยู่กับผู้ตั้งหน้าบำเพ็ญด้วยการใช้หัวคิดปัญญาศรัทธาความเพียร เป็นเครื่องมือบุกเบิกเพื่อพ้นไปนี้เท่านั้น ไม่หยุดหย่อนนอนใจว่ากาลเวลายังอีกนาน สังขารยังไม่ตายร่างกายยังไม่แก่ ซึ่งเป็นความคิดที่ทำให้แย่ลงโดยถ่ายเดียว ผู้เป็นนักบวชและนักปฏิบัติจึงไม่ควรคิดอย่างยิ่ง อนึ่ง ผู้จะพาให้ผิดพลาดและพาให้ฉลาดแหลมคมก็มีอยู่กับใจดวงเดียวจะเป็นผู้ผลิต ไม่มีอยู่ในที่ใด ๆ จึงไม่ควรตั้งความหวังไว้กับที่ใด ๆ ที่มิได้สนใจดูตัวเอง ตัวจักรเครื่องทำงาน คือกายวาจาใจที่กำลังหมุนตัวกับงานทุกประเภทอยู่ทุกขณะ ว่าผลิตอะไรออกมาบ้าง ผลิตยาถอนพิษคือธรรมเพื่อแก้ความไม่เบื่อหน่ายและอิ่มพอในความเกิดตาย หรือผลิตยาบำรุงส่งเสริมความมัวเมาเหมาทุกข์ ให้มีกำลังขยายวัฏวนให้ยืดยาวกว้างขวางออกไปไม่มีสิ้นสุด หรือผลิตอะไรออกมาบ้าง ควรตรวจตราดูให้ละเอียดถี่ถ้วน ไม่เช่นนั้นจะเจอแต่ความฉิบหายล่มจม ไม่มีวันโผล่ตัวขึ้นจากทุกข์ที่โลกทั้งหลายกลัว ๆ กันได้เลย”

ท่านแสดงธรรมโดยถือเอาพระที่เป็นต้นเหตุอาราธนาท่าน ให้แสดงตามที่รู้ที่เห็นสิ่งต่าง ๆ แก่โลกอย่างไม่มีขอบเขตนั้น ปรากฏว่าท่านแสดงอย่างเผ็ดร้อนมาก ทั้งเนื้อธรรมก็ทรงรสชาติอย่างมหัศจรรย์ยากจะได้ยินได้ฟัง พระผู้เป็นต้นเหตุให้ท่านต้องแสดงก็ไม่น่าจะผิดตามที่ท่านดุด่าขู่เข็ญ แต่อาจจะเป็นอุบายวิธีอาราธนาให้ท่านแสดงธรรมโดยทางอ้อมก็ได้ เท่าที่เคยสังเกตท่านตลอดมา ถ้าท่านแสดงธรรมตามปกติ ไม่มีอะไรเข้าไปสัมผัสหรือกระเทือนถึงใจหรือถึงธรรมท่าน ท่านชอบแสดงไปเรียบ ๆ แม้จะแสดงธรรมชั้นสูงก็ทำนองเดียวกัน ผู้ฟังรู้สึกจะขาดอะไร ๆ อยู่บ้างไม่จุใจ

แต่ถ้ามีรายใดรายหนึ่งก่อเหตุขึ้น เป็นเชิงเรียนถามปัญหาท่านหรือสนทนาธรรมกันเองต่อหน้าท่านแบบผิด ๆ ถูก ๆ พอให้ท่านรำคาญ หรือธรรมที่กำลังสนทนากันไปสะดุดใจท่านเข้าขณะนั้น นั่นแลเป็นขณะที่ธรรมภายในใจท่านเริ่มไหวตัวออกมาผิดปกติ และแสดงออกทางวาจาอย่างเผ็ดร้อนถึงใจ ทั้งท่านผู้แสดงและผู้ฟังอย่างเพลินใจ และทุกครั้งที่ท่านแสดงแบบนี้ ต้องเป็นที่ซาบซึ้งดื่มด่ำเหลือที่จะพรรณนาให้ถูกต้องกับความรู้สึกได้

ผู้เขียนซึ่งเป็นผู้มีนิสัยหยาบจึงชอบฟังธรรมที่ท่านแสดงแบบนี้มากกว่าแบบอื่น ๆ เพราะเห็นว่าถูกกับจริตนิสัยที่หยาบของตนมาก ฉะนั้นท่านผู้เป็นต้นเหตุอาราธนาท่านด้วยอุบายวิธีต่าง ๆ ถึงกับท่านได้แสดงธรรมแบบเผ็ดร้อนออกมานั้น จึงเข้าใจว่าเป็นความแยบคายของแต่ละองค์จะหาอุบายแสดงออกตามสติปัญญาของตน ซึ่งไม่ควรจะผิดไปทีเดียว อาจมีเจตนาเพื่อประโยชน์แก่ตนแฝงอยู่กับคำอาราธนานั้นด้วย ทั้งนี้เมื่อมาถึงวาระของผู้เขียนได้สดับธรรมจากท่านจริง ๆ แล้วโดยมากได้ฟังธรรมเด็ดเดี่ยวที่ให้เกิดความอาจหาญร่าเริง มักจะเกิดจากวิธีเรียนถามปัญหาซอกแซกกับท่านมากกว่าวิธีอื่น ๆ ขณะท่านอธิบายธรรมก็ถูกกับจุดที่ต้องการ ซึ่งผิดกับการแสดงแบบแกงหม้อใหญ่เป็นไหน ๆ ดังนั้นเมื่ออยู่กับท่านนาน ๆ ไป ก็ค่อยทราบวิธีแสวงหาธรรมกับท่านกว้างขวางออกไป ไม่รอคอยให้ท่านหยิบยื่นให้ถ่ายเดียว ยังพอมีอุบายขอร้องต่าง ๆ พอให้ท่านเมตตาบ้าง โดยมิใช่วันประชุมแสดงธรรมตามปกติ

ประวัติท่านพระอาจารย์ มั่น ภูริทัตตเถระโดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน

คนที่ฆ่าคนตายหรือคนที่ดื่มเหล้า อย่างไหนตกนรกมากกว่ากัน

โดย พระไพศาล วิสาโล
วันที่ 10 กรกฎาคม 2013
จากหน้า พระไพศาล วิสาโล – Phra Paisal Visalo

ปุจฉา กราบเรียนถามพระอาจารย์นะคะ คือลูกสาวอายุ ๒๐ ปี เรียน ม.ปีสุดท้ายได้ไปถือศีลปฏิบัติธรรมมาและฟังพระอาจารย์ที่มาเป็นผู้สอน เล่าเรื่องเกี่ยวกับการขึ้นสวรรค์และการตกนรก มีข้อสงสัยในคำสอนข้อหนี่งว่า ถ้าคน ๒ คนๆ หนึ่งอยู่ในศีล ๕ มาตลอดแต่เกิดไปฆ่าคนตาย กับอีกคนหนึ่ง ก็อยู่ในศีลเกือบหมด ยกเว้นแค่ชอบดื่มเหล้า แต่ไม่ได้ทำร้ายอะไรใครแค่ดื่มปกติ ท่านเล่าว่า คนที่ดื่มเหล้า ถ้าตายไปจะตกนรกหลายร้อยชาติมากเจอทุกข์เวทนามากมาย แต่คนที่ฆ่าคนตายก็จะได้รับบาปเช่นกันแต่ไม่มากเท่าไหร่

แกเลยสงสัยในข้อนี้ว่าคนฆ่าคนตายทั้งคน จะบาปน้อยกว่าคนที่ดื่มเหล้าแค่สนุกสนาน เพื่อสังคมในบางครั้งคราวจริงหรือคะ เพราะลูกสาวรู้สึกว่าในสังคมบางครั้งถ้าเค้าจบทำงานไปอาจมีสังคมต้องดื่มอาจจะเป็นเหล้า หรือไวน์จะบาปมหันต์ได้ไหม เพราะที่จริงแล้วการดื่มเหล้าเป็นสาเหตุหลักที่จะทำให้เราขาดสติและกระทำผิดศีลในข้ออื่นๆๆ ได้ง่ายอันนี้ลูกสาวเข้าใจ แต่จากที่ท่านสอนคือห้ามเด็ดขาดมีฉะนั้นจะต้องตกนรกมากที่สุด ทำให้แกรู้สึกกลัว เพราะแกก็จะเป็นเด็กที่พยายาปฏิบัติตนให้อยู่ในศีล จึงอยากให้พระอาจารย์ช่วยอธิบายด้วยค่ะ กราบสาธุค่ะ

วิสัชนา การทำผิดศีลนั้นไม่ได้หมายความว่าจะตกนรกสถานเดียว มีเหตุปัจจัยมากมายที่จะทำให้เป็นอื่นได้ ดังพระพุทธเจ้าเคยตรัสว่าคนบางคนผิดศีล(เช่น ฆ่าคน) ตายแล้ว ที่ไปสวรรค์ก็มี เพราะ ๑) กรรมดีที่เคยทำไว้ก่อน ๒)กรรมดีที่ทำไว้ภายหลัง ๓)ในเวลาตายมีสัมมาทิฏฐิ (อย่างไรก็ตาม การที่เขาผิดศีล ก็ทำให้เขาต้องเสวยวิบากกรมในชาตินี้ หรือชาติหน้า หรือชาติต่อ ๆ ไป)

ในพระไตรปิฎกยังมีเรื่องราวของเจ้าศากยะองค์หนึ่งซึ่งกินเหล้าเป็นอาจิณแต่เมื่อสวรรคต พระพุทธองค์ตรัสว่าท่านได้เป็นโสดาบัน เจ้าศากยะทั้งหลายพากันตำหนิพระองค์ว่าทรงพยากรณ์เช่นนั้นได้อย่างไร พระองค์จึงทรงอธิบายว่าท่านผู้นั้นได้สมาทานสิกขาบทและบำเพ็ญสิกขาบทอย่างสมบูรณ์ในเวลาที่กำลังจะตาย เป็นเหตุให้ได้บรรลุธรรมเป็นโสดาบัน

ทั้งหมดที่ยกมานี้เพื่อชี้ว่าผลของกรรมเป็นเรื่องซับซ้อน ไม่อาจพูดแบบ “ฟันธง” อย่างที่นิยมทำกันในปัจจุบันได้ คนที่ผิดศีลหรือเคยผิดศีล ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปอบายสถานเดียว สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเมื่อรู้ตัวแล้วกลับมาทำความดี ก็สามารถมีสุคติเป็นที่หมายได้

อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงการผิดศีลแล้ว การฆ่ามนุษย์นั้นถือว่าเป็นบาปร้ายแรงกว่าการกินเหล้า พระที่กินเหล้านั้นต้องอาบัติแค่ปาจิตตีย์ซึ่งเป็นอาบัติเล็กน้อย ปลงอาบัติก็หมดปัญหา แต่พระที่ฆ่าคนนั้น ต้องปาราชิกสถานเดียว คือขาดจากความเป็นภิกษุทันที ไม่สามารถปลงให้พ้นได้

http://www.visalo.org/QA/Q560710.htm

เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดเป็นชาย เป็นหญิง

คำถาม อะไรเป็นปัจจัยให้เกิดเป็นชายเป็นหญิงครับ?

คำตอบ ความข้อง ความรัก ความคิด ติดข้องในนิสัยผู้หญิงติดข้องในเพศหญิง เช่น อย่างคนเป็นผู้ชายไปแต่งตัวเป็นผู้หญิง ทีนี้จิตมันก็ข้องเพราะความอยากเป็น มันถึงได้เป็นเช่นตัวอย่างคนใช้ของเศรษฐี เขาใช้ให้ขุนหมาทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งแกก็คิดขึ้นมาว่า “ขนาดหมาเศรษฐียังได้กินดีกว่าเราเลย! เราน่าจะเป็นหมาเศรษฐีดีกว่า” อยู่มาภายหลังเศรษฐีจัดงานเลี้ยง อาหารที่เหลือจากงานเลี้ยงเขาก็ให้แกกิน เพราะเขาทำมาก พอเสร็จแล้วแกก็กินไป ๆ “เอ้อ ! อร่อยนี่ เสร็จเราล่ะ จะกินเหมือนหมาเศรษฐี” กินซะจนพุงฉีกเสร็จแล้วตาย พอตายไปแล้วเกิดเป็นลูกหมาเศรษฐี เพราะจิตมันไปข้อง จิตมันไปข้องอยู่ที่ตรงไหนมันก็ไปติดอยู่ที่ตรงนั้น

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

http://www.dharma-gateway.com

ตายแล้วไปไหน

วันนี้เป็นวันมหามงคลแก่พี่น้องชาวอุดรเรามากทีเดียว โดยทูลกระหม่อมฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ท่านเสด็จมาโปรด เยี่ยมพี่น้องชาวอุดรเรา แล้วเข้ามาฟังอรรถฟังธรรมสำนักวัดป่าบ้านตาด นับเป็นสิริมงคลอย่างมากทีเดียว การที่จะได้ยินได้ฟังอรรถธรรม ตามบาลีท่านว่าไว้ กิจฺฉํ ธมฺมสฺสวนํ การจะได้ยินได้ฟังอรรถธรรมนี้ยากนักยากหนา แต่ทุกวันนี้ธรรมก็เฟ้อ มนุษย์ก็เฟ้อ ต่างอันต่างเฟ้อ ธรรมนั้นท่านเลิศเลอมาดั้งเดิม แต่มาคลุกเคล้ากับมนุษย์ที่เฟ้อๆ นี้ ธรรมก็เลยกลายเป็นของเฟ้อไปตาม เพื่อจะให้เป็นสิ่งที่ดีงามสมศักดิ์ศรีของธรรมแล้ว พวกเราทั้งหลายควรจะปฏิบัติปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนดี จะเข้ากันได้สนิทกับพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาของท่านผู้เลิศเลอ

คือพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาที่เลิศเลอ ในโลกทั้งสามนี้กราบไหว้พระพุทธเจ้าทั้งนั้น ไม่มีใครจะเย่อหยิ่งได้เลย เพราะธรรมเป็นของเลิศเลอ พระพุทธเจ้าทรงครองธรรมอันเลิศเลอ ก็กลายเป็นศาสดาองค์เลิศเลอขึ้นมา ธรรมที่แสดงออกแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายพุทธบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี แต่ก่อนมีภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ได้ยินได้ฟัง สำเร็จเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาจำนวนไม่น้อย ตำรับตำราท่านแสดงไว้ คือองค์ศาสดาเป็นคลังแห่งธรรมที่เลิศเลอ ทรงกระจายออกไปที่ไหนก็เป็นธรรมที่เลิศเลอ ประพรมพวกบรรดาสัตว์ทั้งหลายให้ได้รับความยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบานภายในจิตใจ รู้เนื้อรู้ตัวในการจะประพฤติตัวเป็นคนดี และละชั่วไปเป็นลำดับลำดาตามสายธรรมที่ทรงแสดงไว้เรียบร้อยแล้ว

เมื่อเราได้นำธรรมนี้เข้ามาประดับตน ไม่มีอะไรจะสวยงามยิ่งกว่าธรรมประดับใจ ประดับกาย วาจา ความประพฤติ หน้าที่การงาน เมื่อมีธรรมเข้าแทรกแล้วสวยงามทั้งนั้น ถ้านอกจากธรรมแล้วกิเลสตัวสกปรก ติดเปื้อนที่ตรงไหน ต้องได้ชะได้ล้างกันเต็มเหนี่ยว โลกเขารังเกียจกันในสิ่งสกปรกทั้งหลาย เข้ามาแปดเปื้อนร่างกายนี้เขารีบเช็ดรีบล้าง แต่กิเลสเข้าพัวพันกับจิตใจวันยังค่ำคืนยังรุ่ง ไม่มีใครสนใจจะชำระล้างให้เป็นของสะอาดขึ้นมาบ้างเลย เสียตรงนี้ละ พวกเราชาวพุทธให้นำธรรมนี้เข้าไปชะล้างจิตใจ ให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีจะมีความสุข ซุกหัวนอนได้สะดวกสบายบ้างพอประมาณ

ถ้ามีธรรมเข้าตรงไหนจะมีความพอดี มีความสุขที่ตรงนั้น ถ้ากิเลสเข้าตรงไหนหาความพอไม่มี โลกจะตายอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความดีดดิ้นไปตามกิเลสตัณหานั้นแหละ ที่ไหนว่าเจริญๆ มันเจริญลมๆ แล้งๆ หาความสัตย์ความจริงไม่มี ก็คือกิเลสหลอกโลกทั้งหลายนั้นแหละ หลอกเป็นลมๆ แล้งๆ ความอยากที่เป็นไปตามกิเลสมันก็อยากไม่พอ อยากทุกสิ่งทุกอย่าง รับประทานอิ่มแล้วอันหนึ่งมันไม่อิ่มนะ จิตดวงนี้ไม่เคยอิ่ม มีหิวโหยอยู่ตลอดเวลาคือใจดวงนี้ ที่มีกิเลสเข้าครอบงำจิตใจ กลายเป็นใจที่รุ่มร้อนขุ่นมัว ดีดดิ้นตลอด ถ้าธรรมแทรกเข้าไปแล้วจะมีความสงบร่มเย็นบ้างพอประมาณ

เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้อบรมจิตใจ เพราะจิตใจนี้ดีดดิ้นตลอดเวลา เนื่องจากกิเลสตัวเป็นไฟอยู่ภายในใจ ไฟจ่อเข้าไปตรงไหนจี้เข้าไปตรงไหน ดิ้นทั้งนั้นๆ นอกจากคนตาย เผาทั้งหมดยังเหลือแต่กระดูก จนกระทั่งกลายเป็นเถ้าเป็นถ่านก็ไม่ดีดไม่ดิ้น นั้นคือคนตายแล้ว คนที่มีชีวิตอยู่นี้ถูกกิเลสจี้เข้าไปๆ จึงต้องดีดดิ้นทั่วโลกดินแดน ไม่มีใครอยู่เป็นความสงบสุขได้ภายในจิตใจ สมบัติเงินทองข้าวของจะมีมากน้อยเพียงไรนั้นอยู่นอก มาช่วยไม่ได้ ช่วยกิเลสที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้สัตว์โลกนี้ช่วยไม่ได้ นอกจากธรรมซึ่งเป็นน้ำดับไฟอย่างเดียวเท่านั้นช่วยได้

มันจะดีดจะดิ้นเหาะเหินเดินเมฆไปไหนก็ตาม ถ้าธรรมได้จับเข้าไปตรงไหน จะสงบตัวลงไปๆ ท่านจึงสอนให้อบรมจิตใจ ใจนี้เป็นสำคัญมาก เป็นเจ้าตัวการครอบโลกธาตุ มีใจเป็นผู้ปกครองทั้งนั้น เป็นใหญ่เป็นโตในโลกอันนี้ สุดท้ายก็เป็นบ๋อยของกิเลสจนได้นั้นแหละ ถ้าไม่มีธรรมเข้าครอบครอง จึงขอให้พากันมีธรรม

คำว่าธรรมๆ นี้ได้ยินแต่ชื่อแต่นาม ไม่เคยเข้าไปสัมผัสสัมพันธ์ภายในใจ จึงไม่มีความตื่นเต้น ไม่มีความรู้เนื้อรู้ตัวให้ฟิตตัวให้ดีขึ้นไปด้วยความตื่นเต้นในความดีของตนคือธรรมที่เข้าสัมผัสใจ ท่านจึงสอนให้อบรมจิตใจภาวนา ใจเป็นของเล็กน้อยเมื่อไร ทุกข์ทั่วโลกดินแดนก็มารวมอยู่กับใจ ใจเป็นผู้แบกหามเรื่องกองทุกข์ทั้งหลายด้วย ถ้าใจมีธรรมภายในใจ ธรรมนั้นก็ประคองจิตใจให้มีความสงบร่มเย็น สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาก็ที่ใจนั้นแหละ ตัวมืดบอดที่สุดก็คือใจ ตัวจะสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาก็คือใจ เพราะธรรมชะล้างให้มีความสะอาดสะอ้านขึ้นมา

ธรรมที่นำมาสอนโลกจนกระทั่งทุกวันนี้ออกมาจากใคร ก็ออกมาจากพระพุทธเจ้าผู้ทรง โลกวิทู สว่างกระจ่างแจ้งตลอดเวลาครอบโลกธาตุ ธรรมประเภทนี้แลนำมาสอนโลก ไม่ได้เอาธรรมมืดบอดมาสอนโลก เพราะโลกนี้มันมืดบอดอยู่แล้ว เอาความสว่างไสวคือธรรมสอดแทรกเข้ามา สอนเข้ามาให้รู้ดีรู้ชั่วและประพฤติตัวเป็นคนดี ละชั่ว ทำดี ไปเรื่อยๆ จิตใจก็สง่างาม ถ้าจิตใจได้รับธรรมเข้าสู่ใจแล้วจะสง่างาม แม้จะเข้าไปอยู่ในสถานที่ใดก็มีความสง่างามอยู่ในสถานที่นั้น

เช่น พระท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านภาวนาสงบงบเงียบ นั่นท่านผู้ทรงอรรถทรงธรรมทรงมรรคทรงผล ท่านสง่างามอยู่ภายในภูเขานั้นแหละ โลกนี้ประดับประดาตกแต่ง มีแต่จะให้สวยให้งาม ปลูกบ้านปลูกเรือนก็จะเอาไปแข่งชั้นดาวดึงส์เทวโลก พรหมโลกนู่น แต่เจ้าของต่ำ แม้จะไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนเอาศพเอาเมรุขึ้นไปตั้งไว้หอปราสาท มีความหมายอะไรหอปราสาทบรรจุศพ จิตใจของเรามีความสกปรก ไปอยู่ที่ไหนมันก็สกปรกอยู่ที่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นจงชำระจิตใจให้สง่างาม อยู่ที่ไหนงามหมดใจ ถ้าลงใจได้มีความสง่างาม อยู่ที่ไหนสบายหมด ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกับสิ่งใด ไม่มีอะไรพอดิบพอดียิ่งกว่าธรรมครองใจ ถ้าธรรมได้ครองใจสบายไปหมด หายกังวลไปทุกสิ่งทุกอย่าง

ที่จิตพัวพันอยู่ตลอดเวลานี้ก็เพราะกิเลสตัวยุ่งเหยิงวุ่นวาย ทำจิตใจให้เดือดร้อนขุ่นมัวตลอด หาความสุขไม่ได้ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้อบรมจิตใจ เฉพาะอย่างยิ่งการภาวนา ศาสดาองค์เอกของเราตรัสรู้ขึ้นมาด้วยการภาวนา พระสาวกทั้งหลายที่เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรานี้ก็เพราะการภาวนา ท่านสง่างามขึ้นมา ธรรมนั้นสง่างามขึ้นมากับผู้ที่ภาวนา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์นั้นคือคลังแห่งธรรม ท่านสง่างามนำไปสอนโลก โลกก็เลยรู้ดีรู้ชั่วรู้หนักรู้เบา ทำจิตใจของตนให้มีความสง่างามไปตามธรรมท่านที่สอนไว้ ก็ค่อยเป็นคนดิบคนดีเป็นคนมีราค่ำราคาบ้าง

เวลานี้เราได้ถามดูตัวของเราบ้างหรือไม่ว่า เรามีราค่ำราคาในตัวพอที่จะพึ่งเป็นพึ่งตายได้บ้างหรือไม่ หรือมีแต่ความดีดความดิ้นหาจุดหมายปลายทางไม่มี ดีดดิ้นไปไหนก็ลงฟืนลงไฟถูกเผาไหม้ตลอดเวลา นั่นคือกิเลสหลอกสัตว์โลกให้ดีดให้ดิ้น ดิ้นไปไหนๆ ก็อยู่ในข่ายแห่งกิเลสพัวพันตลอดเวลาหาความสุขไม่ได้ ให้พากันอบรมจิตใจให้มีความสงบเย็นใจ เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนาเป็นสำคัญมาก ในพุทธศาสนานี้จะเด่นอยู่ที่จิตตภาวนาของผู้ปฏิบัติธรรม ในตำรับตำราท่านก็แสดงเข้ามาที่หัวใจเรา เพราะหัวใจมันมีแต่ฟืนแต่ไฟ โรคทางใจนี้เป็นโรคเรื้อรังมาตั้งกัปตั้งกัลป์ คือโรคกิเลส เอาธรรมเข้าไปชะล้างให้มีความสงบร่มเย็นผ่องใสขึ้นมา ใจจะมีความสงบเย็นและผ่องใสขึ้นมา อยู่ที่ไหนค่อยสบายๆ เมื่อชำระล้างมากเข้าเท่าไรใจยิ่งมีความสง่างามขึ้นโดยลำดับ

จิตตภาวนาทำคนให้มีคุณค่า ทำหัวใจของเราให้มีคุณค่ามีราคาขึ้นมา เพราะจิตตภาวนาเป็นสำคัญที่สุด ด้วยเหตุนี้เองศาสดาองค์เองจึงประทานธรรมโอสถอันนี้ไว้ สำหรับรักษาโรคกิเลสตัณหาภายในใจนั้นให้สงบเย็นลงไปด้วยจิตตภาวนา คำว่าจิตตภาวนานี้เป็นของเล่นเมื่อไร ถ้าจิตได้รวมลงให้เห็นในหัวใจของเราดูซิแต่ละดวงๆ นี้ ทั้งวันวันนั้นจะมีความกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่กับผลของตน ที่ภาวนาได้รับความสงบร่มเย็นนั้นแล แม้กาลเวลาจะผ่านไปแล้ว แต่อารมณ์แห่งจิตใจที่ได้รับความแปลกประหลาดอัศจรรย์ในเวลาภาวนานี้ จะมาสัมผัสสัมพันธ์อยู่ที่ใจของเราให้มีความเอิบอิ่มทั้งวันทีเดียว

นี่ละสมบัติของธรรมเป็นสมบัติที่เลิศเลออย่างนี้ ใครสัมผัสเข้าไปแล้วมีความปีติยินดีเอิบอิ่มตลอดเวลา เพียงสมาธิเท่านั้นก็พอใจแล้ว จิตที่เป็นสมาธิรวมลงใน เช่นอย่างเรานั่งภาวนาในคืนวันนี้จิตรวมสงัดเงียบไม่มีอะไรคิดปรุงกวนใจ มีแต่ความสง่างามของใจเท่านั้น ใจจะแสดงความอัศจรรย์ขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน ทีนี้เมื่อใจผ่านเรื่องนี้ไปก็ไปคละเคล้ากับเรื่องกิเลสตัณหาเป็นฟืนเป็นไฟเหมือนโลกทั่วๆ ก็ตาม แต่อารมณ์ของใจที่ได้อาศัยความอัศจรรย์แห่งธรรมในเวลาตนภาวนานั้น แม้เรื่องจะผ่านไปแล้วก็ยังเป็นอารมณ์ให้อบอุ่นภายในใจทั้งวัน ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย นี่ละธรรมสมบัติเข้าถึงใจแล้วเอิบอิ่มไม่มีคำว่าเฟ้อ มีแต่ความเอิบอิ่มตลอดเวลา

ให้พากันอบรมจิตใจให้ได้รับความสงบร่มเย็นบ้างนะเราชาวพุทธ ไปที่ไหนๆ ก็มีแต่กิเลสฉุดลากไปต่อหน้าต่อตาทั้งเขาทั้งเราไม่มีใครอายใคร เพราะใครก็กิเลสเต็มตัวๆ กิเลสไม่เคยอายใครทั้งนั้นแหละ ถ้าสายตาของธรรมดูแล้วมันดูไม่ได้นะ เหมือนบ้าดีดดิ้นอยู่ทั้งวันทั้งคืน ดีดดิ้นด้วยทะนงตนว่าเราดีนะนั่นน่ะไม่ใช่เล่น ดีดเพื่อนั้นดีดเพื่อนี้ ว่าเป็นของดิบของดี สายตาของธรรมจับเข้าไปนี้มันเหมือนบ้ากันทั้งโลกนั่นแหละ โลกอันนี้โลกบ้ากิเลสตัณหา โลกพาดีดพาดิ้น โลกตื่นเงา ความสุขความเจริญไม่ทราบอยู่ที่ไหนพากันตื่นเป็นบ้ากันไปอย่างนั้น

กิเลสหลอกสัตว์โลก ธรรมมีในใจจับดูนี้รู้หมดนะ ท่านผู้ที่บริสุทธิ์พระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลายดูสัตว์โลกนี้แบบที่ว่านี่ละ เหมือนดูคนบ้า ไม่ได้เป็นเหมือนคนดี มันเหมือนบ้า แล้วหยิ่งด้วยความเป็นบ้าของตัวเองอีกด้วยไม่ใช่ธรรมดา บ้านี้บ้าหยิ่งตัวเอง ไปที่ไหนก็หยิ่งๆ หยิ่งยศ หยิ่งลาภ หยิ่งความสรรเสริญเยินยอ หยิ่งฐานะสมบัติว่ามีนั้นมีนี้ ตัวเองไม่มีอะไรก็ไปอาศัยเขา ไปเกาะเขาแล้วก็ไปหยิ่งกับตัวเอง นี่เรียกว่าบ้าตื่นลมตัวเอง ธรรมเข้าสู่ใจแล้วไม่ต้องมีอะไรเข้ามาเพิ่มเติม พอตัวๆ นี่ละธรรม มีสมบัติคือธรรมภายในใจแล้วไม่ต้องไปหาอะไรมาเพิ่มเติม หากเป็นความกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ภายในจิตใจ ให้ท่านทั้งหลายหาสมบัติอันนี้เข้าสู่ใจ

ความมีความจนมีได้ด้วยกัน โลกนี้เป็นโลกอนิจจัง เป็นโลกกฎแห่งกรรม ต้องเสวยไปตามมีตามเกิดของตนที่สร้างมามากน้อยเป็นธรรมดา แต่ยังไงขอให้สั่งสมธรรมเข้าสู่จิตใจ แล้วจะมีความสง่างาม ความทุกข์ความจนก็ทราบว่าทุกข์ว่าจน เราเกิดมาจากท้องแม่ทีแรกเราก็มีตัวล่อนจ้อนมา ไม่เห็นมีสมบัติเงินทองยศถาบรรดาศักดิ์จากไหนมาประดับประดา ก็มีตัวของเรากับกรรมของเรานี้เท่านั้น แต่เวลาออกมากระจัดกระจายทั่วโลกดินแดนเลยเป็นบ้ากันไปหมดทั่วโลก

เรามีแต่ตัวของเรา เวลาตายไปแล้วก็มีแต่ตัวเท่านั้นละไป เขาไปส่งเสียที่เมรุเท่านั้น ไปถึงนั้นแล้วต่างคนต่างโลเลๆ ไม่ทราบผู้ตายตายแล้วไปไหน บางรายลงนรกลงอเวจีก็มี ที่จะไปสวรรค์ชั้นพรหมนี้มีน้อยมาก ไปก็ขนกันลงนรกนั่นละ บาปกรรมละขนลง ไปส่งกันแล้วก็กลับมาไม่เห็นได้เรื่องได้ราว ดูหัวใจตัวเองจะรู้เรื่องทันที ตายแล้วใครจะส่งเสียหรือไม่ส่งเสีย บุญกุศลหรือธรรมมีภายในใจแล้วภูมิใจตลอดเวลา ถึงกาลเวลาแล้วก็ดีดพับเดียวไปเลย นั่นคนมีบุญตายเป็นอย่างนั้น ต่างกับคนมีบาป เวลาจะตายนี้ทั้งดีดทั้งดิ้นหาสติสตังไม่ได้ ตกที่หลับที่นอนตกเตียงไม่มีสติ ตายไปด้วยความไม่มีสติแล้วก็จมไปเลย คนมีบุญมีกุศลมีสติสตัง ถึงกาลเวลาตายตายเหมือนโลกทั่วไป แต่จิตที่มีธรรมภายในใจมีที่ยึดที่เกาะ อาศัยธรรมนั้นเป็นตัวของตัวไปเลยทีเดียวสะดวกสบาย ให้พากันจำ

ให้ดูความเป็นอยู่ของตัวเองมันดีดดิ้นไปทางไหน ถ้าดูตัวเองพอเข้าใจแล้วจะรู้จักวิธีปฏิบัติตัวเอง คติที่ไปของคนมีธรรมจะไปสุคโต เป็นความสุขสบาย อยู่สบายไปสบาย อยู่ที่ไหนสบายหมด เรียกว่าสุคโต แต่ทุคโตนี้อยู่ที่ไหนเป็นทุกข์ทั้งนั้น บาปกรรมทำให้โลกเป็นทุกข์ บุญทำให้โลกมีความสุข ให้พากันสั่งสมความดีนี้ไว้ให้ดี เราเกิดในท่ามกลางพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอแล้ว สมควรที่จะน้อมศาสนาเข้ามาสู่ใจ เป็นเครื่องประดับใจของตนให้มีความอบอุ่นก็ยังดี ยิ่งมีความเลิศเลอภายในตนแล้วนั้นภูมิใจที่สุด ให้พี่น้องทั้งหลายจดจำเอาไว้

วันนี้ก็เทศน์เพียงเท่านี้ละ พอเป็นคติเครื่องเตือนใจ ทุกวี่ทุกวันมักจะได้เทศน์ทุกวันไม่มากก็น้อย ให้ยึดไปเป็นคติเครื่องเตือนใจ ในวาระสุดท้ายนี้ก็ขออวยพรปีใหม่ ให้ท่านทั้งหลายมีความสุขความเจริญในปีต่อไปนี้ พร้อมทั้งธาตุทั้งขันธ์ให้มีความสุขกายสบายใจ ใจให้มีความสุขความสบายไปด้วยอรรถด้วยธรรม จากนั้นผลทั้งหลายก็จะเป็นที่สมหวังของบรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกัน การแสดงธรรมย่อๆ นี้ก็เห็นว่าสมควรแก่กาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

หลวงตามหาบัง ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
http://www.luangta.com