การสวดภาณยักษ์ไม่ใช่พุทธศาสนา

ทีนี้ ก็พระรัตนตรัยสำหรับการท่องบ่นและประกอบพิธีรีตอง การท่องบ่นเรื่องอันเกี่ยวกับพระพุทธประวัติ หรือพระพุทธคุณก็ดี เหล่านี้เรียกว่าเป็น พระรัตนตรัยสำหรับการท่องบ่น เด็ก ๆ สวดอิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ได้โดยไม่รู้ว่าอะไร เขาก็มีพระรัตนตรัยสำหรับท่องบน พระรัตนตรัยที่กระทำไปในลักษณะเช่นนี้ ก็น้อมเอียงไปในทางความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นรูปแบบของไสยศาสตร์อย่างหนึ่งไปแล้ว เช่นท่องบทพระคุณกี่ร้อยจบแล้วก็ไปสวรรค์บ้าง หรือดับทุกข์บ้าง มีลักษณะเป็นไสยศาสตร์ไปทีละน้อย ๆ จนกลายเป็นเรื่องคนละเรื่อง เรียกว่าพระรัตนตรัยสำหรับท่องบ่น

สำหรับพิธีรีตองก็มีพระรัตนตรัยเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง บัญญัติเป็นพระพุทธเจ้าประจำทิศ พระพุทธเจ้าประจำทิศ พระอรหันต์ประจำทิศ จนกระทั่งเขียนยันต์แขวนประจำทิศ เป็นเครื่องคุ้มครอง ซึ่งเป็นแบบไสยศาสตร์โดยตรง มีวัตถุศักดิ์สิทธิ์นานาชนิดเกิดขึ้น เป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ เป็นหลาย ๆ เรื่อง เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา จนกระทั่งมีพระเครื่องไม่รู้กี่ร้อยแบบ มีพระเครื่องรางไม่รู้กี่ร้อยแบบ แล้วก็มีพิธีรีตองขับยักษ์ขับผี ด้วยอ้างคุณพระรัตนตรัย หรือขับยักษ์ด้วยการสวด ภาณยักษ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหัว ข้อความในการสวดภาณยักษ์นั่น มีแต่เรื่องของพวกยักษ์ทั้งนั้นแหละ เรื่องราวเกี่ยวกับพวกยักษ์ทั้งนั้นเลย ไม่มีเรื่องพระพุทธเจ้า แต่เอามาสวดเพื่อขับผี โดยอธิบายกันว่า จอมยักษ์นั่นไปทูลพระพุทธเจ้าว่า ถ้าสวดข้อความเหล่านี้แล้วไอ้ยักษ์ทั้งหลายก็จะกลัว กลัวว่าสาธุชนเหล่านี้รู้จักประวัติของยักษ์หมดสิ้น สิ้นเชิงถึงต้นตอ ก็เลยกลัว แล้วก็เลยหนีไป อย่างนี้เป็นต้น พระรัตนตรัยก็ได้เปรียบ เพียงแต่เอามาอ้าง ๆ ก็ขับยักษ์หนีไปได้จากจิตใจของคนปัญญาอ่อน แล้วก็ชั่วคราว ไม่ใช่เป็นการถาวรอะไร

เหล่านี้เรารวม ๆ กันเข้าแล้วเรียกว่า พระรัตนตรัยสำหรับท่องบ่น หรือพระรัตนตรัยสำหรับพิธีรีตอง

ทีนี้ ก็มีสิ่งที่เนื่องกัน คือการถึง พระรัตนตรัย ที่เรียกว่า ไตรสรณาคมน์ การถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ การถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะนี้ โดยปริยัติก็คือพิธีจัดให้พูด ให้ว่า ให้ทำกิริยาท่าทาง ให้ทำอะไรต่าง ๆ ครบแล้วก็เรียกว่ามีพระรัตนตรัย นี่คือไตรสรณาคมน์โดยปริยัติหรือโดยพิธีตอง บัญญัติขึ้นในชั้นหลังมากมาย ครั้งพุทธกาลแทบจะไม่มีพิธีตองอะไร ใครฟังธรรมะของพระองค์เข้าใจแล้ว ก็ประกาศตนถึงพระรัตนตรัยต่อพระพักตร์เท่านั้นก็พอแล้ว เท่านั้นมันก็พอแล้ว มันไม่มีพิธีรีตองอะไร

เดี๋ยวนี้ การถือพระรัตนตรัยนั่น มันถูกนำมาใช้แก่คนปัญญาอ่อน มันก็ช่วยไม่ได้มันก็น่าเห็นใจ เพราะว่า ไม่รู้ว่าจะเอาปัญญาอ่อนไปเก็บไว้ที่ไหน มันยังอยู่เป็นปัญหา ก็ต้อง สร้างระเบียบการถึงพระรัตนตรัยอย่างง่าย ๆ ขึ้นไว้ใช้กับคนที่มีปัญญาอ่อน จึงเกิดมีพิธีขึ้นมา แล้วกระทำกันโดยปาก โดยพิธีการภายนอกเป็นส่วนใหญ่ และกลายเป็นไสยศาสตร์ไป แม้ที่กระทำอยู่โดยพระเจ้าพระสงฆ์นี่แหละ ดูให้ดี ๆ บางอย่างมันเลยเป็นไสยศาตร์ไปก็มี การอธิฐานการอ้างคุณพระรัตนตรัย เพื่อเอาประโยชน์อย่างนั้นเพื่อเอาประโยชน์อย่างนี้ พระพุทธเจ้าไม่เคยทำ แล้วก็ไม่ต้องทำ ในสมัยพระพุทธเจ้าไม่ต้องทำ ไม่ต้องสวดอ้างคุณพระรัตนตรัย แล้วก็ขอให้เกิดความสุขสวัสดีอย่างนี้ มันไม่ต้องทำนี่ ครั้นมาถึงเดี๋ยวนี้มันไม่มีอะไร แล้วมันทำอะไรไม่เป็น ทำอะไรไม่ถูก มันก็ต้องทำพิธีอ้างคุณพระรัตนตรัยให้เกิดความสุขสวัสดีอย่างนั้นอย่างนี้ หนักเข้าก็กลายเป็น การพึ่งวัตถุภายนอก ถือเหตุปัจจัยภายนอก ก็มิใช่พุทธศาสนาแหละ ก็ไม่ใช่พุทธศาสตร์ ไม่ใช่พุทธศาสตร์ มันกลายเป็นไสยศาสตร์ไป นี่จึงเต็มไปด้วยพระเครื่อง, พระเครื่องเต็มไปหมด วัตถุที่เป็นสัญญลักษณ์อื่น ๆ ก็เกิดขึ้นมากมายเต็มไปหมด แล้วก็อ้างความขลังความศักดิ์สิทธิ์เข้ามาใช้ในขอบเขตของพุทธศาสนา

ขอพูดอีกทีขอย้ำอีกทีว่า คำว่า “ขลัง” คำว่า “ศักดิ์สิทธิ์” น่ะ ไม่เคยมีในพระพุทธศาสนา, คำว่าขลังว่าศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยมีในพุทธศาสนา เพราะ (พุทธศาสนา) มีลักษณะเป็นการประพฤติปฏิบัติโดยตรง เป็นเรื่องของการกระทำและเป็นผลของการกระทำ เห็นอยู่กับตา ไม่ต้องอ้างสิ่งที่มองไม่เห็นคือขลังบ้างศักดิ์สิทธิ์บ้าง อะไรชนิดที่เป็นเรื่องสัมผัสไม่ได้ พุทธศาสนาไม่เคยมี เดี๋ยวนี้ มันก็มีได้มีขึ้นมา พุทธศาสตร์จะกลายเป็นไสยศาสตร์ก็เพราะเหตุนี้ เพราะมีคำว่าขลัง มีคำว่าศักดิ์สิทธิ์เข้ามาใช้นั่นเอง

เอาละ เป็นอันว่า พระรัตนตรัยโดยปริยัตินี่ เราก็มีกันอย่างนี้ ที่จะให้เป็นไปอย่างถูกต้องก็ได้ ก็ศึกษากันอย่างถูกต้อง แต่ชนิดที่ให้เกินขอบเขตนั้น มันก็กลายเป็นว่าทำให้เป็นของขลังของศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเสียแล้ว มันก็เป็นของใหม่ ซึ่งมันจะไม่ใช่พุทธศาสนาแล้ว ระวังให้ดี

พระรัตนตรัย และการถึงพระรัตนตรัย โดยปริยัตินั่น ก็ควรจะทำได้ ทำได้ในโรงเรียน ทำได้ที่ไหนก็ได้ ให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่อย่าให้เลยเถิดกลายเป็นเรื่องขลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นการถือปัจจัยภายนอก คือ พึ่งบุคคลภายนอก ไม่ได้พึ่งตัวเองในภายใน อย่างนี้แล้วก็หมดความเป็นพุทธศาสตร์ พุทธศาสตร์ยึดถือที่พึ่งในภายใน ถ้าเป็นไสยศาสตร์ก็ยึดถือที่พึ่งในภายนอก มีหลักอยู่อย่างนี้ แต่เราก็ไม่พูดยืนยัน อย่าให้กระทบกระเทือนกับเพื่อนศาสนาอื่น ซึ่งถือที่พึ่งในภายนอก พุทธศาสนายังคงยืนยันการถือที่พึ่งในภายในอยู่ตลอดไป นี้คือพระรัตนตรัยในส่วนปริยัติ

พุทธทาสภิกขุ
คำบรรยายประจำวันเสาร์ ๕-๓๐ มกราคม ๒๕๒๘

ใส่ความเห็น