Monthly Archives: กุมภาพันธ์ 2014

จะเป็นอย่างนี้ด้วยกัน

วันนี้เป็นวันที่พี่น้องทั้งหลายที่มาในงานนี้จะได้พิจารณาทั่วถึงกัน เพราะความเป็นเช่นนี้ จะมีทุกรูปทุกนาม ไม่มีเว้นแม้รายเดียว ว่าเกิดแล้วต้องตาย เป็นคู่เคียงกันมาตั้งแต่วันเกิด วันตายมันถ่ายรูปติดตัวมาตลอด จนกระทั่งวาระสุดท้ายก็ตาย เวลามีชีวิตอยู่อย่าได้พากันเพลิดเพลิน จนเกินเนื้อเกินตัว เป็นเรื่องของกิเลสหลอกคนให้ลุ่มหลงหนักมากขึ้นๆ ทางที่จะไปข้างหน้าก็ปิดตันอั้นตู้ไปหมด หาทางเบิกกว้างให้เป็นความสงบร่มเย็นแก่ใจดวงที่สมบุกสมบัน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวนี้ไม่ได้

วันนี้อาจารย์จินตนา ซึ่งเป็นผู้ใจบุญมาตั้งแต่กาลไหนๆ ก็ได้ล่วงลับไปแล้ว วันนี้จะได้ปลงกเฬวรากซากศพ ให้พี่น้องทั้งหลายได้ปลงธรรมสังเวชทั่วถึงกัน ไม่มีใครยิ่งหย่อนต่างกัน เรื่องสภาพเช่นนี้มีอยู่กับทุกคน ต่างกันแต่เพียงว่าก่อนหรือหลังเท่านั้น เมื่อมีชีวิตอยู่ อย่าได้พากันเพลิดเพลินจนเกินเนื้อเกินตัว เวลาตายจะคว้าอะไรไม่ทัน สุดท้ายก็ได้ตั้งแต่สิ่งที่เราเพลิดเพลินรื่นเริงไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้นแล จะย้อนเป็นไฟมาเผาเราในภพชาติต่างๆ

สิ่งเหล่านี้ส่วนมากมักจะมีแต่ความเพลิดเพลินรื่นเริง หลงงมงายไปตามกิเลส ที่ชักจูงไป ลากเข็นไป เราไม่รู้ตัว แต่พอรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว เกิดขึ้นมาก็เป็นรูปมนุษย์เกิดเฉยๆ ก็อยู่กับมนุษย์เขาทั่วๆ ไป แต่ศีลธรรมที่เป็นเครื่องฉุดลากจิตใจ ให้มีความอบอุ่นนั้นไม่มี มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย เพราะกิเลสหลอกลวงต้มตุ๋น ให้เพลิดให้เพลิน ให้รื่นให้เริง ประหนึ่งว่าโลกเขาตายทั้งโลก จะเหลือแต่เราคนเดียวไม่ตาย อายุของเราจะอยู่ค้ำฟ้า ทั้งที่โลกทั้งหลายตายกันทั้งนั้น นี่ละจะเป็นความเสียท่าเสียที ของบุคคลที่ลุ่มหลงจนเกินเนื้อเกินตัว

วันนี้เป็นวันที่ควรจะปลงธรรมสังเวชด้วยกัน จะเป็นอย่างนี้ด้วยกันหมดทุกรูปทุกนาม เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ท่านว่ามรณกรรม คือเรื่องความตายนี้ ไม่มีว่าสูงว่าต่ำ ว่าให้เกียรติผู้ใด เป็นหลักความจริง เกิดแล้วต้องตาย เป็นแต่เพียงว่าก่อนหรือหลังกันเท่านั้น เวลามีชีวิตอยู่ ขอเชิญชวนพี่น้องทั้งหลาย ให้ระลึกถึงศีลถึงธรรมเข้าสู่ใจบ้างพอประมาณ ถ้าไม่ได้มาก ถ้าจิตใจมีความฝักใฝ่ใคร่ต่ออรรถต่อธรรมไปตลอด นั้นเป็นความรื่นเริงไปเรื่อยๆ มีชีวิตอยู่ก็รื่นเริงกับอรรถกับธรรมภายในใจ ตายไปแล้วก็สุคติเป็นที่หวัง

คนใจบุญสุนทาน ไม่เคยปรากฏว่าไปตกนรกหมกไหม้ หรืออเวจีหลุมไหนไม่เคยมี ธรรมของพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยแสดงไว้ เพราะไม่มี ท่านไม่อุตริแสดงธรรม เอาสิ่งไม่มีมาแสดง สัตว์โลกจมอยู่ด้วยกองทุกข์ ท่านก็บอกว่าจมอยู่ด้วยกองทุกข์ ผู้มีความเฉลียวฉลาดบำเพ็ญตัวให้เป็นประโยชน์ เวลามีชีวิตอยู่ทั้งทางโลก ก็ช่วยโลกช่วยสงสารตามกำลังของตน ทั้งฝ่ายธรรมก็สนใจใคร่อรรถใคร่ธรรม ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่เอกอุ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนแล้ว น้อมเข้ามาสู่ใจ ประหนึ่งว่าเราตามเสด็จพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดเวลาที่เราระลึกถึงท่าน ชีวิตจิตใจความระลึกของเราอันนี้เป็นมงคล มหามงคลแก่เรา ขอให้น้อมเข้ามาระลึกถึงบ้าง อย่าระลึกตั้งแต่เรื่องความเพลิดความเพลินรื่นเริงบันเทิง

โลกเขาตายเกลื่อน ไปที่ไหนมีแต่เรื่องเกิดเรื่องตาย แต่เราจะอยู่ค้ำฟ้าคนเดียวนี้ มันหลงตัวลืมตัวจนเกินไป ตายแล้วจะเสียท่า เวลานี้เตือนให้พี่น้องทั้งหลายได้รับทราบเสีย วันนี้เป็นวันสักขีพยานที่จะได้เผาศพเผาเมรุกัน ก็เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาไม่ได้โกหกกัน เราทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ หรือที่อื่นที่ใด ไม่มียกเว้นแม้แต่รายเดียวที่จะไม่เป็นอย่างนี้ แต่สัตว์ทั้งหลายเขาไม่รู้เนื้อรู้ตัว มนุษย์เรานี้เป็นสัตว์ฉลาด ควรจะรู้เนื้อรู้ตัว ระลึกในสิ่งที่เป็นสาระและอสาระเข้ามาสู่ใจ คัดเลือกสิ่งที่เป็นสาระเข้าสู่ใจ ปัดสิ่งที่ไม่ดีงามทั้งหลายออกจากใจ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่เลิศเลอ

ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเลิศเลอยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าใครมีธรรมประเภทนี้ พุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ อยู่ภายในใจนั้น คนนั้นแม้จะทุกข์จนข้นแค้น หัวใจไม่ได้ทุกข์ สมบูรณ์พูนผลไปด้วยอรรถด้วยธรรม ไปด้วยความสุขความเจริญ ความอบอุ่น ทั้งมีชีวิตอยู่และตายไป ไม่ใช่เป็นคนอาภัพ ยิ่งเป็นคนมั่งมีศรีสุข เงินทองข้าวของกองเป็นล้านๆ เท่าภูเขา แต่ไม่มีศีลธรรมภายในใจเลย คนนี้สู้คนจนๆ แต่มีธรรมในใจไม่ได้ ท่านทั้งหลายจะเอาส่วนไหน ให้ท่านเลือกเสียตั้งแต่บัดนี้ ตายไปแล้วจะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว

สมบัติเงินทองข้าวของ เป็นเพียงเครื่องอาศัยในเวลามีชีวิตอยู่เท่านั้น พอลมหายใจขาดเท่านั้น สกลกายของเราก็ขาดกรรมสิทธิ์ สมบัติเงินทองข้าวของมากน้อยก็ขาดกรรมสิทธิ์ไปเช่นเดียวกันหมด สิ่งที่ติดเนื้อติดตัว คือใจของเราซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวไปนั้นก็คือบุญและบาป คำว่าบาปนี้ใครเป็นคนสั่งสอนไว้ คนตาบอดหูหนวก คนโง่เขลาเบาปัญญา ไม่สามารถมาเป็นศาสดานำธรรมมาสอนโลกได้ ก็คือพระพุทธเจ้าผู้เฉลียวฉลาด จอมปราชญ์นั้นเอง มาสอนโลก ท่านสอนว่าบาปมี บาปนั้นทำความเดือดร้อนแก่ผู้ทำบาป บุญมี บุญทำความอบอุ่นเย็นใจให้แก่ผู้สร้างบุญสร้างกุศล ให้พากันคัดเลือกเสีย ตั้งแต่บัดนี้ที่ยังไม่ตาย เวลาตายไปแล้ว นิมนต์พระมากี่วัด มา กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าเจ้าของไม่สร้างกุสลา คือบุญกุศลเสียตั้งแต่บัดนี้

อันนี้ตายแล้วไปนิมนต์พระมากุสลา มันไม่เกิดประโยชน์ หากจะเกิดประโยชน์แล้วศาสนาก็ไม่มี บวชหลวงตาไว้สัก ๒-๓ องค์ ไว้ในบ้านหนึ่งๆ เพื่อมากุสลา ธมฺมา เขาจะสร้างบาปสร้างกรรมขนาดไหนก็ตาม มีผู้ยืนยันรับรองเขาแล้ว คือหลวงตาที่บวชไว้ประจำบ้านนั้นๆ ท่านจะมากุสลาโยนขึ้นสวรรค์นิพพานไปเอง ไม่ต้องสร้างคุณงามความดีให้เสียเวล่ำเวลา ลำบากเปล่าและสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่นี่มันไม่เป็นเช่นนั้น บุญเป็นบุญ บาปเป็นบาป ให้พากันเชื่อบาป

คำว่าบาปนี้ ไม่ใช่คนโง่เขลาเบาปัญญามาสอนไว้ ศาสดาองค์เอกคือพุทธศาสนาของเรานี้ ออกจากพระพุทธเจ้าผู้สิ้นกิเลสแล้ว เป็นโลกวิทู รู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกใน ตลอดทั่วถึง เทวบุตร เทวดา อินทร์พรหม ถึงนิพพาน ย้อนลงไปถึงเปรตถึงผีนรกอเวจี ไม่มีใครจะรู้แม่นยำยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ท่านนำธรรมที่ท่านทรงรู้ทรงเห็นแล้วนี้มาสอนพวกเราผู้ตาบอดหูหนวก ให้พากันฟังเสียงท่านบ้าง ถ้าฟังเสียงท่านแล้ว ให้พยายามบึกบึนตามท่าน ว่าบาปมี ให้ระวังบาป

เจ้าของนั้นแหละเป็นตัวคึกตัวคะนอง ชอบทำบาป ครั้นเวลาทำลงไปแล้ว ความทุกข์ซึ่งเป็นผลของบาปจะมาหาผู้ทำ จะไม่ไปสู่ที่ใด ไม่ใช่เจ้าของของเขา เจ้าของของบาปก็คือผู้ทำบาป เจ้าของของบุญก็คือผู้ทำบุญ จะเข้ามาสู่เจ้าของนี่แหละ พาเป็นพาตายก็คือบุญและบาปนี้ ถ้าบาปแล้ว ดึงลงๆ โดยถ่ายเดียว ใครอยากไปรับความทุกข์ความทรมาน แม้แต่เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ไม่อยากเป็น รักเรื่องรักสัตว์นั้นน่ะ เช่น เราเลี้ยงไว้ในบ้านในเรือนของเรา เมืองไทยของเราหรือเมืองไหนๆ ก็ชอบเลี้ยงสัตว์ไว้ดูเล่น รักหมาเป็นต้น แต่เวลาถามอยากเป็นหมาตัวนี้ไหม ไม่อยากเป็นด้วยกัน แต่รักเขา เป็นอย่างนั้นละเข้าใจไหม

ไม่มีภพใดชาติใดสู้ภพชาติมนุษย์ได้ มนุษย์นี้รู้ทั้งบุญทั้งบาปทุกสิ่งทุกอย่าง เรานั่งฟังอยู่เวลานี้ก็รู้อยู่ด้วยกัน ขอให้ฟังเสียงธรรมของพระพุทธเจ้าบ้าง อย่าฟังแต่เสียงกิเลส ที่มันกล่อมตลอดเวลาให้เคลิ้มหลับไปๆ ด้วยความมืดบอด จะหาความสุขความเจริญแก่ตัวเองไม่ได้ เวลาตายไปแล้วจะจมๆ เพราะความคึกความคะนอง ในการสร้างบาปสร้างกรรมของตนนั้นแหละ ให้พากันสร้างบุญสร้างกุศล

วันหนึ่งคืนหนึ่งตั้งแต่เราเกิดมานี้ กี่ปีกี่เดือนแต่ละคนๆ มาจนกระทั่งบัดนี้ อายุเท่าไร เราเคยสร้างบาปมากน้อยเพียงไร จดทะเบียนไม่ทัน บัญชีไม่ทัน มีแต่บาปเต็มตัว มองเห็นกันเห็นตั้งแต่บาปเต็มตัวๆ หัวคนไม่เห็น เพราะหัวก็หัวบาปเสีย ที่ไหนก็มีแต่บาปเต็มตัว ตายแล้วจมลงในนรก เราอยากเป็นอย่างนั้นเหรอ ถ้าไม่อยากเป็นอย่างนั้น ให้ฟังเสียงศาสดาองค์เอก คือพระพุทธเจ้าไม่เคยโกหกใคร ว่าบาปมี บาปทำความเดือดร้อนแก่ผู้ทำ ให้พากันพยายามละ บุญมีขอให้พากันขวนขวาย สร้างบุญสร้างกุศล อย่าอยู่เปล่าๆ กินเปล่าๆ นอนเปล่าๆ ได้มาใช้สอยด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้แบ่งกินแบ่งทาน

แบ่งกินก็คือเพื่อธาตุเพื่อขันธ์ของเรา แบ่งทานก็เพื่อจิตใจของเรา เราสละทานลงไปแล้ว ใจเราได้สร้างบุญสร้างกุศล ผลความดีทั้งหลายจะไหลเข้าสู่ใจ เวลาตายไปแล้ว ผลบุญนี้แหละจะเป็นผู้สนับสนุนจิตใจของเรา ให้ไปเกิดในสถานที่ดีคติที่เหมาะสม ตั้งแต่มนุษย์ผู้มีฤทธาศักดานุภาพมีอำนาจวาสนา ขึ้นไปถึงเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม เมื่อบุญกุศลเต็มที่แล้ว ถึงนิพพานได้ก็คือบุญคือกุศล

อย่าพากันขี้เกียจขี้คร้าน อย่าพากันอ่อนแอท้อแท้ ในการสร้างบุญสร้างกุศล ให้เชื่อพระพุทธเจ้า ศาสดาองค์เอกนี้มีเพียงพระองค์เดียวที่สอนอย่างแม่นยำ เรียกว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ชอบแล้วดีแล้ว ไม่มีที่จะได้เพิ่มเติมหรือตัดออก เป็นความถูกต้องแม่นยำพอดิบพอดี ได้แก่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ว่าบาปมี มีจริงๆ บุญมี มีจริงๆ นรกมี นรกกี่หลุมมีจริงๆ ตามพระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นด้วยพระญาณหยั่งทราบแล้วมาสอนโลก สวรรค์มีกี่ชั้น ตั้งแต่มนุษย์เราก็เห็นกันอยู่นี้ พระพุทธเจ้าก็ว่าแดนมนุษย์ เราเป็นมนุษย์ เราทำไมจะไม่เห็นตัวเองว่าเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าสอนก็สอนถูกต้อง จากนั้นก็พวกเทวบุตร เทวดา อินทร์พรหม ทรงรู้ทรงเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วมาสอนพวกเรา

เหตุผลของสิ่งเหล่านี้เป็นมาจากอะไร คนทำบาปต้องตกไปในทางที่ต่ำ สิ่งใดที่ไม่พึงปรารถนามักจะเกิดจะพบจะเห็นในสิ่งเหล่านั้น สิ่งที่พึงปรารถนาแต่ขี้เกียจขี้คร้าน สร้างความดีให้สมความปรารถนา ไม่ทำกัน นี่ละโลกจึงมีแต่ความผิดหวังๆ ใครก็อยากให้สมหวังทุกคน เกิดมาในโลกนี้เสาะแสวงหาตั้งแต่ความดิบความดี ขอตั้งแต่ความสุขความเจริญ ครั้นเวลาได้มามีแต่ความผิดหวังๆ บางรายนอนไม่หลับ มือเกยหน้าผาก นอนไม่หลับ แล้วหนักเข้าไปกว่านั้น เป็นบ้าก็มี เพราะความคิดมาก อยากได้ให้สมใจ แต่มันไม่สมใจ เพราะการกระทำของตัวมันขัดแย้งกันกับความมุ่งหวังที่ให้เป็นความสุข แต่ไปทำความทุกข์ขึ้นมาเสีย ความทุกข์ก็มาขัดแย้งทางเดินเพื่อความสุข เลยไปไม่ได้ให้พากันคิดเสียตั้งแต่บัดนี้ ตายแล้วจึงนิมนต์พระมากุสลา ธมฺมา ไม่เกิดประโยชน์

พระท่านสอนคนเป็นๆ นี้แหละ เราผู้ฟังก็นั่งฟังอยู่ด้วยกัน ให้ต่างคนต่างฟัง ผู้เทศน์ก็ตั้งหน้าตั้งตาเทศน์ อย่างหลวงตาเทศน์อยู่เวลานี้ เอาอรรถเอาธรรมมาเทศน์ เป็นภาษาธรรมล้วนๆ ตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมค้อม ไม่มีลูบหน้าปะจมูก นั่นไม่ใช่ภาษาธรรม ภาษาของกิเลส ปลิ้นปล้อนหลอกลวงต้มตุ๋น ประจบประแจงเลียแข้งเลียขา นั่นเป็นภาษาของกิเลส ภาษาของธรรม ดีบอกว่าดี ชั่วบอกว่าชั่ว ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก นรกบอกว่านรก สวรรค์นิพพานบอกสวรรค์นิพพาน ท่านสอนไว้ให้เราละเราบำเพ็ญ ในสิ่งที่ควรละและสิ่งที่ควรบำเพ็ญ อย่าตายใจ

เวลานี้จิตใจมนุษย์เรานี้ซึ่งเป็นชาวพุทธ รู้สึกว่าหนามากเข้าทุกวันๆ ชวนไปวัดเหมือนจะถูกโยนลงในนรก ร้องแหง็กๆ เหมือนจูงหมาใส่ฝนนั้นแหละ เคยเห็นไหมเวลาฝนตกจ้ากๆ จูงหมาออกไป มันร้องแหง็กๆ ไหม ถ้าไม่ร้องแหง็กๆ ก็แสดงว่าผู้พูดนี้ผิดไป หมายังดีๆ ยังสบายอยู่ สบายหมาบางตัวที่มันร้อนๆ มันโดดลงอ่างน้ำ มี เราไม่ว่าตัวเช่นนั้น ตัวที่รังเกียจน้ำ ไปจูงมันใส่น้ำ มันร้องแหง็กๆ อันนี้จูงไปวัดไปวา ไปหาศีลหาธรรม ร้องแหง็กๆ ขึ้นมาทุกคน อยากจะว่าทุกคน วันนี้ติดธุระงานนั้นยุ่ง งานนี้ยุ่ง ถ้าจะชวนไปวัด มีแต่ยุ่งเต็มตัว ถ้าจะชวนลงไปเหวไปบ่อ ตกนรกอเวจีทั้งเป็นนี้ มีสิบขาอยากได้สิบขา ยี่สิบขามันไปด้วยกัน เหมือนขาบุ้งกือเพราะอยากไป นี่ละสิ่งที่มันไม่สมหวัง เพราะมันขัดต่อหลักความจริงที่เราทำอยู่ทุกวันนี้

ให้ดัดแปลงแก้ไขจิตใจของเราด้วยอรรถด้วยธรรม ธรรมไม่เคยพาใครให้ผิดหวัง สอนคนให้ถูกต้องแม่นยำไปตามอรรถตามธรรม มีความสุขความเจริญ ส่วนกิเลสหลอกลวงต้มตุ๋น ให้ติดแต่ความทุกข์ความลำบาก จนตรอกตัวเองนั่นแหละ ให้พากันจดจำเอาเสียในวันนี้ หลวงตาพูดตามอรรถตามธรรม การปฏิบัติมาก็ปฏิบัติตามอรรถตามธรรมอย่างตรงไปตรงมา สิ่งใดที่ผิดขัดต่ออรรถต่อธรรม ปัดออกๆ ด้วยความพากเพียรทุกวิถีทางที่จะทำได้ สิ่งใดที่เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ใจ สั่งสมขึ้นมาๆ ความดีงามก็พอกพูนขึ้นมาโดยลำดับ จนกระทั่งถึงจิตใจหาความสงสัยไม่ได้แล้วในโลกนี้ เมื่อหาความสงสัยไม่ได้แล้ว จะไปสงสัยโลกไหนล่ะ หัวใจเจ้าของก็หายสงสัยแล้ว ดูที่ไหนมันเป็นยังไงก็รู้ตามความสัตย์ความจริง แต่เจ้าของไม่ได้ไม่เสียกับเขา เราก็ไม่เป็นทุกข์

ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ เวลาจะหลับจะนอน อย่างน้อยขอให้ได้กราบพระเสียก่อน เสร็จแล้วก็ให้ภาวนา จะนั่งพับเพียบก็ได้ นั่งขัดสมาธิก็ได้ ถ้าอยากสะดวกสบาย ตามนิสัยของคนชอบสบาย จะปีนขึ้นเก้าอี้ ภาวนาก็ได้ก็ไม่ว่านะ ถ้าธรรมดาก็ต้องมีความเคารพในธรรม มีพิธีอันหนึ่งที่เป็นความสวยงามกับธรรม เช่น มีความเคารพ จะนั่งขัดสมาธิก็เป็นความเคารพประเภทหนึ่ง จะนั่งพับเพียบเป็นความเคารพประเภทหนึ่ง แล้วระลึกนึกน้อมถึงพระพุทธเจ้า เช่น พุทโธ ธัมโม สังโฆ ๓ บทนี้บทใดบทหนึ่ง เราชอบบทใดก็นำธรรมบทนั้น เข้ามาบริกรรมจิตใจของเรา ให้ใจอยู่กับคำบริกรรม เช่น พุทโธๆ เป็นต้น สติติดแนบอยู่กับคำบริกรรมนั้น ไม่ให้คิดยุ่งเหยิงวุ่นวายไปทางอื่น ซึ่งเราเคยคิดมาตั้งแต่ตื่นนอน เราบังคับจิตใจเราเพียง ๕ นาที ไม่ให้คิดออกไปสิ่งภายนอก มันจะเป็นยังไง บังคับได้ จิตใจเป็นสิ่งที่ฝึกได้ บังคับได้ ไม่เช่นนั้นพระพุทธเจ้าไม่สอนโลก นี่ก็คือโลกนี้สอนได้ พระพุทธเจ้าจึงสอน ให้นำไปปฏิบัติตนเองบ้างนะ เกิดขึ้นมาก็จะตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร

ใจนี้เป็นนักท่องเที่ยว สิ่งที่จะติดใจไปนี้คือบาปกับบุญ อย่างอื่นอย่างใดไม่ติด สมบัติเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขา ดอกเตอร์ดอกแต้อะไร เรียนมาที่ไหนมันก็มีแต่ความเสกสรรปั้นยอตามกิเลสพอใจเท่านั้น ครั้นตายไปแล้วมันก็เป็นกองกระดูกอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่มีความดี ถ้ามีความดี เอ้า กองกระดูกเป็นกองกระดูก ทั้งเขาทั้งเราเหมือนกัน แต่กองบุญกองกุศลเต็มหัวใจ เราจะดีดไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ไม่ไปอื่น ถ้าคนสร้างแต่บาปหาบแต่กรรม ก็จมลงไปในนรก ให้พากันพินิจพิจารณาบ้างนะท่านทั้งหลาย

วันนี้มาปลงธรรมสังเวช คือจะเผาศพอาจารย์จินตนา ซึ่งเป็นผู้มีบุญมีคุณ เป็นคนใจบุญมาดั้งเดิมอยู่แล้ว ให้ถือเป็นคติตัวอย่าง ตายไปอย่างสุขใจ เราก็ให้นำธรรมนี้ไปเป็นคติเครื่องเตือนใจสอนเราที่ยังไม่ตาย ให้ระลึกพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ในคืนวันหนึ่ง ไม่ต่ำกว่า ๕ นาที ให้นั่งสงบใจ เอาพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ มาเป็นคำบริกรรม แล้วมีสติติดอยู่กับใจ ห้ามไม่ให้คิดไปกับสิ่งใดทั้งหมดในเวลา ๕ นาที ใจจะสงบเย็น วันนี้ก็ทำ วันหน้าก็ทำ ใจจะสงบเย็นลงไปๆ เมื่อใจเย็นเสียอย่างเดียว โลกธาตุไม่มีความหมาย มาเย็นอยู่ที่ใจนี้ทั้งหมด ถ้าใจร้อน ใจเป็นฟืนเป็นไฟเสียอย่างเดียว โลกธาตุก็มาร้อนอยู่ที่หัวใจเรา

เราอย่าเข้าใจว่าโลกนี้กว้างแสนกว้าง มันกว้างมันแคบอยู่ที่หัวใจเรา ให้ปฏิบัติตนให้ถูกตามธรรมของพระพุทธเจ้า เราจะมีความสุขความเจริญต่อไป ให้ท่านทั้งหลายระลึกไว้ให้ดี วันนี้เป็นธรรมสอนโลก เรานำธรรมเป็นภาษาของธรรม มาสอนพี่น้องทั้งหลาย อย่างตรงไปตรงมา แบบอ้อมค้อมไม่ใช่ธรรม แบบตรงไปตรงมานี้คือแบบของธรรม แก้กิเลส กิเลสตัวไหนมันเป็นภัย แก้ออกๆ อันใดที่ดีสั่งสมขึ้นมาๆ จะเป็นความสุขความเจริญแก่เรา กลับไปบ้านไปเรือนนี้ อย่าลืมเนื้อลืมตัว ให้ระลึกถึงบ้าง ใครได้ดูหัวใจตัวเองบ้างไหมตั้งแต่ตื่นนอน หรือตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งบัดนี้ ดูหัวใจนี้มีธรรมไหม เช่น พุทโธ มีสักคำไหม ธัมโม มีสักคำไหม สังโฆ มีสักคำไหม หรือมีแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาเต็มหัวใจ นี้ก็คือไฟทั้งกองเผาหัวใจ ตั้งแต่นี้ถึงตาย กองไฟจะเป็นกองใหญ่โตเผาหัวใจ เรื่องสวรรค์นิพพานที่ท่านผู้ดีทั้งหลายไป ไม่มีความหมายสำหรับคนสั่งสมตั้งแต่ความชั่ว จะจมอยู่ในนรกโดยถ่ายเดียว

ศาสดาองค์เอกไม่เคยหลอกลวงใคร มีแต่เราหลอกลวงเราเอง พระพุทธเจ้าสอนไว้ตรงไหนไปลบ ว่าบาปมี ก็ลบไม่ให้มีบาป บุญมีก็ลบ ไม่ให้มีบุญ แล้วไม่สร้างบุญ ไม่ละบาป สร้างแต่บาป ตายแล้วจม

ให้พากันจำเอานะ วันนี้แสดงธรรมเพียงเท่านี้ ขอฝากธรรมะไว้กับพี่น้องทั้งหลาย นำไปคิดไปอ่าน นี่เป็นภาษาธรรมะป่า ที่นำมาสอนโลกอยู่เวลานี้ เอามาจากป่าจากเขา จากถ้ำเงื้อมผามาสั่งสอนพี่น้องทั้งหลาย ขอให้ระลึกพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในป่า สาวกทั้งหลายตรัสรู้ในป่าในเขา เป็นสรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา นี้ก็ธรรมมาจากป่าจากเขา มาสอนพี่น้องทั้งหลาย ควรจะเป็นที่ระลึกภายในจิตใจ ให้เป็นสิริมงคลในการมาในงานนี้บ้างพอประมาณก็จะเป็นมงคล การแสดงธรรมเห็นว่าสมควรแก่กาลเวลาและธาตุขันธ์ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลาย โดยทั่วกันเทอญ.

พูดท้ายเทศน์

อาจารย์จินตนานี้เวลามีชีวิตอยู่ เข้าออกวัดป่าตลอดมา เป็นลูกศิษย์วัดป่าบ้านตาด มาเสียชีวิตเสีย อาจารย์เป็นห่วงลูกศิษย์ คิดถึงลูกศิษย์ก็เลยมาเผาศพวันนี้ แล้วแผ่เมตตาให้ลูกศิษย์คนนี้ไปสูงๆ ให้ไปสูงกว่าพวกที่นั่งอยู่นี้ เข้าใจไหม ให้อาจารย์จินตนา ลูกศิษย์หลวงตาบัวนี้ ไปสูงกว่าพวกนี้ที่มันขี้เกียจภาวนา เข้าใจเหรอ เอาละพอ

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส
งานพระราชทานเพลิงศพ รศ.รท.หญิง จินตนา พึ่งละออ
ณ วัดกลางราชวรวิหาร อ.เมือง สมุทรปราการ
เมื่อบ่ายวันที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
http://www.luangta.com

การคิดเรื่องตายแล้วเกิดหรือไม่ ไม่มีประโยชน์

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จินตสูตร
[๑๗๒๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว บุรุษคนหนึ่งออกจากเมืองราชคฤห์ เข้าไปยังสระโบกขรณีชื่อสุมาคธา ด้วยประสงค์ว่า จักคิดเรื่องโลก ครั้นแล้ว นั่งคิดเรื่องโลกอยู่ ณ ขอบสระโบกขรณีชื่อสุมาคธา เข้าได้เห็นกองทัพประกอบด้วยองค์ ๔ เข้าไปสู่ก้านบัว ที่ขอบสระโบกขรณีชื่อสุมาคธา ครั้นแล้ว ได้มีความคิดว่า เราชื่อว่าเป็นคนบ้า ชื่อว่าเป็นคนมีจิตฟุ้งซ่านเสียแล้ว เราเห็นสิ่งที่ไม่มีในโลก ครั้งนั้น บุรุษนั้นเข้าไปยังนครบอกแก่หมู่มหาชนว่า ท่านผู้เจริญ
ทั้งหลาย เราชื่อว่าเป็นคนบ้า ชื่อว่าเป็นคนมีจิตฟุ้งซ่านเสียแล้ว เราเห็นสิ่งที่ไม่มีในโลก หมู่มหาชนถามว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ ท่านเป็นบ้าได้อย่างไร ท่านมีจิตฟุ้งซ่านอย่างไร สิ่งอะไรที่ไม่มีในโลกซึ่งท่านเห็นแล้ว?

บุ. ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย จะบอกให้ทราบ เราออกจากกรุงราชคฤห์ เข้าไปยังสระโบกขรณีชื่อสุมาคธา ด้วยประสงค์ว่า จักคิดเรื่องโลก ครั้นแล้ว นั่งคิดเรื่องโลกอยู่ ณขอบสระโบกขรณีชื่อสุมาคธา เราได้เห็นกองทัพประกอบด้วยองค์ ๔ เข้าไปสู่ก้านบัวที่ขอบสระโบกขรณีชื่อสุมาคธา เราเป็นบ้าได้อย่างนี้ เรามีจิตฟุ้งซ่านอย่างนี้ ก็สิ่งนี้ไม่มีในโลก เราเห็นแล้ว.
มหา. ดูกรบุรุษผู้เจริญ ท่านเป็นบ้าแน่ ท่านมีจิตฟุ้งซ่านแน่ ก็และสิ่งนี้ไม่มีในโลกท่านเห็นแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษนั้นได้เห็นสิ่งที่เป็นจริง ไม่ใช่ได้เห็นสิ่งที่ไม่เป็นจริง.

[๑๗๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว สงครามเทวดากับอสูรประชิดกัน ก็ในสงครามนั้น พวกเทวดาชนะ พวกอสูรแพ้ ก็พวกอสูรที่แพ้กลัวแล้ว ยังจิตของพวกเทวดาให้งวยงงอยู่ เข้าไปสู่บุรีอสูรโดยทางก้านบัว เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงอย่าคิดเรื่องโลกว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้นชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะความคิดนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.

[๑๗๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อเธอทั้งหลายจะคิด พึงคิดว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะความคิดนั้น ประกอบด้วยประโยชน์เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย … เพื่อนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลายเพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
จบ สูตรที่ ๑

พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๙ หน้าที่ ๔๔๑

อย่าได้ยินดีกับการตายของผู้ใด

268_1240026883.jpg_206

ความตายของผู้ชุมนุมประท้วง ๘๕ คนในกรณีตากใบ มิใช่เป็นเพียงความสูญเสียของครอบครัวและญาติพี่น้องเท่านั้น หากยังเป็นความสูญเสียของชาติไทยอีกด้วย

ใช่หรือไม่ว่าผู้ตายล้วนเป็นคนไทย ครอบครัวและญาติพี่น้องของเขาเหล่านั้นก็เป็นคนไทยเช่นเดียวกับเรา หากเขาเหล่านั้นตายเพราะน้ำท่วม แผ่นดินไหว ก็นับเป็นความสูญเสียที่มากพออยู่แล้ว ยิ่งเขาเหล่านั้นต้องมาตายในเหตุการณ์ที่คนไทยจับอาวุธทำร้ายกันเอง ยิ่งเป็นความสูญเสียที่มหาศาลเกินจะกล่าว

สิ่งที่ชาติสูญเสียมิใช่ชีวิตผู้คนเท่านั้น หากยังรวมถึงความไว้เนื้อเชื่อใจและสมานฉันท์ระหว่างคนในชาติ และระหว่างประชาชนจำนวนไม่น้อยกับรัฐ ชาตินั้นอยู่ได้ด้วยสายไยแห่งความไว้เนื้อเชื่อใจและสมานฉันท์ เมื่อสูญเสียสิ่งนี้ไปความเป็นชาติก็สั่นคลอน และนี้คือความสูญเสียที่ร้ายแรงกว่าภาพลักษณ์ของชาติที่เสื่อมโทรมไปในสายตาของนานาชาติเสียอีก

ความตายของบุคคลเหล่านี้อาจทำให้หลายคน “สะใจ” แต่ก็พึงระลึกว่านี้คือความสะใจที่แลกมาด้วยราคาที่แพงอย่างยิ่ง ลองตั้งสติ ทำใจให้เป็นกลาง และพิจารณาถึงผลเสียจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างถี่ถ้วน เราคงสะใจไม่ออกเพราะผลเสียนั้นมหาศาลนักชนิดที่อาจส่งผลไปถึงลูกหลานของเราในอนาคต

ไม่ว่าเราจะโกรธแค้นผู้ที่ลอบสังหารพระ ตำรวจ ทหาร ผู้พิพากษา ครู และผู้บริสุทธิ์จำนวนมากมายเพียงใดก็ตาม เราไม่ควรที่จะโกรธแค้นคนมุสลิมทั้งภาคใต้หรือทั้งประเทศ ความคิดแบบเหวี่ยงแหเหมารวมนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ใช่หรือไม่ว่าเป็นเพราะความคิดเช่นนี้ นักเรียนอาชีวะจึงฆ่าและทำร้ายคนบริสุทธิ์เพียงเพราะว่าอยู่สถาบันเดียวกับคู่อริ หากเราไม่เห็นด้วยที่นักเรียนอาชีวะเหมารวมนักเรียนต่างสถาบันว่าเป็นศัตรูที่ต้องขจัด เหตุใดเราผู้เป็นชาวพุทธจึงเหมารวมคนมุสลิมทั้งหลายว่าเป็นปฏิปักษ์ที่ควรได้รับโทษทัณฑ์ให้สาสมใจ

เราไม่ควรเอาการกระทำของคนส่วนน้อยมาเป็นเหตุให้โกรธแค้นคนส่วนใหญ่ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ขณะเดียวกันก็ไม่ควรเอาการกระทำของอาชญากรที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์มาเป็นเหตุผลสำหรับกระทำทารุณกรรม(หรือสะใจในการทำทารุณกรรม)กับผู้ชุมนุมประท้วง ถึงแม้การกระทำของผู้ชุมนุมที่ตากใบ (หรือที่อื่น ๆ ) จะไม่ถูกใจเรา แต่ก็ไม่ควรลืมว่าเขาไม่ใช่อาชญากร เขามีสิทธิที่จะชุมนุมประท้วงตามรัฐธรรมนูญตราบใดที่เป็นไปโดยสันติวิธี หากเขาก่อความวุ่นวาย เขาสมควรได้รับโทษทัณฑ์ แต่นั่นไม่ใช่หมายถึงการทำให้เขาตายหรือพิการ หากเขาตาย(ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไร)เพียงเพราะว่าร่วมชุมนุมประท้วง นั่นคือเรื่องที่เราควรเสียใจ มิใช่ดีใจหรือสะใจ หากเราไม่อยากให้ลูกหลานของเรากลายเป็นศพเพียงเพราะประท้วงรัฐบาล เราก็ไม่ควรยินดีที่คนทั้ง ๘๕ คนเป็นศพเพียงเพราะประท้วงเจ้าหน้าที่รัฐ (แม้เราอาจไม่เห็นด้วยกับการประท้วงของเขาก็ตาม)

เรามีสิทธิไม่เห็นด้วยกับใครต่อใคร แต่ไม่ควรกล่าวหาว่าเขา “ไม่ใช่ไทย” เพียงเพราะเขาทำสิ่งที่ไม่ถูกใจเรา หรือทำสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย และที่ต้องหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งก็คือการหาว่าเขาไม่ใช่ไทยเพียงเพราะเขานับถือศาสนาหรือพูดภาษาต่างจากเรา เป็นมุสลิมและพูดยาวีก็มีสิทธิเป็นไทย เขาเหล่านี้ต้องการตายที่เมืองไทยและรักแผ่นดินไทยไม่น้อยไปกว่าบรรพบุรุษของพวกเราหลายคนที่เป็นเจ๊กมาจากจีนและพูดไทยไม่ได้

สำหรับผู้ที่เป็นชาวพุทธ พึงตระหนักว่าเวรมิอาจระงับได้ด้วยการจองเวร ความรุนแรงมีแต่จะก่อเวรกรรมมิรู้จบ การใช้กำลังนั้นถึงที่สุดแล้วย่อมมิอาจแก้ปัญหาได้ มันทำได้อย่างมากก็แค่ขจัดคนชั่วร้ายออกไป แต่ไม่สามารถขจัดความชั่วร้ายไปได้ ความชั่วร้ายนั้นมิได้หายไปไหนหากเติบโตและฟูฟ่องในใจของผู้ที่ใช้ความรุนแรง ปาณาติบาตเป็นสิ่งที่พุทธศาสนาปฏิเสธในทุกกรณีก็เพราะมันทำลายความดีงามในใจของผู้กระทำ ทำให้ความเป็นมนุษย์เสื่อมถอย และเข้าใกล้ความเป็นดิรัจฉาน

บาปกรรมนั้นมิได้เกิดขึ้นแก่ผู้ฆ่าเท่านั้น ผู้ที่สนับสนุนหรือยินดีในการฆ่าก็ถือว่าทำบาปเช่นกัน ดังมีพุทธพจน์ว่า ผู้ฆ่า ผู้สรรเสริญการฆ่า และผู้ยินดีการฆ่า ย่อมมีนรกเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้ชาวพุทธจึงพึงดูแลจิตใจของตนเองให้ดี อย่าได้ยินดีกับการตายของผู้ใด จะทำเช่นนั้นได้ต้องระมัดระวังอย่าให้ความโกรธครองใจ พึงระลึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า ผู้ใดโกรธตอบผู้โกรธ ผู้นั้นย่อมโง่และเลวร้ายกว่าเขา เพราะได้ทำลายทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน

ชาวพุทธนั้นต้องมีขันติธรรมและเมตตาธรรมเป็นพื้นฐาน นอกจากอดกลั้นต่ออารมณ์แล้ว ยังควรอดกลั้นต่อความแตกต่างโดยเฉพาะในทางความเชื่อ คนเรานั้นแม้จะเห็นต่างกัน ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ แต่ถ้าขาดขันติธรรมและเมตตาธรรมแล้ว เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร

สถานการณ์บ้านเมืองยามนี้กำลังทดสอบความเป็นไทยและความเป็นพุทธของเราว่ามีความเข้มแข็งและสามารถพาเราฟันฝ่าวิกฤตไปได้หรือไม่ หรือว่าอ่อนแอและคับแคบจนพาประเทศชาติสู่หายนะ ถึงที่สุดแล้วมันกำลังทดสอบความเป็นมนุษย์ของเราด้วยว่าเรามีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์มากน้อยเพียงใด หรือเรากำลังปล่อยให้ความพยาบาทครอบงำจนปรารถนาเห็นความพินาศเกิดขึ้นแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ในยามนี้เชื้อแห่งความรุนแรงกำลังแพร่หลายไปทั่ว ความโกรธเกลียดกำลังแผ่ซ่านและพร้อมจะปะทุเป็นไฟไหม้ลามทั้งประเทศ สิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่งคือประกายไฟจากผู้นำประเทศ จากกลไกรัฐ และจากประชาชนทั่วไป เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะต้องช่วยกันป้องกันมิให้ผู้นำประเทศและกลไกรัฐจุดประกายไฟขึ้นมาอีก นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้เลยวันนี้ก็คือช่วยกันป้องกันมิให้ประกายไฟเกิดจากประชาชน ทั้งนี้โดยเริ่มต้นที่ตัวเราและคนใกล้ตัว พยายามยับยั้งชั่งใจ อดกลั้นต่อความโกรธเกลียด อย่ายินดีในความตายของผู้ใด และอย่าเห็นคนที่ต่างศาสนาต่างความเชื่อจากเราเป็นศัตรู ศัตรูของเราแต่ละคนมีมากอยู่แล้ว อย่าพยายามผลักไสคนอื่นให้เป็นศัตรู ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักชื่อหรือเห็นหน้ากันด้วยซ้ำ

ประเทศชาตินั้นอยู่ได้ด้วยสมานฉันท์และความปรองดองของคนในชาติ หากผู้คนแบ่งฝักฝ่ายและเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน บ้านเมืองก็ย่อมลุกเป็นไฟ เมืองไทยกำลังเสี่ยงต่อการลุกเป็นไฟเหมือนที่ศรีลังกาประสบ หากไฟจะลุกไหม้ทั้งประเทศนั่นก็มิใช่เพราะใครคนใดคนหนึ่ง หากเป็นเพราะประชาชนต่างช่วยกันจุดไฟเผานั่นเอง ไฟนั้นมิได้มาจากไหนหากมาจากกลางใจนี้เอง

วันนี้ถามตัวเราเองว่าไฟกำลังลุกไหม้กลางใจเราหรือไม่ วันนี้การช่วยชาติและช่วยลูกหลานของเราอย่างหนึ่งก็คือการพยายามดับไฟในใจของตนเอง และช่วยให้คนอื่นดับไฟในใจของเขาด้วย หากวันนี้เราไม่ทำ พรุ่งนี้เราอาจเสียใจที่มีส่วนทำให้ไฟไหม้ลามทั้งประเทศ

พระไพศาล วิสาโล

ประเพณีของพระอริยเจ้าทั้งหลายและการครองผ้า

ก่อนจังหัน

สี ผ้าพระกรรมฐานเรารู้สึกว่านิ่มนวลตา สีผ้าแก่นขนุน สีกรัก มีตามพระบาลีมาดั้งเดิม อันนี้ก็เป็นโอกาสอันหนึ่งที่เราจะแยกออกมาพูด หลวงปู่มั่นท่านพิจารณาเรื่องประเพณีของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านดำเนินอย่างไร การครองผ้า ท่านบอกว่าเป็นสีแก่นขนุน สีกรัก เราก็สอดเข้าไปว่า สีเหลืองธรรมดานี้มีไหม ไอ้สีเจ้าชู้ สีขุนนาง มันจะมีในพระพุทธเจ้าได้ยังไง ท่านว่า สีเจ้าชู้ สีขุนนาง ฟังซิท่านพูด สีผ้าเหลืองๆ นั่นละท่านบอกว่าสีเจ้าชู้ สีพระขุนนาง มันจะมีในพระพุทธเจ้าได้ยังไง พื้นฐานจริงๆ คือสีแก่นขนุน ท่านพิจารณาเรียบร้อยนะ อย่างนั้นละหลวงปู่มั่น ของเล่นเมื่อไร

คือ แต่ก่อนท่านปรารถนาพุทธภูมิ ทีนี้พอจิตจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร พุทธภูมิจะปรากฏเข้ามาๆ จะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร พุทธภูมิจะปรากฏเข้ามา ทีนี้เราก็อยากจะพ้นจากทุกข์เป็นกำลัง ท่านว่างั้นนะ ความปรารถนาพุทธภูมินี้ยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์นะ ที่พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตามทรงทำนายไว้แล้วว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ แล้วแก้ไม่ตก เรียกว่าตายตัวเลย อันนี้ท่านก็บอกว่า เราถึงจะได้เป็นพระพุทธเจ้ากับเป็นสาวก ความพ้นทุกข์ก็พอๆ กัน ส่วนความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นพระอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารของท่านที่เกี่ยวกับ สัตว์โลก เราได้แค่นี้ก็เอาแหละ คือเอาตัวของเราพ้น เลยพลิก ท่านบอกว่า ขอถอนคำอธิษฐานจากพุทธภูมิ จากความเป็นพระพุทธเจ้ามาเป็นพระสาวกภูมิ เป็นสาวกธรรมดา

พอ ท่านพลิกคำอธิษฐาน รู้สึกใจมันลดฮวบลง ภาระ ว่างั้นนะ ตั้งแต่นั้นมาพิจารณาจิตเข้าผึงๆ ไปได้เลย นั่น นี่ท่านเล่าให้ฟัง เพราะฉะนั้นนิสัยพุทธภูมิท่านจึงติดมา ท่านพิจารณาอะไรนี้ละเอียดลออมาก ท่านพูดไปถึงเรื่องประเพณีของพระอริยเจ้าทั้งหลายและการครองผ้า เฉพาะการครองผ้าท่านบอกว่ามีแต่สีแก่นขนุนทั้งนั้น เป็นสามขั้น สีแก่นขนุนอ่อน แก่นขนุนปานกลาง สีแก่นขนุนแก่ ท่านว่าอย่างนี้นะ นี่ละเป็นเหตุที่จะให้เราเรียนถามท่านสีนั้นสีนี้ ว่าสีเหลืองนี้มีไหม สีเหลืองธรรมดาที่ใช้อย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้มีไหม ท่านว่าสีพระเจ้าชู้ สีขุนนาง มันจะมีในพระพุทธเจ้าได้ยังไง ท่านไม่ได้ตอบว่ามีหรือไม่มี บอกอย่างนั้นก็เท่ากับปฏิเสธไปแล้ว

แปลก ที่ว่า สีเจ้าชู้ สีขุนนาง พระเจ้าชู้ พระขุนนาง ฟังซิน่ะ ก็ท่านพูดตรงๆ ตามการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว บอกว่าไม่มี นั่นเห็นไหมล่ะ ดูสีผ้าพระเรานี้ก็น่าดูแล้ว ให้พากันสำเหนียกศึกษานำไปปฏิบัติเป็นอรรถเป็นธรรม อย่าเอาแต่กิเลสตัณหาเข้ามาพอกพูน ลากจูงกันไปๆ ดังที่พูดเหล่านี้ เดี๋ยวนี้มันมักจะเป็นอย่างนั้น อย่างน้อยมาเป็นพระเจ้าชู้ พระขุนนาง มากกว่านั้นเป็นพระเทวทัตทำลายศาสนาของตัวเอง ทำลายพระพุทธเจ้า เวลานี้กำลังเต็มอยู่ในกรุงสยามของเรานี้ ให้ท่านทั้งหลายพิจารณาทุกคนๆ

การ มาอบรมศึกษา ตามี หูมีให้ดู ใจให้คิด ให้ได้ประโยชน์ เช่นอย่างมาสถานที่นี่เป็นยังไง ให้คิดให้อ่าน ตาดู หูฟัง ใจนำไปคิด นั่นละเรียกว่ามาหาผลประโยชน์ อย่าสักแต่ว่ามาๆ แล้วก็เอาไปจับจ่ายขายกิน แล้วยกหลวงตาบัวขึ้นว่า มาจากสำนักหลวงตาบัว แพรวพราวอะไร ใครอยากทดลองเครื่องก็มา มันจะเป็นอย่างนั้นนะ มันมาหาอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้ มันน่าทุเรศนะ กิเลสนี้เหยียบหัวไปตลอด ไปที่ไหนธรรมจะออกลำบากนะ แม้ในพระกรรมฐานเรานี้ก็เหมือนกัน กิเลสจูงหน้าจูงหลัง ธรรมไม่ได้จูงนะส่วนมาก พิจารณาให้ดีนะ

เทศน์ เป็นคติของวงกรรมฐาน ให้ดูทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ปฏิบัติมานี้ก็คือท่านปฏิบัติตามอริยประเพณี อย่างปัจจุบันนี้ก็มีหลวงปู่มั่นพาดำเนินพาปฏิบัติ อย่างที่ว่าสีผ้านี่ก็เหมือนกัน ท่านครองผ้าสีขนาดกลาง ไม่ใช่สีกรักแก่ อ่อน ท่านใช้สีกลางๆ  นี่ละสีครั้ง พุทธกาลท่านว่าอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ท่านพิจารณาอะไรนี้ผิดที่ไหนๆ พ่อแม่ครูจารย์มั่น เมื่อปฏิบัติจริงๆ ก็รู้ได้จริงๆ เห็นจริงๆ อย่างนี้แหละ

ธรรม พระพุทธเจ้าเวลานี้เท่ากับน้ำในสระ เต็มสระอยู่ แต่มีตั้งแต่จอกแต่แหน คือกิเลสปกคลุมหุ้มห่อสระ มองลงไปไม่เห็นน้ำเลย เห็นแต่จอกแต่แหนเต็มสระ ใครมองไปเห็นแต่จอกแหนก็ว่าน้ำไม่มีๆ อันนี้มองไปไหนชาวพุทธเรานี้ เห็นแต่เรื่องกิเลสตัณหา เห็นแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความคึกความคะนอง ดีดดิ้นไปทุกแห่งทุกหน นี่คือพวกจอกพวกแหน ธรรมที่แท้คือการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อมรรคผลนิพพานนั้นจะไม่มี นี่ละเรียกว่าน้ำในสระธรรม แท้อยู่ในหัวใจเรานี้ ถูกกิเลสตัณหาครอบไว้หมด ทีนี้กิริยาแสดงออกก็มีแต่เรื่องกิเลสตัณหาไปหมด เรื่องธรรมเลยไม่มีนะ ให้พากันจำเอา

ศาสนธรรม ของพระพุทธเจ้านี้คงเส้นคงวาหนาแน่น ผลก็เหมือนน้ำในสระสะอาดไม่มีอะไรเสมอเหมือนเลย แต่ถูกจอกแหนปกคลุมเอาไว้มองหาน้ำไม่เห็น ธรรมในหัวใจมีอยู่แต่ถูกกิเลสตัณหาปกคลุมลากเข็นไปหมด ให้พากันขนจอกขนแหน คือกิเลสตัณหาภายในใจนี้ออกด้วยการประกอบความพากเพียรชำระจิตใจ คำว่าชำระจิตใจก็คือชำระจอกแหนคือกิเลสนี้ละออกจากใจ เราจะได้ทรงมรรคทรงผล และมีความสง่างามขึ้นภายในใจของเรา ใจของทุกสัตว์โลกนั่นแหละ เลวได้ ดีได้ เลวสุดได้ ดีสุดได้ ขึ้นอยู่กับผู้เป็นเจ้าของจะพอกพูนในทางที่เลว หรือจะสั่งสมในความดีก็เป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง ให้พากันนำไปประพฤติปฏิบัติ

พระ มาแต่ละครั้งๆ ให้มาศึกษา ให้มาดู แบบแผนตำรับตำรามีในคัมภีร์ เมื่อไม่มีผู้นำออกมาปฏิบัติก็ยึดก็จับได้ยาก นี่ก็มีท่านนำออกมาปฏิบัติให้รู้อย่างเปิดเผย ก็เป็นสักขีพยานแก่ใจของเรา เราก็ได้ปฏิบัติด้วยความมั่นใจ ท่านทั้งหลายมาที่นี่ก็ให้ได้ไปปฏิบัติด้วยความมั่นใจจากการสำเหนียกศึกษา จากครูอาจารย์ไปเรียบร้อยแล้ว ให้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ ให้มองดูธรรม อย่ามองดูตั้งแต่กิเลส วิ่งตามกิเลส ให้มองดูธรรม ผิดถูกชั่วดีประการใดให้ดูความเคลื่อนไหวของใจก่อน ออกจากนั้นก็มากิริยาอาการ ถ้าใจไม่ดี กิริยาก็เหลวไหลๆ ถ้าใจดีแล้วกิริยาออกมาก็งามตานี่ ละธรรมฝังอยู่ที่ใจ สติธรรม ปัญญาธรรม และสังวรธรรม คือความสำรวมระวังตลอดเวลา นี้คือผู้รักษาตนด้วย เป็นผู้เสาะแสวงหาอรรถหาธรรมอย่างแท้จริงด้วย พากันจำเอานะ เอาละให้พร

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
http://www.luangta.com

ยังจะสงสัยอยู่หรือว่าตายแล้วไม่เกิด แล้วอะไรมันมาเกิด

ที่ท่านพูดว่า โลก ก็คือหมู่สัตว์ สตฺต แปลว่าผู้ข้อง ผู้ยังติดยังข้อง อะไรทำให้ข้อง? เพียงเท่านั้นก็ทราบแล้ว ท่านพรรณนาไว้หลายสิ่งหลายอย่างหลายภพหลายภูมิ ล้วนแต่ภูมิสถานที่ที่ให้จิตติดจิตข้องและจะต้องไปทั้งนั้น ท่านจึงว่าจิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว เพราะเที่ยวไปไม่หยุดไม่ถอย กลัวหรือกล้าก็ต้องไป เพราะกำลังตกอยู่ในความเป็นนักต่อสู้ ขึ้นชื่อว่า นัก แล้วมันต้องต่อสู้อย่างไม่ลดละท้อถอย ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็ไม่เรียกว่า นัก คือสู้ไม่ถอย

ภพภูมิต่างๆ ไปเกิดได้ทั้งนั้น แม้แต่นรกอเวจีซึ่งเป็นสถานที่มีทุกข์เดือดร้อนมากผิดทุกข์ทั้งหลาย จิตยังต้องไปเกิด! อะไรทำให้จิตเป็นนักต่อสู้?

เชื้อ แห่งภพชาติคือกิเลสทั้งมวลนั่นเอง ที่ทำให้สัตว์ทำกรรม กรรมเกิดวิบาก เป็นผลดีผลชั่ว วนไปเวียนมาในภพต่างๆ ภพน้อยภพใหญ่ไม่มีประมาณ ว่าจะหลุดพ้นจากความเกิดในภพนั้นๆ ได้เมื่อใด เกิดเป็นภพอะไรตัวประธานก็อยู่ที่ใจ เป็นผู้จะไปเกิด เพราะอำนาจกิเลส กรรม วิบาก พาให้เป็นไป

ในโลกเรานี้มีสัตว์เกิดมากน้อยเพียงไรใครจะไปนับได้! เพียงในบริเวณวัดนี้สัตว์ต่างๆ ที่สุดวิสัย ตาเนื้อ จะมองเห็นได้มีจำนวนมากเท่าใด สัตว์ที่เกิดที่อยู่ในที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อนี้ก็มี ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ เพราะละเอียดก็มี แม้แต่สัตว์เล็กๆ ซึ่งเป็นด้านวัตถุ แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อก็มี สัตว์ที่เกิดเป็น ภพ เป็นทั้งลี้ลับทั้งเปิดเผยในโลกทั้งสามจึงมีมากมาย ถ้าเป็นสิ่งที่มองเห็นด้วยตาเนื้อได้แล้ว จะหาที่เหยียบย่ำลงไปไม่ได้เลย เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของสัตว์ เต็มไปด้วยภพด้วยชาติของสัตว์ประเภทต่างๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียด เต็มไปทั้งสามภพสามภูมิ แม้แต่ช่องลมหายใจเรายังไม่ว่าง

ใน ตัวของเรานี้ก็มีสัตว์ชนิดต่างๆ อยู่มากจนน่าตกใจ ถ้ามองเห็นด้วยตาเนื้อ เช่น เชื้อโรค เป็นต้น ไม่เพียงแต่วิญญาณ คือจิตเราดวงเดียวที่อาศัยอยู่ในร่างนี้เท่านั้น ยังมีอีกกี่พันกี่หมื่นวิญญาณอาศัยอยู่ในร่างนี้ด้วย ฉะนั้นในร่างกายเราแต่ละคน จึงเต็มไปด้วยวิญญาณปรมาณูของสัตว์หลายชนิดจนไม่อาจคณนา มีอยู่ทุกแห่งได้ เพราะมีมากต่อมาก และละเอียดมากจนไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา ฟังได้ด้วยหู

ในอากาศกลางหาว ในน้ำ บนบก ทั่วทิศต่างๆ มีสัตว์เต็มไปหมด แล้วยังมัวสงสัยอยู่หรือว่า ตายแล้วสูญไม่ได้เกิดอีก ก็อะไรๆ มันเกิดอยู่เวลานี้เกลื่อนแผ่นดิน ภพหยาบก็มีมนุษย์ ซึ่งกำลังหาโลกจะอยู่ไม่ได้ ยังจะมาสงสัยอะไรอีก

ความ เกิดก็แสดงให้เห็นอยู่ทุกแห่งหน ทั้งหยาบทั้งละเอียด ทั้งในน้ำบนบกมีไปหมด ตลอดบนอากาศ ยังจะสงสัยอยู่หรือว่าตายแล้วไม่เกิด แล้วอะไรมันมาเกิด ดูเอาซี เครื่องยืนยัน ไม่สูญ มีอยู่กับทุกคน ถ้าสัตว์ตายแล้วสูญดังที่เข้าใจกัน สัตว์เอาอะไรมาเกิดเล่า? ลงตายแล้วสูญไปจริงๆ จะเอาอะไรมาเกิดได้ สิ่งที่ไม่สูญนั้นเองพาให้มาเกิดอยู่เวลานี้ ไปลบล้างสิ่งที่มีอยู่ให้สูญไปได้อย่างไร ความจริงมันมีอยู่อย่างนั้น ที่ลบไม่สูญก็คือความจริงนั่นแล

จะมีใครเป็นผู้ฉลาดแหลมคม รู้ได้ละเอียดลออทุกสิ่งทุกอย่างตามสิ่งที่มีอยู่เหมือนพระพุทธเจ้าเล่า?

พวก เราตาบอดมองไม่เห็นตัวเอง ได้แต่ลูบคลำไปลูบคลำมา คลำไม่เจอก็ว่าไม่มี แต่ไปโดนอยู่ไม่หยุดหย่อนในสิ่งที่เข้าใจว่าไม่มีนั้น ต่างคนต่างโดน ความเกิด อย่างไรล่ะ โดนกันทุกคนไม่มีเว้น เหมือนเราไม่เห็น เดินไปเหยียบขวากเหยียบหนามนั่นน่ะ เราเข้าใจว่าหนามไม่มีขณะที่เหยียบ แต่ก็เหยียบหนามที่ตนเข้าใจว่าไม่มีนั่นแหละ มันปักคนผู้ไม่เห็นแต่ไปเหยียบเข้า เพียงเท่านี้ก็พอทราบได้ว่า ควรเชื่อแล้วหรือความรู้ความเห็นอันมืดบอดของตัวเองน่ะ เพียงหนามอันเป็นของหยาบๆ ยังไม่เห็นและไปเหยียบจนได้ ถ้ารู้ว่าที่นั่นมีหนามจะกล้าไปเหยียบได้อย่างไร เช่น หัวตอไปโดนมันทำไม ไม้ไปโดนมันทำไม ถ้าแน่ใจว่ามีใครจะกล้าไปโดน ใครจะกล้าไปเหยียบหนาม ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันเป็นเรื่องเจ็บปวดขนาดไหน แล้วทำไมถึงโดนกันเรื่อยๆ เล่า? ก็เพราะความเข้าใจว่าหนามไม่มีนั่นเอง

ฉะนั้นสิ่งต่างๆ จึงไม่อยู่ในความสำคัญว่ามีหรือไม่มี มันอยู่ที่ความจริงอย่างตายตัว ไม่มีใครอาจแก้ไขให้เป็นอื่นไปได้

นี่ ก็เหมือนกันเรื่องภพเรื่องชาติของคนและสัตว์ มีเกิดให้เห็นมีตายให้เห็นอยู่เกลื่อนแผ่นดิน เฉพาะในโลกเรานี้ก็เห็นเกลื่อนแผ่นดินอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จะปฏิเสธ จะไปลบล้างได้อย่างไรว่ามันไม่เกิด ว่ามันตายแล้วสูญสิ้นไป

เราไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แต่เราเชื่อเราเป็นอย่างไรบ้าง? ผลของมันที่แสดงตอบ! ความรู้ความเห็นของเรามีสูงต่ำหรือแหลมคมขนาดไหนถึงจะเชื่อตนเอง จนสามารถลบล้างความจริงทั้งหลายที่มีอยู่ให้สูญไปตามความรู้ความเห็นของตน ทั้งๆ ที่ตนไม่สามารถรู้ความจริงนั้นๆ ทำไมจึงสามารถอาจเอื้อมไปลบล้างสิ่งที่เคยมีอยู่ให้สูญไปเมื่อเราไม่รู้ ลบเพื่อเหตุผลอันใด? ความรู้นี่มันโง่สองชั้นสามชั้น แล้วยังจะว่าตนฉลาดอยู่หรือ?

ถ้า มุ่งต้องการความจริงด้วยใจเป็นนักกีฬา ก็ควรยอมรับตามความจริงที่ปรากฏอยู่ ลองคิดดู มีนักปราชญ์ที่ไหนบ้างสอนอย่างถูกต้องแม่นยำตามหลักความจริงเหมือน พระพุทธเจ้า จะแห่กันไปหาที่ไหน ลองไปหาดูซี หมดแผ่นดินทั้งโลกนี้จะไม่มีใครเหมือนเลย ใครจะมาสอนให้ตรงตามหลักความมีความเป็นและความจริงดังพระพุทธเจ้า แน่ใจว่าไม่มี!

ประการสำคัญก็คือการคิดว่า ตายแล้วสูญ นั้นเป็นภัยอันตรายแก่ผู้คิดและผู้เกี่ยวข้องไม่มีประมาณ เพราะคนเราเมื่อคิดว่าตายแล้วสูญย่อมเป็นคนสิ้นหวัง อยากทำอะไรก็ทำตามใจชอบในเวลามีชีวิตอยู่ ส่วนมากก็มักทำแต่สิ่งที่เป็นโทษเป็นภัยแก่ตัวเองและผู้อื่น เพราะชาติหน้าไม่มี ทำอะไรลงไปผลจะสนองตอบไม่มี ฉะนั้นความคิดประเภทนี้จึงทำคนสิ้นให้หวัง หลังจากนั้นก็ทำอะไรแบบไม่คำนึงดีชั่ว บุญบาป นรกสวรรค์ พอตายแล้วก็ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ผู้สิ้นท่า เช่น สัตว์นรก เป็นต้น อย่างช่วยอะไรไม่ได้ ทั้งนี้พวกเรายังไม่เห็นเป็นของสำคัญอีกหรือ? ถ้ายังไม่เห็นศาสนธรรมซึ่งเป็นของแท้ของจริงว่าเป็นของสำคัญ ตัวเราเองก็หาสาระอะไรไม่ได้นั่นเอง ในขณะเดียวกันการปฏิเสธความจริงก็เท่ากับมาลบล้างสารคุณของเราเอง กลายเป็นคนไม่สำคัญ คนไม่มีสารคุณ คนหมดความหมาย คนทำลายตัวเอง ชนิดบอกบุญไม่รับ เพราะความคิดที่ลบล้างความจริงที่มีอยู่นั้นเป็นความคิดทำลายตนเอง สิ่งที่มีความหมายแต่ไปลบล้างสิ่งที่จริง แต่ไปขัดความจริง สุดท้ายก็สะท้อนกลับสิ่งที่จริงมาหาตัวเอง เป็นผู้รับเคราะห์กรรมเสียเองโดยไม่มีใครอาจช่วยได้ กลายเป็นคนขาดทุนทั้งขึ้นทั้งล่องซี!

พวก เรานับว่าดีมาก วาสนาเรามีความดีคุ้มครองถึงได้มาพบพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ถูกต้อง ตายตัว บอกขวากหนามให้สัตว์โลกรู้และหลบหลีกกัน และบอกสวรรค์ นิพพาน ให้สัตว์โลกได้ไป ได้น้อมใจเข้ามาประพฤติปฏิบัติ ถวายกาย วาจา ใจ ตลอดชีวิตทุกสิ่งทุกอย่างกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ดำรงตนอยู่ด้วยศีลด้วยธรรม ประพฤติคุณงามความดีตลอดมา เพื่อเป็นการเพิ่มพูนบุญวาสนาบารมีของตนๆ ให้สูงส่งยิ่งขึ้นไป

ผู้ ไม่มีโอกาสทำได้อย่างนี้มีจำนวนมากมาย อยากจะพูดว่า ราว ๙๙ % ประเภทเป็นอยู่ด้วยความเชื่อบุญเชื่อบาป ยังเหลือเปอร์เซ็นต์เดียวหรือไม่ถึงเปอร์เซ็นต์ก็อาจเป็นได้ เมื่อเทียบกับโลกทั้งโลก

         ความเกิดความตายมันเห็นอยู่ชัดๆ ภายในจิต เพราะฉะนั้นขอให้เรียนความจริงซึ่งมีอยู่ที่จิต มัน เกิดอยู่ที่นั่น มันตายอยู่ที่นั่น เชื้อให้เกิดให้ตายมีอยู่ที่จิต เมื่อเรียนและประพฤติปฏิบัติทางด้านจิตตภาวนา ทดสอบเข้าไปหาความจริงที่มีอยู่ภายในจิต ทั้งเรื่องเกิดเรื่องตาย เรื่องความเกี่ยวข้องพัวพันต่างๆ เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องบุญเรื่องบาป เรียนเข้าไปตรงนั้น จะเจอเข้ากับความจริงในแง่ต่างๆ ที่นั่นโดยไม่มีทางสงสัย

เมื่อ เจอด้วยใจตนเองอย่างประจักษ์แล้ว ก็เหมือนเราไปเห็นด้วยตาเนื้อเราจริงๆ เราจะลบล้างได้อย่างไร ปฏิเสธได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นไม่มี แต่ก่อนเข้าใจว่าไม่มี แต่ไปเห็นด้วยตาแล้วจะปฏิเสธได้อย่างไร เพราะตนเป็นผู้เห็นเอง ถ้าลบก็ต้องลบด้วยการควักลูกตาตนออกเพราะลูกตาโกหก

ที่ ลบล้างไม่ลงลบล้างไม่ได้เพราะตนเห็นด้วยตาว่า สิ่งนั้นมันมีอยู่จริง ถ้าเป็นด้านวัตถุที่จับต้องดูได้ก็จับต้องดูได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นตนจะลบล้างได้เหรอ? ว่าสิ่งนั้นไม่มี คือสิ่งที่ตนถือและดูอยู่นั้น ลบล้างไม่ได้ ดังนั้นความจริงที่มีอยู่ ท่านผู้ใดรู้เห็น ท่านผู้นั้นต้องยอมรับความจริงนั้น นอกจากผู้ไม่สนใจอยากรู้อยากเห็นยิ่งกว่าการเชื่อตัวเองเท่านั้น ก็สุดวิสัยที่ธรรมจะช่วยได้

เรื่อง ของความจริงเป็นอย่างนี้ และพวกที่รู้ความจริงก็รู้อย่างนี้ ท่านจึงไม่ลบล้างและสอนตามความมีความจริง พวกเราเป็นคนมืดบอด จึงควรเชื่อและดำเนินตามท่านจะเป็นทางที่ถูกต้องดีงาม เป็นความสวัสดีมงคลแก่ตัวเอง ผู้มุ่งหวังความหลุดพ้นทั้งปวงนับแต่ขั้นต่ำจนถึงขั้นสูงสุด เป็นความจริงไปตามขั้นของธรรมและขั้นของผู้เรียน จิตตภาวนา นั่นแหละ เป็นผู้จะทราบได้ชัดเจน

ในวงขันธ์มีความกระเพื่อม กระเทือนด้วยภพชาติ โดยอาศัยอารมณ์เป็นผู้ชักใยอยู่ตลอดเวลา ด้วย ความเกิดความดับ ๆ อันมีเชื้ออยู่ภายในให้เป็นผู้ผลักดันให้อาการของจิตออกแสดงตัว จิตยังไปไม่ได้เพราะยังมีอัตภาพเป็นความรับผิดชอบอยู่ จิตจึงกระเพื่อมอยู่ อารมณ์เป็นความเกิดดับๆ อยู่เพียงเท่านั้น ถ้าใจสามารถออกจากร่างได้ ใจจะเข้าปฏิสนธิสักกี่อัตภาพก็ได้ในวันหนึ่งๆ จะได้เป็นล้านอัตภาพในคนๆ หนึ่ง เพราะมีความติดความข้องความรักความชอบใจเป็นสายใย รักก็ติด ชังก็ติด โกรธก็ติด เกลียดก็ติด ติดได้ทั้งนั้นไม่มีอั้น อะไรๆ มันติดทั้งนั้น ถ้าใจติดอะไรทำให้เป็นภพเป็นชาติขึ้นมาอย่างเปิดเผยในขณะที่ติดแล้ว วันหนึ่งๆ จะมีกี่ล้านอัตภาพในตัวเราเอง แต่นี่มันได้อัตภาพอย่างเปิดเผยเพียงอันเดียวเท่านั้น ใจจึงเป็นเพียงไปติดไปยึดอยู่กับอารมณ์นั้นๆ เท่านั้น ไม่อาจถอนตัวออกจากอัตภาพนี้ไปเข้าสู่อยู่กับอารมณ์ที่ใจติดได้ คนเราจึงมีได้เพียงอัตภาพเดียว ความเป็นจริงอย่างนี้ การเรียนก็เรียนอย่างนี้ เรียนให้ทราบวิถีของจิตซึ่งพร้อมที่จะติดอยู่เสมอ

         คิด เรื่องอะไรคอยแต่จะติด ตำหนิติชมสิ่งใดก็ไปติดกับสิ่งนั้น ตำหนิก็ติด ชมก็ติด ถ้าจิตอยู่ในขั้นที่ควรจะติดเป็นติดทั้งนั้น ไม่ถอยในเรื่องติด เพราะฉะนั้นเรื่องเกิดเรื่องตายของจิตจึงไม่มีถอย เรื่องสุขเรื่องทุกข์ของจิตจึงมีประจำตน เพราะความคิดปรุงพาให้เป็นไป จิต เป็นผู้ไม่ถอยในการทำกรรมดีชั่ว ผลสุขทุกข์จึงเป็นเงาตามตัวแล้วปฏิเสธได้อย่างไร เรื่องความเป็นของจิตก็เป็นอยู่อย่างนี้ เห็นชัดๆ ภายในตัวเอง การเรียนจึงเรียนลงที่นี่ เมื่อเรียนลงไปที่นี่ซึ่งเป็นเป้าหมายแห่งความจริงทั้งหลาย ก็รู้ชัดเจนโดยลำดับๆ

อัน ใดที่ควรปล่อย เมื่อมีความสามารถรู้ได้ด้วยสติปัญญาแล้วมันปล่อยของมันเอง เมื่อปล่อยแล้วสิ่งนั้นไม่มีมาข้องใจอีกค่อยๆ หมดไป ๆ ใจหดตัวเข้ามาเลื่อนเข้ามา จากที่เคยอยู่วงกว้าง ปล่อยแล้วปล่อยเข้ามา ๆ วงก็แคบเข้าจนกระทั่งเหลือนิดเดียวคือที่ใจนี้ ก็รู้ว่า นี่เชื้อแห่งภพยังมีอยู่ภายในใจ นี่เชื้อแห่งภพนี้เป็นสิ่งหลอกตาได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่ใช้สติปัญญาพิจารณาอย่างละเอียดสุขุม จะติดเชื้อแห่งภพอย่างไม่สงสัย ได้เคยบอกแล้วว่า จิตมันรู้ตัวเองอย่างชัดๆ จากการปฏิบัติ จะลบล้างได้อย่างไรว่า จิตนี้เมื่อตายไปแล้วจะไม่พาเกิดอีก เพราะ ตัวเกิดก็อยู่กับจิต จิตก็รู้ว่าการจะเกิดอีกนั้นเพราะเชื้อนี้เป็นเหตุ รู้ๆ เห็นๆ กันอย่างเปิดเผยจากการปฏิบัติทางจิตตภาวนา ซึ่งเป็นทางดำเนินที่ทรงดำเนินแล้ว ทรงรู้ประจักษ์พระทัยมาแล้ว เชื้อแห่งภพชาติมีอยู่ในจิตมากน้อย จิตจะต้องเกิดในภพอีก

เมื่อ ปฏิบัติจิตตภาวนาเข้าสู่ขั้นละเอียด กิเลสยังมีมากน้อยย่อมรู้ได้ชัดด้วยปัญญา เพราะสติปัญญาอันละเอียดนี้คมมาก ไม่มีอะไรจะหนีรอดไปได้ เพราะปัญญาความรู้เห็นสิ่งต่างๆ ที่มาเกี่ยวข้องกับจิตได้อย่างรวดเร็ว จิตจะมีสาเหตุให้ไปเกิดที่นั่น ไปเกิดที่โน่น สติปัญญาตามแก้ไขทันกับเหตุการณ์ไม่เนิ่นช้า และสามารถตัดขาดได้ในโอกาสที่เหมาะสม

         ประการหนึ่ง จิตขั้นละเอียดนี้พร้อมที่จะหลุดพ้นอยู่แล้ว เมื่อสติปัญญาถึงพร้อมกับสิ่งที่ควรตัดในโอกาสที่ควร จนสามารถตัดขาดเสียได้ ไม่มีเงื่อนสืบต่อภายในจิต จนเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ ขึ้นมา

เมื่อ จิตบริสุทธิ์แล้วจะสูญไปไหน? ถ้ามีการสูญไปอยู่จะเอาอะไรมาบริสุทธิ์? และเอาอะไรมาศักดิ์สิทธิ์วิเศษ? แม้พิจารณาเท่าไรๆ ก็ไม่มีเงื่อนสืบต่อ เพราะกิเลสหมดไปแล้ว จิตถึงความบริสุทธิ์แท้แล้ว จึงเป็นอันหมดปัญหากับจิตดวงนี้ ความที่จิตนี้จะเกิดจะตายต่อไปอีกไม่มี! ความสูญก็ไม่ปรากฏว่ามี เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ จึงไม่ทรงแสดงความสูญไว้กับจิตพระอรหันต์ และจิตของสัตว์โลก จึง ขอย้ำอีกว่าจิตที่จะหมดปัญหาแล้วมันสูญไหม? จิตยิ่งเด่น แล้วจะเอาอะไรมาสูญเล่า? เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้จะเอาอะไรมาสูญ? ขุดค้นเรื่องสูญเท่าไร จิตยิ่งเด่นยิ่งชัดไม่มีอะไรสงสัย เด่นจนพูดไม่ถูก บอกไม่ถูกตามโลกนิยมสมมุติซึ่งหาที่สิ้นสุดยุติไม่ได้ ถ้าใครยังอวดเก่งต่อความคิดว่า ตายแล้วสูญเวลาไปโดยผลที่ไม่คาดฝันในภพหน้า ก็จงเรียก ความตายแล้วสูญ มาช่วยถ้าจะสมหวัง

จิตที่เด่นนอกวงสมมุตินี้ แม้เด่นเพียงไรก็พูดให้ถูกต้องความจริงไม่ได้!

เมื่อปัญหาเกี่ยวกับการตายเกิดตายสูญสิ้นไปจากใจแล้ว ก็เป็นผู้ สิ้นเรื่องโดยประการทั้งปวง ถึง ความบริสุทธิ์เต็มภูมิ จิตที่บริสุทธิ์เต็มภูมินี้สูญไหม? เมื่อรู้ชัดเห็นชัดอย่างนี้แล้วธรรมชาตินี้จะสูญไปไหน? ลงความจริงที่รู้อยู่นี่จะลบได้ไหม? จะให้สูญได้ไหม? ใครจะไปลบเล่า? นอกจากคนตาฝ้าฟางมองไม่เห็นหนทาง เหยียบแต่ขวากแต่หนามแล้วก็บอกว่าหนทางไม่ดี สิ่งที่มีก็คือขวากหนามเต็มฝ่าเท้าเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะเชื่อคนตาดีหรือคนตาบอด จงตัดสินใจด่วน! อย่าให้เสียดายเดี๋ยวตายเปล่า จะว่าไม่บอกไม่เตือน ที่อธิบายมาทั้งนี้เป็นคำบอกคำเตือนอยู่แล้ว

ความ บริสุทธิ์ที่ไม่ต้องฝืนอะไรๆ ก็คืออันนี้แล แล้วอันนี้จะสูญไปได้อย่างไร แต่จะมาตั้งอยู่เหมือนหม้อไหโอ่งน้ำไม่ได้ เพราะคนไม่ใช่หม้อ และนี่เป็นจิต จิตธรรมดากับจิตบริสุทธิ์นั้นผิดกันมากมาย จะมาตั้งกฎเกณฑ์ให้เป็นอย่างนี้ ให้อยู่แบบนี้ๆ ไม่ได้ ไม่ว่าแบบใดๆ เพราะไม่ใช่ ฐานะ ของจิตประเภทนี้ที่จะมาตั้งแบบนี้หรือแบบใดๆ ดังท่านว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ นิพพานสูญแบบนี้เอง คือสูญแบบนิพพาน มิใช่สูญแบบโลกๆ ที่เข้าใจกัน

         สูญแบบนิพพาน คือไม่มีอะไรบรรดาสมมุติเหลืออยู่ภายในจิต ผู้ที่รู้ว่าสิ่งทั้งหลายสูญสิ้นแล้วจากใจนั่นเลย นั่นแหละคือตัวจริง นั่นแหละคือผู้บริสุทธิ์ ผู้นี้จะสูญไปไม่ได้ ยิ่งเด่นยิ่งชัดยิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้นี้ไม่สูญ ผู้นี้แลเป็นผู้ทรงคุณสมบัติอันยอดเยี่ยม ในบทที่สองว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ผู้นี้แลเป็นสุขอย่างยิ่ง นอกสมมุติทั้งปวง

ถ้า จิตบริสุทธิ์ได้สูญไปจริงๆ ธรรมบทนี้จะขึ้นมารับไม่ได้ เพราะก็สูญไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรจะมาเป็นสุขอย่างยิ่งได้เลย การปฏิบัติให้เข้าใจความจริงความแท้ของธรรม ต้องปฏิบัติให้ถูกธรรม อย่าฝืนธรรม จะไม่รู้ความจริงแม้มีอยู่ในตน

คำว่า โลก คือ หมู่สัตว์ ก็หมู่สัตว์ตรงนี้เอง คือตรงที่มีเชื้อได้แก่อวิชชาตัณหาอุปาทานพาให้เกิดอยู่ไม่หยุด ก่อนจะไปเกิดใหม่ต้องเกิดอยู่ภายในจิตนี้เอง ท่านเรียกว่า หมู่สัตว์พากันเกิดอยู่ทั่วโลกดินแดน ตายทั่วโลกดินแดน ก็คือธรรมชาติที่ว่านั่นเอง ไม่มีอันใดเป็นผู้พาให้เกิดพาให้ตาย

ส่วน ความทุกข์ความลำบากที่มาจากธรรมชาติที่ก่อภพ ได้แก่ ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ ธรรมชาติอันนี้เอง เมื่อละหมดโดยตลอดทั่วถึงไม่มีเชื้อ วัฏฏะ ที่จะพาให้เกิดอีกแล้ว ธรรมชาตินี้ก็เป็น วิวัฏฏะ

คำว่า โลกคือหมู่สัตว์ ก็พูดไม่ได้อีกแล้ว หมดปัญหาที่จะพูดว่าโลกคือหมู่สัตว์ของผู้บริสุทธิ์นั้น ฉะนั้นพวกเราจงพยายามปฏิบัติตามหลักความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วนี้ ในธรรมท่านว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าเบื้องต้น คือ อาทิกลฺยาณํ ไพเราะเพราะพริ้ง เต็มไปด้วยเหตุด้วยผลในเบื้องต้นแห่งธรรม มชฺเฌกลฺยาณํ ไพเราะเพราะพริ้ง เต็มไปด้วยเหตุด้วยผล เต็มไปด้วยความถูกต้องดีงามในท่ามกลางแห่งธรรม ปริโยสานกลฺยาณํ ไพเราะในที่สุด ทำให้ผู้ฟังซาบซึ้ง เต็มไปด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความถูกต้องดีงามสุดส่วนแห่งธรรม ทุกชั้นทุกวรรคทุกตอน

สิ่ง ที่น่าติเตียนและควรแก้ไขอย่างยิ่งก็คือ จิตใจของสัตว์โลกผู้ฝืนหลักธรรมอยู่ตลอดเวลา เพราะกิเลสมีอำนาจมากกว่าจึงทำให้ฝืนธรรม เมื่อฝืนธรรมก็ต้องได้รับความทุกข์ เกิดก็เป็นเรา แก่ก็เป็นเรา เจ็บก็เป็นเรา ตายก็เป็นเรา ทุกข์ยากลำบากชนิดไหนๆ ตนก็เป็นคนรับเสียเอง กิเลสมันไม่มารับแทนพอจะให้มันกลัวทุกข์ แล้วแสวงหาธรรมเป็นที่พึ่งดังพวกเรา

พระพุทธเจ้าท่านไม่รับทุกข์ สาวกท่านไม่รับทุกข์ ดังที่มวลสัตว์รับกัน!

        เพราะ ฉะนั้นจึงควรเห็นโทษแห่งการฝืนธรรมว่าเป็นของไม่ดี จะทำให้เกิดไปเรื่อยๆ ตามความฝ่าฝืน จงพยายามแก้ไขดัดแปลงหรือฝึกทรมาน ชำระสะสางสิ่งที่พาให้ฝืนนั้นออกจากใจ เราจะคล้อยตามธรรมซาบซึ้งในธรรมไปเรื่อยๆ ความซาบซึ้งในธรรมนั้น เพราะธรรมเริ่มเข้าถึงใจเรา และกิเลสก็เริ่มถอยทัพ กิเลสเบาบางลงไปแล้วจึงทำให้มีความซาบซึ้งดื่มด่ำ มีความพอใจบำเพ็ญศีลบำเพ็ญธรรม

ถ้า มีแต่กิเลสล้วนๆ เต็มหัวใจ ไม่มีธรรมเข้าขัดขวางต้านทานไว้บ้างเลย ย่อมไม่มีใครจะสนใจในอรรถในธรรมกัน ชาตินี้นับว่ามีเราวาสนา เพราะมีธรรมคอยสะกิดใจ ให้เรามีความชอบความพอใจอยากไปวัดไปวา บำเพ็ญศีล บำเพ็ญทาน บำเพ็ญภาวนา ให้มีช่องทางปฏิบัติบำเพ็ญธรรม มีความดูดดื่ม มีความพออกพอใจ มีความเชื่อความเลื่อมใสในธรรม อันเป็นธรรมรสภายในใจ มีธรรมคุ้มครองจิตใจ กิเลสแม้ยังมีอยู่ในใจก็จริง แต่ธรรมที่ได้สั่งสมมาจึงพอต่อสู้ต้านทานกัน หากมีแต่เรื่องกิเลสล้วนๆ แล้ว การทำความดีย่อมเป็นการทำยากยิ่ง ทั้งไม่สนใจจะทำ สนใจแต่ บาปกรรม นำตนเข้าสู่ความลามกตกนรกทั้งเป็นทั้งตาย ไม่มีวันผลุบโผล่ได้เลย

ผู้ ไม่มีธรรมในใจ ก็คือผู้มีบาปเต็มไปทั้งดวงใจนั้นแล ผลของบาปจึงได้รับแต่ความทุกข์ความลำบากเรื่อยๆ ไป ไม่ว่าอยู่ในภพใดกำเนิดใด แดนใดภาษาใด เพราะใจนั้นมันไม่มีชาติชั้นวรรณะ ไม่มีภาษา แต่เป็นแหล่งผลิตกรรมดีชั่วทั้งปวง และเป็นคลังแห่งวิบากคือผู้รับผล จึงต้องรับทั้งความสุขความทุกข์ที่ตนสร้างขึ้นทำขึ้นมากน้อย จะหลบหลีกปลีกตัวไปที่ไหนไม่ได้ ถ้าไม่สร้างป้อมปราการคือบุญกุศลไว้เสียแต่บัดนี้ ซึ่งยังไม่สายเกินไป เพื่อบรรเทาหรือลบล้างบาปให้ลดน้อยลงจนไม่มีบาปติดตัวติดใจ ผู้นี้แลคือผู้มีความสุขแท้ ไม่เพียงแต่ความสุขที่เกิดจากการเสกสรรปั้นยอซึ่งหาความจริงมิได้

การ กล่าวทั้งหมดนี้ ให้ต่างคนต่างน้อมเข้าสู่ใจของตนเอง ซึ่งเป็นตัวการก่อกรรมทำเข็ญด้วยกัน เป็นตัวการทั้งเรื่องที่เป็นมานี้ เป็นตัวการทั้งเรื่องชำระคือแก้ไข ต้องฝืนต่อสู้กับกิเลส ต้องฝืน อย่าถอยมันจะได้ใจ เพราะกิเลสเคยฝืนเราและเคยบังคับเรามานานแล้ว คราวนี้เราพอมีทางสู้ เพราะได้อรรถได้ธรรมมาจากพระพุทธเจ้า จากครูบาอาจารย์เป็นเครื่องมือต่อสู้กับกิเลส สู้ไม่ถอย ขึ้นชื่อว่าสู้แล้วจะต้องมีชัยชนะจนได้ในวันเวลาหนึ่ง ทีแรกเรายอมมันแบบหมอบราบเลย ถ้าไม่สู้มันก็ไม่เรียกว่า ลูกศิษย์พระตถาคต ผู้เก่งกล้าในการรบกับกิเลส การต่อสู้ยังดีกว่ายอมแพ้เสียทีเดียว คราวนี้แพ้เพราะกำลังยังไม่พอ ก็ต้องยอมแพ้ไปก่อน คิดอุบายขึ้นมาใหม่ สู้เรื่อยๆ สู้กันไปสู้กันมา ย่อมมีทางชนะกันไปเรื่อยๆ เมื่อสู้บ่อยเข้าความชำนาญย่อมตามมา และความชำนะมีมากขึ้น ๆ ต่อไปความแพ้ไม่ค่อยบ่อยไม่ค่อยมี นั่น! ฟังซิ

ทำไม จึงเป็นเช่นนั้น? เพราะจิตถึงธรรมขั้นไม่ยอมถอยทัพกลับแพ้แล้ว ถ้าจะแพ้กิเลสน้อยใหญ่ต่อไปอีก ก็ขอให้ตายเสียดีกว่าที่จะมาเจอความแพ้นี้ ซึ่งเป็นความต่ำต้อยด้อยสติปัญญา ศรัทธา ความเพียร จึงขอให้ตายเสียดีกว่า ขอให้ชนะกิเลสทุกประเภทโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่ขออย่างอื่นที่โลกขอกัน ถ้าไม่ชนะ ก็ให้ตาย นั่น! ฟังซิ เด็ดไหม? จิตดวงเดียวนี่แหละ ดวงที่เคยแพ้ เคยล้มลุกคลุกคลาน นี่แหละ

เมื่อ เวลาพลิกตัวขึ้นสู่ธรรม ด้วยได้รับการฝึกฝนอบรมจากครูอาจารย์มาแล้วด้วยดี จิตมีกำลังวังชาพอมีความรู้ความฉลาด ตลอดถึงผลที่ได้รับประจักษ์ใจ เป็นเครื่องสนับสนุนจิตใจให้ถึงขั้นที่ว่า ให้ตายเสียดีกว่าที่จะเจอความแพ้กับกิเลสน้อยใหญ่อีก ไม่ประสงค์อีกแล้ว เรื่องความแพ้นี้ ไม่เป็นของดีพอจะส่งเสริมเลย

เขาแข่งกีฬากันแพ้กัน ผู้แพ้ก็ย่อมเสียใจ แม้จะเป็นการเล่นสนุกกันก็ตาม ยังทำให้ผู้แพ้เสียใจได้

เรื่องวัฏสงสารคือ เรื่องความเกิดความตาย เรื่องกิเลสซึ่งเป็นภัยต่อเราโดยตรง ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ดังเขาเล่นกีฬากัน เป็นเรื่องของความทุกข์กองทุกข์ในตัวเราแท้ๆ การแพ้สิ่งนี้ถือเป็นของเล่นของดีแล้วหรือ เราคิดดูให้ดี ความจริงแล้วไม่ใช่ของดีเลย ความแพ้กิเลสเป็นความเสียหายแก่ตัวเราไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นการแพ้กิเลสจึงเป็นเรื่องใหญ่โตมาก ทำไมถึงยอมแพ้มันเรื่อยๆ เอ้า! สู้มันไม่ถอย จนได้ชัยชนะไปเป็นลำดับๆ จนถึงขั้นไม่ให้มีคำว่า แพ้ กระทั่งชนะไปเลย!

ผู้นี้แลเป็นผู้ประเสริฐ เมื่อชนะไปเลยแล้ว ทีนี้คำว่า ตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญ นั้นหมด! ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในใจเลย เพราะความสำคัญมั่นหมายเป็นกิเลสทั้งนั้น คำว่า ตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญ นรกมีหรือไม่มี สวรรค์มีหรือไม่มี นี้เป็นเรื่องของกิเลสพาไปให้คิดด้นเดาทั้งสิ้น

พอมาถึงขั้น ชนะไปเลย เรื่องเหล่านี้ก็หมดไปในทันทีทันใด ไม่มีการเกิดได้อีกเพราะไม่มีสิ่งผลักดันให้เกิด ความลังเลสงสัยปลงใจลงกับธรรมไม่ได้ ท่านเรียกว่า นิวรณ์ เครื่องกั้นกางทางดี แต่เปิดทางชั่วให้ทำ ผู้ มีนิวรณ์เข้าเป็นใหญ่ในใจ จึงต้องตัดสินใจเพื่อความดีงามอะไรไม่ได้ นอกจากงานที่จะลงทางต่ำไปเรื่อยๆ นั้น เป็นงานที่สนใจจดจ่อ โดยไม่คิดว่าจะผิดพลาดประการใดและให้ผลเช่นไรบ้าง ด้วยเหตุนี้ความชั่วสัตว์โลกจึงทำได้ง่าย แต่ความดีนั้นทำได้ยาก ผู้โดนทุกข์จึงมีมากแทบทุกตัวคนและมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้จะพูดว่าหลงกองทุกข์กันก็ไม่ผิด แต่ผู้เป็นสุขกายสุขใจนั้นมีน้อยมาก แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีได้

การ ที่เราเห็นเขาแสดงความรื่นเริงออกมาในท่าต่างๆ และ สถานที่ต่างๆ เช่นในหน้าหนังสือพิมพ์เป็นต้น นั่นเป็นเพียงเครื่องหลอกกันเล่นไปอย่างนั้นเอง ความจริงต่างอมความทุกข์ไว้ภายในใจแทบระเบิด โดยไม่เลือกชาติชั้นวรรณะใดๆ เลย ทั้งนี้เพราะสิ่งที่ทำให้ซ่อนความจริงไว้นั้น ได้แก่ความอาย กลัวเสียเกียรติ และเป็นคนใหญ่คนโตที่โลกนิยม นี่ จึงนำออกให้โลกและสังคมเห็นแต่อาการที่เห็นว่าเป็นความสุขรื่นเริงเท่านั้น

ตัว ผลิตทุกข์แก่มวลสัตว์มันผลิตอยู่ภายในใครไม่อาจรู้เห็นได้ นอกจากปราชญ์ที่เรียนรู้และปล่อยวางมัน และกลมารยาของมันแล้วเท่านั้น จึงทราบได้อย่างชัดเจนว่าภายในหัวใจของสัตว์โลกคุกรุ่นอยู่ด้วยไฟราคะตัณหา ไฟความโลภ หาความอิ่มเพียงพอไม่เจอ แม้จะแสดงออกในท่าร่าเริง ท่าฉลาดแหลมคม ท่าผู้ดีมีความสุขฐานะดีเพียงไร ก็ไม่สามารถปิดความจริงที่มีอยู่ในหัวใจให้มิดได้เลย ปราชญ์ทั้งหลายรู้เห็นจับได้ เพราะกลมายาของกิเลสกับธรรมละเอียดต่างกันอยู่มาก ท่านผู้เป็นปราชญ์โดยธรรม จึงทราบได้ไม่ยากเย็นอะไรเลย

ด้วย เหตุนี้จึงควรพยายามสร้างความดีให้พอแก่ความต้องการ จิตใจเป็นของแก้ไขได้ ใจชั่วแก้ให้ดีก็ได้ ทำไมจะแก้ไม่ได้ ถ้าแก้ไม่ได้พระพุทธเจ้าจะฝึกพระองค์ให้ดีได้อย่างไร บาปนั้นมีด้วยกัน เพราะเราทุกคนเกิดมาท่ามกลางแห่งบาป เกิดมากับกิเลสและอยู่ในวงล้อมของกิเลสด้วยกัน เกิดมากับบุญกับบาป และอยู่ในท่ามกลางสิ่งที่ดีชั่วเหล่านี้แล เนื่องจากยังไม่มีความดีพอจะให้อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ได้ แดนมนุษย์เป็นสถานที่และกำเนิดอันเหมาะสมดีอยู่แล้ว จะสร้างอะไรก็ได้เต็มภูมิ แต่การสร้างความดีนั้นเหมาะสมกับภูมิมนุษย์อย่างยิ่ง ดังพวกเราสร้างหรือบำเพ็ญอยู่เวลานี้ อันใดควรแก้ไขดัดแปลง ก็แก้ไขและดัดแปลง สิ่งที่ควรส่งเสริมก็ส่งเสริมไปเรื่อยๆ ด้วยความไม่ประมาทนอนใจ

การ ไม่ประมาท สร้างประโยชน์เพื่อโลกและตัวเองอยู่เสมอ แม้ไปเกิดภพใดก็ไม่เสียท่า คนที่มีความดีแล้วไม่เสียที มีแต่ความสุขความเจริญไปเรื่อยๆ ในภพนั้นๆ มีความสุขสบายตลอดไป จนอุปนิสัยวาสนาสามารถเต็มที่แล้ว ก็ผ่านไปยังแดนเกษมสำราญ การผ่านไปก็ผ่านไปด้วยดี อยู่ด้วยความดี ความดีเป็นเครื่องสนับสนุนให้ผ่านกองทุกข์ต่างๆ ไปได้โดยไม่มีอุปสรรค ถ้าไม่มีความดีก็ไปไม่ได้ การไปสู่ความสุขความเจริญนั้น โลกอยากไปด้วยกันทุกคนนั่นแล แต่ทำไมจึงไปไม่ได้? ก็เพราะกำลังไม่พอที่จะไปนั่นเอง

ถ้า ไปได้ด้วยความอยากไปเท่านั้น โลกทั้งโลกใครจะไม่ทนรับความทุกข์ความลำบากที่เป็นอยู่นี้เลย แม้แต่สัตว์เขายังกลัวทุกข์ ทำไมมนุษย์ฉลาดกว่าเขาจึงจะไม่กลัวทุกข์ จะทนแบกหามทุกข์อยู่ทำไม? ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าทุกข์น่ะ สัตว์อยากพ้นจากทุกข์อย่างเต็มใจด้วยกัน ทำไมไม่พ้นไปเสีย? ทั้งนี้ก็เพราะกรรมยังมี วาสนาบารมียังไม่สมบูรณ์ สุดวิสัยที่จะไปได้ จึงยอมอยู่กันและเสวยทุกข์ตามที่ประสบ

        ยิ่งหลวงตาบัวซึ่งเป็นคลังแห่งกองทุกข์อย่างเต็มตัวเต็มใจอยู่แล้ว มีใครมากระซิบว่า โน่น! ความเกษมสำราญอยู่โน่นน่ะ มานอนกอดทุกข์อยู่ทำไม ไปซี!” จะโดดผางเดียวก็ถึงแดนเกษมน่ะ เอ้า! โดด ๆ ๆ เดี๋ยวนี้ จะถึงเดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นไปได้ดังที่ว่านี้ ขาขาดแขนขาดไปขณะที่โดดก็ขาดไปเถอะ ขรัวตาบัวต้องโดดผึงเลยอย่างไม่เสียดาย เพื่อไปเสวยความสุขให้บานใจหน่อยก็ยังดี ดีกว่านอนกอดทุกข์อยู่ตลอดภพชาติที่เต็มไปด้วยทุกข์ ไม่มีความสุขมาเยี่ยมเยียนบ้างเล้ย แต่นี่มันสุดวิสัย จึงยอมนั่งหาเหาเกาหมัดแบบคนสิ้นท่าอยู่อย่างนี้

ฉะนั้น ขอทุกท่านจงเห็นคุณค่าแห่งความเพียรเพื่อไปสู่แดนเกษม อย่าเอาเพียงความอยากไปมาหลอกล่อให้จมอยู่ในทุกข์เปล่า ธรรมท่านกล่าวไว้ว่า คนจะล่วงพ้นจากทุกข์ไปได้โดยลำดับๆ เพราะความเพียรพยายามเป็นหลักใหญ่ นี่ เป็นธรรมของพระพุทธเจ้าผู้พ้นจากความทุกข์เพราะความเพียร ไม่ใช่เพราะความอยากพ้นเฉยๆ และความท้อถอยอ่อนแอแย่ลงทุกวัน กระทั่งรับประทานอาหารก็นอนรับเพราะขี้เกียจลุก นี่ขำดี

เรา เป็นลูกศิษย์พระตถาคต เป็นพุทธบริษัท ท่านหมายถึงอะไร หมายถึงลูกเต้าเหล่ากอของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงพาเราดำเนินไปอย่างใด พระองค์ทรงดำเนินก้าวหน้า เราเดินถอยหลังมันจะเข้ากันได้ไหม? เราก็ต้องเดินก้าวหน้าไปด้วยความพากเพียรไม่ลดละท้อถอย จะช้าหรือเร็วก็ตาม ขอให้ความพยายามนั้นเป็นไปตามกำลังสติปัญญาความสามารถ อย่าละเว้นความเพียรเท่านั้น ก็เชื่อว่า เป็นลูกศิษย์ที่มีครูสอน ดำเนินตามครู วาสนาเราสร้างทุกวัน ทำไมจึงจะไม่เจริญก้าวหน้า พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนให้สร้างคุณงามความดีเพื่อเป็นอำนาจวาสนา ทำไมวาสนาจะไม่สนับสนุนเรา ความจริงตามธรรมแล้ว ธรรมเหล่านั้นต้องสนับสนุนอยู่โดยดี จงทำให้ยิ่งๆ ขึ้นไปโดยลำดับ ผลสุดท้ายก็เป็นไปได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้านั้นแล

ดัง ที่กล่าวเมื่อสักครู่นี้ว่า ทีแรกก็ยอมแพ้ไปก่อน สู้ไปแพ้ไป ๆ ต่อไปสู้ไปแพ้บ้างชนะบ้างสลับกันไป ทั้งแพ้ทั้งชนะมีสลับขั้นกันไป ทีเขาทีเรา ต่อไปทีเราชนะมากกว่าทีเขาชนะ ต่อไปทีเราชนะมากเข้า ๆ สุดท้ายมีแต่ทีเราชนะ!

กิเลส หมอบลงเรื่อยๆ นอกจากหมอบแล้ว เราฆ่ามันจนฉิบหายไปหมดไม่มีอะไรเหลือ เมื่อฆ่ากิเลสให้ตายแล้วไม่ต้องบอกเรื่องความพ้นทุกข์ ใจหากพ้นไปเอง เท่าที่หาความสุขอันพึงหวังไม่เจอ ก็เพราะกิเลสเป็นกำแพงขวางกั้นไว้นั่นเอง พอทำลายมันให้วอดวายไปแล้ว ความพ้นทุกข์ก็เจอเองไม่ต้องถามใคร!

        การ ที่สัตว์มาเกิดและทนทุกข์ทรมาน ก็เพราะมาอยู่ใต้อำนาจของกองกิเลสเท่านั้น ไม่มีเรื่องอื่นใดเลยเป็นสำคัญกว่าเรื่องกิเลสชนิดต่างๆ ซึ่งเป็นนายเหนือหัวสัตว์โลก เราจึงไม่ควรมองข้ามกิเลสว่าเป็นของเล็กน้อย เรื่องของกิเลสก็คือเรื่องกองทุกข์นั่นเอง มองให้ซึ้งๆ กิเลสอยู่ในใจของเรานี่แล มองให้เห็นกันที่นี่ ฝึกกันนี่ที่ แก้กันที่นี่ ฆ่ากันที่นี่ ตายกันที่นี่ ไม่ต้องเกิดกันก็ที่นี่แหละ! ที่สิ้นทุกข์ก็อยู่ที่นี่ไม่อยู่ที่อื่น

ขอ ให้พากันนำไปพินิจพิจารณา และบำเพ็ญคุณงามความดีให้มากเท่าที่จะมากได้ ไม่ต้องกลัวจะพ้นทุกข์เพราะความดีมีมาก นั่นคิดผิด กิเลสหลอกลวงอย่าเชื่อมัน เดี๋ยวจมจะว่าไม่บอก กิจการใดก็ตามที่จะให้เกิดความดี จะเกิดจากการให้ทานก็ตาม ศีลก็ตาม ภาวนาก็ตาม เป็นความดีด้วยกันทั้งนั้น รวมกันเข้าก็เป็นมหาสมบัติ เป็นเครื่องสนับสนุนจิตใจเราให้เป็นสุข เป็นสุขเรียกว่า สุคโตๆ อยู่ก็สุคโต ไปก็สุคโต ถ้าคนมีบุญ เพราะการสร้างบุญ ไม่มีอย่างอื่น มีอันนี้เป็นสำคัญของคนใจบุญ

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘
กำจัดกิเลสพ้นทุกข์

http://www.luangta.com

ผลแห่งทานที่เห็นได้ในปัจจุบัน

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สีหสูตร
[๕๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้พระนครเวสาลี ครั้งนั้นแล สีหเสนาบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจทรงบัญญัติผลแห่งทานที่ประจักษ์ในปัจจุบันได้หรือไม่ ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสีหะ ถ้าอย่างนั้น จักย้อนถามท่านในปัญหาข้อนี้ก่อน ท่านพึงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้นตามชอบใจท่าน ดูกรสีหะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนในเมืองเวสาลีนี้ มีบุรุษอยู่ ๒ คน คนหนึ่งไม่มีศรัทธาตระหนี่ ถี่เหนียว พูดเสียดสี คนหนึ่งมีศรัทธา เป็นทานบดี ยินดีให้ความสนับสนุน ดูกรสีหะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อจะอนุเคราะห์พึงอนุเคราะห์คนไหนก่อน จะเป็นคนไม่มีศรัทธาตระหนี่ ถี่เหนียวพูดเสียดสี หรือคนที่มีศรัทธา เป็นทานบดี ยินดีให้ความสนับสนุน ฯ
สี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนที่ไม่มีศรัทธา ตระหนี่ถี่เหนียว พูดเสียดสี พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่ออนุเคราะห์ จักอนุเคราะห์คนนั้นก่อนอย่างไรได้ ส่วนคนที่มีศรัทธา เป็นทานบดี ยินดีให้ความสนับสนุน พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่ออนุเคราะห์ พึงอนุเคราะห์คนนั้นก่อนเทียว ฯ

พ. ดูกรสีหะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อเข้าไป พึงเข้าไปหาใครก่อน จะเป็นคนที่ไม่มีศรัทธา ตระหนี่ถี่เหนียว พูดเสียดสี หรือคนที่มีศรัทธา เป็นทานบดี ยินดีให้ความสนับสนุน ฯ
สี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนที่ไม่มีศรัทธา ตระหนี่ถี่เหนียว พูดเสียดสี พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อเข้าไปหา จักเข้าไปหาคนนั้นก่อนอย่างไรได้ ส่วนคนที่มีศรัทธา เป็นทานบดี ยินดีให้ความสนับสนุน พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อเข้าไปหา พึงเข้าไปหาคนนั้นก่อนเทียว ฯ

พ. ดูกรสีหะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พระอรหันต์ทั้งหลาย เมื่อรับ พึงรับของใครก่อน จะเป็นคนที่ไม่มีศรัทธา ตระหนี่ถี่เหนียว พูดเสียดสี หรือคนที่มีศรัทธา เป็นทานบดี ยินดีให้ความสนับสนุน ฯ
สี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนที่ไม่มีศรัทธา ตระหนี่ถี่เหนียว พูดเสียดสี พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อรับ จักรับของคนนั้นก่อนอย่างไรได้ ส่วนคนที่มีศรัทธา เป็นทานบดี ยินดีให้ความสนับสนุน พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อรับ พึงรับของคนนั้นก่อนเทียว ฯ

พ. ดูกรสีหะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อแสดงธรรม พึงแสดงแก่คนไหนก่อน จะเป็นคนที่ไม่มีศรัทธา ตระหนี่ถี่เหนียว พูดเสียดสี หรือคนที่มีศรัทธา เป็นทานบดี ยินดีให้ความสนับสนุน ฯ
สี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนที่ไม่มีศรัทธา ตระหนี่ถี่เหนียว พูดเสียดสี พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อแสดงธรรม จักแสดงแก่คนนั้นก่อนอย่างไรได้ ส่วนคนที่มีศรัทธา เป็นทานบดี ยินดีให้ความสนับสนุน พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อแสดงธรรม พึงแสดงแก่คนนั้นก่อนเทียว ฯ

พ. ดูกรสีหะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน กิตติศัพท์อันงามของคนไหน พึงขจรไป จะเป็นคนที่ไม่มีศรัทธา ตระหนี่ถี่เหนียว พูดเสียดสี หรือคนที่มีศรัทธา เป็นทานบดียินดีให้ความสนับสนุน ฯ
สี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนที่ไม่มีศรัทธา ตระหนี่ถี่เหนียว พูดเสียดสี กิตติศัพท์อันงามของคนนั้น จักขจรไปได้อย่างไร ส่วนคนที่มีศรัทธา เป็นทานบดี ยินดีให้ความสนับสนุน กิตติศัพท์อันงามของคนนั้นเทียวพึงขจรไป ฯ

พ. ดูกรสีหะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คนไหนที่จะพึงเข้าไปสู่บริษัทใดๆ ก็ตาม เช่น กษัตริย์บริษัท พราหมณ์บริษัท คฤหบดีบริษัท สมณบริษัท พึงเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่เก้อเขิน เข้าไป จะเป็นคนที่ไม่มีศรัทธา ตระหนี่ถี่เหนียว พูดเสียดสี หรือคนที่มีศรัทธาเป็นทานบดี ยินดี ให้ความสนับสนุน ฯ
สี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนที่ไม่มีศรัทธา ตระหนี่ถี่เหนียว พูดเสียดสี จักเข้าไปสู่บริษัทใดๆ ก็ตาม เช่น กษัตริย์บริษัท พราหมณ์บริษัท คฤหบดีบริษัท สมณบริษัท จักเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่เก้อเขิน เข้าไปอย่างไรได้ ส่วนคนที่มีศรัทธา เป็นทานบดี ยินดีให้ความสนับสนุน เขาผู้นั้นพึงเข้าไปสู่บริษัทใดๆอก็ตาม เช่น กษัตริย์บริษัท พราหมณ์บริษัท คฤหบดีบริษัท สมณบริษัท พึงเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่เก้อเขิน เข้าไป ฯ

พ. ดูกรสีหะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คนไหนเมื่อตายไปจะพึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ จะเป็นคนที่ไม่มีศรัทธา ตระหนี่ถี่เหนียว พูดเสียดสีหรือคนที่มีศรัทธา เป็นทานบดียินดีให้ความสนับสนุน ฯ
สี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนที่ไม่มีศรัทธา ตระหนี่ถี่เหนียว พูดเสียดสี เมื่อตายไป จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์อย่างไรได้ ส่วนคนที่มีศรัทธา เป็นทานบดี ยินดีให้ความสนับสนุน เมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในผลแห่งทาน ๖ ประการ ที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน อันพระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว ข้าพระองค์มิได้ดำเนินไปด้วยความเชื่อต่อพระผู้มีพระภาค แม้ข้าพระองค์เองก็รู้ผลแห่งทานเหล่านี้ ข้าพระองค์เป็นทายก เป็นทานบดี พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่ออนุเคราะห์ ย่อมอนุเคราะห์ข้าพระองค์ก่อน เมื่อเข้าไปหาย่อมเข้าไปหาข้าพระองค์ก่อน เมื่อรับ ย่อมรับของข้าพระองค์ก่อน เมื่อแสดงธรรมย่อมแสดงแก่ข้าพระองค์ก่อน กิตติศัพท์อันงามของข้าพระองค์ขจรไปแล้วว่า สีหเสนาบดีเป็นทายก เป็นการกบุคคล เป็นผู้อุปัฏฐากพระสงฆ์ ข้าพระองค์ผู้เป็นทายก เป็นทานบดี เข้าไปสู่บริษัทใดๆ ก็ตาม เช่น กษัตริย์บริษัท พราหมณ์บริษัท คฤหบดีบริษัท สมณบริษัท ย่อมเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่เก้อเขินเข้าไปข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในผลแห่งทาน ๖ ประการที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน อันพระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว ข้าพระองค์มิได้ดำเนินไปด้วยความเชื่อต่อพระผู้มีพระภาคแม้ข้าพระองค์เอง ก็รู้ผลแห่งทานเหล่านี้ แต่พระผู้มีพระภาคตรัสผลแห่งทานใดกะข้าพระองค์อย่างนี้ว่า ดูกรสีหะ ทายก ทานบดี เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ข้าพระองค์ยังไม่รู้ผลแห่งทานนั้น และในผลแห่งทานข้อนี้ ข้าพระองค์ขอดำเนินไปด้วยความเชื่อต่อพระผู้มีพระภาค ฯ

พ. อย่างนั้น สีหะ อย่างนั้น สีหะ ดูกรสีหะ ทายก ทานบดี เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ
จบสูตรที่ ๔

พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๖๘

ศีลที่เป็นกุศลย่อมถึงอรหัต

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กิมัตถิยสูตร
[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้วได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ศีลที่เป็นกุศลมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอานนท์ศีลที่เป็นกุศล มีอวิปปฏิสารเป็นผล มีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์ ฯ
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็อวิปปฏิสารมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ อวิปปฏิสารมีปราโมทย์เป็นผล มีปราโมทย์เป็นอานิสงส์ ฯ
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ปราโมทย์มีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ ปราโมทย์มีปีติเป็นผล มีปีติเป็นอานิสงส์ ฯ
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ปีติมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ ปีติมีปัสสัทธิเป็นผล มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์ ฯ
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ปัสสัทธิมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ ปัสสัทธิมีสุขเป็นผล มีสุขเป็นอานิสงส์ ฯ
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็สุขมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ สุขมีสมาธิเป็นผล มีสมาธิเป็นอานิสงส์ ฯ
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็สมาธิมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะเป็นผล มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ฯ
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ยถาภูตญาณทัสสนะมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ ยถาภูตญาณทัสสนะมีนิพพิทาวิราคะเป็นผล มีนิพพิทาวิราคะเป็นอานิสงส์ ฯ
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็นิพพิทาวิราคะมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ นิพพิทาวิราคะมีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผล มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ดูกรอานนท์ ศีลที่เป็นกุศล มีอวิปปฏิสารเป็นผล มีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์ อวิปปฏิสารมีปราโมทย์เป็นผล มีความปราโมทย์เป็นอานิสงส์  ความปราโมทย์มีปีติเป็นผล  มีปีติเป็นอานิสงส์ ปีติมีปัสสัทธิเป็นผล มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์ ปัสสัทธิมีสุขเป็นผล มีสุขเป็นอานิสงส์ สุขมีสมาธิเป็นผล มีสมาธิเป็นอานิสงส์ สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะเป็นผล มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ยถาภูตญาณทัสสนะ มีนิพพิทาวิราคะเป็นผล มีนิพพิทาวิราคะเป็นอานิสงส์ นิพพิทาวิราคะมีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผล มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ด้วยประการดังนี้ ดูกรอานนท์ ศีลที่เป็นกุศลย่อมถึงอรหัตโดยลำดับด้วยประการดังนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๑

พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๔ หน้าที่ ๑

ทรัพย์คือ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธนสูตรที่ ๒
[๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทรัพย์ ๗ ประการนี้ ๗ ประการเป็นไฉน คือ ทรัพย์คือ ศรัทธา ๑ ศีล ๑ หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ สุตะ ๑ จาคะ ๑ ปัญญา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือศรัทธาเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศรัทธา คือ เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ฯลฯ เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม นี้เรียกว่า ทรัพย์คือศรัทธา ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือศีลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้เว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ จากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท นี้เรียกว่า ทรัพย์คือศีล ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือหิริเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีความละอาย คือ ละอายต่อกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตละอายต่อการถูกต้องอกุศลธรรมอันลามก นี้เรียกว่า ทรัพย์คือหิริ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือโอตตัปปะเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีความสะดุ้งกลัว คือ สะดุ้งกลัวต่อกายทุจริตวจีทุจริต มโนทุจริต สะดุ้งกลัวต่อการถูกต้องอกุศลธรรมอันลามก นี้เรียกว่าทรัพย์คือโอตตัปปะ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือสุตะเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นพหูสูต ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้สดับมามาก ทรงไว้คล่องปาก ขึ้นใจแทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลาย อันงามในเบื้องต้นงามในท่ามกลาง งามในที่สุดประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง นี้เรียกว่า ทรัพย์คือสุตะ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือจาคะเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีใจอันปราศจากมลทิน คือ ความตระหนี่ อยู่ครองเรือน มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ ควรแก่การขอยินดีในทานและการจำแนกทาน นี้เรียกว่าทรัพย์คือจาคะ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือปัญญาเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีปัญญา คือ ประกอบด้วยปัญญาที่กำหนดความเกิดและความดับ เป็นอริยะชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ นี้เรียกว่าทรัพย์คือปัญญา ดูกรภิกษุทั้งหลายทรัพย์ ๗ ประการนี้แล ฯ ทรัพย์ คือ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ และปัญญาเป็นที่ ๗ ทรัพย์เหล่านี้มีแก่ผู้ใด เป็นหญิงหรือชายก็ตาม บัณฑิตเรียกผู้นั้นว่า เป็นผู้ไม่ยากจน ชีวิตของผู้นั้นไม่เปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้น ท่านผู้มีปัญญา เมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงประกอบศรัทธาศีล ความเลื่อมใส และการเห็นธรรม ฯ

จบสูตรที่ ๖
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๕