ประเพณีของพระอริยเจ้าทั้งหลายและการครองผ้า

ก่อนจังหัน

สี ผ้าพระกรรมฐานเรารู้สึกว่านิ่มนวลตา สีผ้าแก่นขนุน สีกรัก มีตามพระบาลีมาดั้งเดิม อันนี้ก็เป็นโอกาสอันหนึ่งที่เราจะแยกออกมาพูด หลวงปู่มั่นท่านพิจารณาเรื่องประเพณีของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านดำเนินอย่างไร การครองผ้า ท่านบอกว่าเป็นสีแก่นขนุน สีกรัก เราก็สอดเข้าไปว่า สีเหลืองธรรมดานี้มีไหม ไอ้สีเจ้าชู้ สีขุนนาง มันจะมีในพระพุทธเจ้าได้ยังไง ท่านว่า สีเจ้าชู้ สีขุนนาง ฟังซิท่านพูด สีผ้าเหลืองๆ นั่นละท่านบอกว่าสีเจ้าชู้ สีพระขุนนาง มันจะมีในพระพุทธเจ้าได้ยังไง พื้นฐานจริงๆ คือสีแก่นขนุน ท่านพิจารณาเรียบร้อยนะ อย่างนั้นละหลวงปู่มั่น ของเล่นเมื่อไร

คือ แต่ก่อนท่านปรารถนาพุทธภูมิ ทีนี้พอจิตจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร พุทธภูมิจะปรากฏเข้ามาๆ จะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร พุทธภูมิจะปรากฏเข้ามา ทีนี้เราก็อยากจะพ้นจากทุกข์เป็นกำลัง ท่านว่างั้นนะ ความปรารถนาพุทธภูมินี้ยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์นะ ที่พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตามทรงทำนายไว้แล้วว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ แล้วแก้ไม่ตก เรียกว่าตายตัวเลย อันนี้ท่านก็บอกว่า เราถึงจะได้เป็นพระพุทธเจ้ากับเป็นสาวก ความพ้นทุกข์ก็พอๆ กัน ส่วนความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นพระอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารของท่านที่เกี่ยวกับ สัตว์โลก เราได้แค่นี้ก็เอาแหละ คือเอาตัวของเราพ้น เลยพลิก ท่านบอกว่า ขอถอนคำอธิษฐานจากพุทธภูมิ จากความเป็นพระพุทธเจ้ามาเป็นพระสาวกภูมิ เป็นสาวกธรรมดา

พอ ท่านพลิกคำอธิษฐาน รู้สึกใจมันลดฮวบลง ภาระ ว่างั้นนะ ตั้งแต่นั้นมาพิจารณาจิตเข้าผึงๆ ไปได้เลย นั่น นี่ท่านเล่าให้ฟัง เพราะฉะนั้นนิสัยพุทธภูมิท่านจึงติดมา ท่านพิจารณาอะไรนี้ละเอียดลออมาก ท่านพูดไปถึงเรื่องประเพณีของพระอริยเจ้าทั้งหลายและการครองผ้า เฉพาะการครองผ้าท่านบอกว่ามีแต่สีแก่นขนุนทั้งนั้น เป็นสามขั้น สีแก่นขนุนอ่อน แก่นขนุนปานกลาง สีแก่นขนุนแก่ ท่านว่าอย่างนี้นะ นี่ละเป็นเหตุที่จะให้เราเรียนถามท่านสีนั้นสีนี้ ว่าสีเหลืองนี้มีไหม สีเหลืองธรรมดาที่ใช้อย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้มีไหม ท่านว่าสีพระเจ้าชู้ สีขุนนาง มันจะมีในพระพุทธเจ้าได้ยังไง ท่านไม่ได้ตอบว่ามีหรือไม่มี บอกอย่างนั้นก็เท่ากับปฏิเสธไปแล้ว

แปลก ที่ว่า สีเจ้าชู้ สีขุนนาง พระเจ้าชู้ พระขุนนาง ฟังซิน่ะ ก็ท่านพูดตรงๆ ตามการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว บอกว่าไม่มี นั่นเห็นไหมล่ะ ดูสีผ้าพระเรานี้ก็น่าดูแล้ว ให้พากันสำเหนียกศึกษานำไปปฏิบัติเป็นอรรถเป็นธรรม อย่าเอาแต่กิเลสตัณหาเข้ามาพอกพูน ลากจูงกันไปๆ ดังที่พูดเหล่านี้ เดี๋ยวนี้มันมักจะเป็นอย่างนั้น อย่างน้อยมาเป็นพระเจ้าชู้ พระขุนนาง มากกว่านั้นเป็นพระเทวทัตทำลายศาสนาของตัวเอง ทำลายพระพุทธเจ้า เวลานี้กำลังเต็มอยู่ในกรุงสยามของเรานี้ ให้ท่านทั้งหลายพิจารณาทุกคนๆ

การ มาอบรมศึกษา ตามี หูมีให้ดู ใจให้คิด ให้ได้ประโยชน์ เช่นอย่างมาสถานที่นี่เป็นยังไง ให้คิดให้อ่าน ตาดู หูฟัง ใจนำไปคิด นั่นละเรียกว่ามาหาผลประโยชน์ อย่าสักแต่ว่ามาๆ แล้วก็เอาไปจับจ่ายขายกิน แล้วยกหลวงตาบัวขึ้นว่า มาจากสำนักหลวงตาบัว แพรวพราวอะไร ใครอยากทดลองเครื่องก็มา มันจะเป็นอย่างนั้นนะ มันมาหาอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้ มันน่าทุเรศนะ กิเลสนี้เหยียบหัวไปตลอด ไปที่ไหนธรรมจะออกลำบากนะ แม้ในพระกรรมฐานเรานี้ก็เหมือนกัน กิเลสจูงหน้าจูงหลัง ธรรมไม่ได้จูงนะส่วนมาก พิจารณาให้ดีนะ

เทศน์ เป็นคติของวงกรรมฐาน ให้ดูทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ปฏิบัติมานี้ก็คือท่านปฏิบัติตามอริยประเพณี อย่างปัจจุบันนี้ก็มีหลวงปู่มั่นพาดำเนินพาปฏิบัติ อย่างที่ว่าสีผ้านี่ก็เหมือนกัน ท่านครองผ้าสีขนาดกลาง ไม่ใช่สีกรักแก่ อ่อน ท่านใช้สีกลางๆ  นี่ละสีครั้ง พุทธกาลท่านว่าอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ท่านพิจารณาอะไรนี้ผิดที่ไหนๆ พ่อแม่ครูจารย์มั่น เมื่อปฏิบัติจริงๆ ก็รู้ได้จริงๆ เห็นจริงๆ อย่างนี้แหละ

ธรรม พระพุทธเจ้าเวลานี้เท่ากับน้ำในสระ เต็มสระอยู่ แต่มีตั้งแต่จอกแต่แหน คือกิเลสปกคลุมหุ้มห่อสระ มองลงไปไม่เห็นน้ำเลย เห็นแต่จอกแต่แหนเต็มสระ ใครมองไปเห็นแต่จอกแหนก็ว่าน้ำไม่มีๆ อันนี้มองไปไหนชาวพุทธเรานี้ เห็นแต่เรื่องกิเลสตัณหา เห็นแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความคึกความคะนอง ดีดดิ้นไปทุกแห่งทุกหน นี่คือพวกจอกพวกแหน ธรรมที่แท้คือการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อมรรคผลนิพพานนั้นจะไม่มี นี่ละเรียกว่าน้ำในสระธรรม แท้อยู่ในหัวใจเรานี้ ถูกกิเลสตัณหาครอบไว้หมด ทีนี้กิริยาแสดงออกก็มีแต่เรื่องกิเลสตัณหาไปหมด เรื่องธรรมเลยไม่มีนะ ให้พากันจำเอา

ศาสนธรรม ของพระพุทธเจ้านี้คงเส้นคงวาหนาแน่น ผลก็เหมือนน้ำในสระสะอาดไม่มีอะไรเสมอเหมือนเลย แต่ถูกจอกแหนปกคลุมเอาไว้มองหาน้ำไม่เห็น ธรรมในหัวใจมีอยู่แต่ถูกกิเลสตัณหาปกคลุมลากเข็นไปหมด ให้พากันขนจอกขนแหน คือกิเลสตัณหาภายในใจนี้ออกด้วยการประกอบความพากเพียรชำระจิตใจ คำว่าชำระจิตใจก็คือชำระจอกแหนคือกิเลสนี้ละออกจากใจ เราจะได้ทรงมรรคทรงผล และมีความสง่างามขึ้นภายในใจของเรา ใจของทุกสัตว์โลกนั่นแหละ เลวได้ ดีได้ เลวสุดได้ ดีสุดได้ ขึ้นอยู่กับผู้เป็นเจ้าของจะพอกพูนในทางที่เลว หรือจะสั่งสมในความดีก็เป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง ให้พากันนำไปประพฤติปฏิบัติ

พระ มาแต่ละครั้งๆ ให้มาศึกษา ให้มาดู แบบแผนตำรับตำรามีในคัมภีร์ เมื่อไม่มีผู้นำออกมาปฏิบัติก็ยึดก็จับได้ยาก นี่ก็มีท่านนำออกมาปฏิบัติให้รู้อย่างเปิดเผย ก็เป็นสักขีพยานแก่ใจของเรา เราก็ได้ปฏิบัติด้วยความมั่นใจ ท่านทั้งหลายมาที่นี่ก็ให้ได้ไปปฏิบัติด้วยความมั่นใจจากการสำเหนียกศึกษา จากครูอาจารย์ไปเรียบร้อยแล้ว ให้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ ให้มองดูธรรม อย่ามองดูตั้งแต่กิเลส วิ่งตามกิเลส ให้มองดูธรรม ผิดถูกชั่วดีประการใดให้ดูความเคลื่อนไหวของใจก่อน ออกจากนั้นก็มากิริยาอาการ ถ้าใจไม่ดี กิริยาก็เหลวไหลๆ ถ้าใจดีแล้วกิริยาออกมาก็งามตานี่ ละธรรมฝังอยู่ที่ใจ สติธรรม ปัญญาธรรม และสังวรธรรม คือความสำรวมระวังตลอดเวลา นี้คือผู้รักษาตนด้วย เป็นผู้เสาะแสวงหาอรรถหาธรรมอย่างแท้จริงด้วย พากันจำเอานะ เอาละให้พร

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
http://www.luangta.com

ใส่ความเห็น