สำนักวัดทองแอ๋ของผม เคยเป็นสำนักวิปัสสนาที่มีคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาก่อน สมภารหลายรูป โดยเฉพาะ เจ้าคุณกสิณสังวร มีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนามาก เรียกว่าเป็นเกจิอาจารย์ขลังว่างั้นเถอะ ขนาดเจ้าสัวศิษย์ไปค้าขายทางทะเล เรือแตกจะอับปาง ท่านรู้ด้วยญาณ สั่งให้พระสงฆ์ที่นั่งสวดมนต์ทำวัตรอยู่ ช่วยกันอุดเรือ บอกพลางท่านก็ม้วนสังฆาฏิเป็นก้อนกลมๆ ทำคล้ายอุดช่องอะไรสักอย่าง พลางพูดว่า “เออ ค่อยยังชั่ว พ้นแล้วๆ”
พระลูกวัดตาค้างไปตามๆ กัน ไม่รู้ว่าสมภารท่านทำอะไร ทุกอย่างมาแจ่มแจ้งเมื่อเจ้าสัวลูกศิษย์กลับมาแล้ว นี้คือสาเหตุว่าทำไมวัดทองแอ๋ของผมจึงมี “สำเภา” เก่าแก่ไว้ที่ลานวัด เจ้าสัวแกสร้างไว้เป็นอนุสรณ์เหตุการณ์ครั้งนั้น เรื่องนี้เล่าไว้ในที่อื่นแล้ว ไม่ขอฉายหนังซ้ำ
หลังจากยุควิปัสสนาก็เสื่อมโทรมมาระยะหนึ่ง พระสงฆ์ไม่ค่อยสนใจปฏิบัติธรรม ทั้งการปริยัติธรรมก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจ พวกบวชมาก็มีแต่หลวงตา บวชเพื่ออาศัยพระศาสนามากกว่าให้พระศาสนาอาศัย บ้างก็ตั้งตัวเป็นนักเลง สวดตลกคะนอง สมัยนั้นเป็นที่แพร่หลายกันทั่วไป จะว่าไปแล้วไม่ใช่เฉพาะที่วัดทองนพคุณของผม
นัยว่ายาดองนกเขาคู่ ตำรับนายนรินทร์ กลึง มีแพร่หลายกันทั่วไป พระเจ้าท่านก็รินใส่กาน้ำชา สวดศพไปฉันไป จากเสียงที่ไพเราะตอนต้นๆ กลายเป็นสวดทำนองลิ้นไก่สั้นไปในที่สุด เพราะล่อ เอ๊ย ฉันน้ำชานกเขาคู่หนักไปหน่อย
บ้างก็บำเพ็ญตนเป็นพระนักเลง ใครพูดไม่ถูกหูก็ดักตีศีรษะก็มี มีเจ้ากูหัวไม้กันหลายรูป สมญาวัดภาษาจีนว่า “วัดทองเอ๋” (เอ๋ แปลว่า ล่าง) ก็กลายเป็น “วัดทองแอ๋” มาแต่บัดนั้น
ผมมันพวก ท.ป.ล. “ไทยปนลาว” ไม่รู้ภาษาจีนดอก หลวงพ่อพระธรรมเจดีย์เล่าให้ฟัง เมื่อระดับครูบาอาจารย์ที่มีเชื้อจีนเล่าให้ฟัง ก็แน่ใจว่าไม่ผิด หน้าที่ของศิษย์ที่ดีก็คือจำมาขยายต่อเป็นวิทยาทาน ว่างั้นเถอะ !
เข้าใจว่าพระหลวงตาที่ตั้งก๊กตั้งเหล่าก็คงตั้งกันไป แต่พระที่ท่านตั้งใจปฏิบัติกิจพระศาสนา สร้างชื่อเสียงให้แก่วัดก็มี พระที่มีฝีมือทางช่างเลื่องลือมากก็มี เช่น ท่านเจ้าคุณกสิณสังวร ผู้เขียนจิตรกรรมผนังโบสถ์อันลือเลื่อง นัยว่าเป็นศิษย์ร่วมสำนักขรัวอินโข่ง
บรรยากาศคงเป็นไปในรูปนี้กระมังครับ พระที่เป็นนักเลงตั้งก๊กตั้งเหล่าก็ทำไป ส่วนท่านที่ใฝ่ใจปฏิบัติการพระศาสนาก็ทำไป พระที่สนใจในการช่าง ไม่ว่าจะเป็นช่างไม้ ช่างปูน กระทั่งเลี้ยงกล้วยไม้ เลี้ยงนกเขาก็ว่ากันไปตามถนัด ว่าไปทำไมมี เมื่อผมมาอยู่ใหม่ๆ ชานกุฏิคณะ 3 ที่หลวงพ่อผมและท่านเจ้าคุณภัทรอยู่นั้น เต็มไปด้วยกล้วยไม้พันธุ์ดีๆ หลายกระถาง ถามไถ่ได้ความว่า หลวงพ่อพระธรรมเจดีย์ท่านเลี้ยงไว้แก้เซ็ง สมัยท่านเป็นโรค “ประสาท” ตอนผมมาอยู่ใหม่ๆ นั้น ท่านกำลังจะเลิกหมดแล้ว
สมัยผมเป็นเณรมาอยู่วัดนี้ ก็เป็นปลายสมัยนักเลงหัวไม้ สิ้นสุดอิทธิพลแล้ว ด้วยบารมีของ “หลวงพ่อใหญ่” ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม พุทธสโร) ส่งมาครองวัด ตั้งแต่สมัยท่านใหญ่เป็นพระครูสังฆรักษ์ของสมเด็จฯ อาศัยความเก่งกาจในด้านบริหาร ท่านใหญ่สามารถปราบก๊กต่างๆ หมดสิ้น เหลือเพียงก๊กเดียว
คือ “ก๊กท่านใหญ่” ว่าอย่างนั้นเถิด
ในยุคเปลี่ยนผ่านนี้ ผมยังได้สัมผัสกับก๊กอีกแบบหนึ่ง คือ ก๊กพระสวดศพ คราวนี้ไม่ใช่ก๊กพระนักเลง แต่เป็นกลุ่มพระที่จับมือกันสวดสังคหะ เป็นกลุ่มที่ผูกขาดในเรื่องการสวดศพ มีชื่อเรียกตามลำดับว่า “หน้าสังฆ์ หลังส่ง” หรือ “ส่งหลัง สังฆ์หน้า” (คือขึ้นต้นด้วยพระครูสังฆรักษ์ และลงท้ายด้วย พระบุญส่ง)
ก่อนยุคหน้าสังฆ์หลังส่ง หลวงพ่อพระธรรมเจดีย์เล่าให้ฟังว่า มีกลุ่ม “เสริม เสียน เรียน ราญ” (ชื่อเต็มว่าอย่างไร มาไม่ทัน จำไม่ได้) แสดงว่า กิจการเผาศพนี้ตกอยู่ในมือของพระบางกลุ่ม ผูกขาดผลประโยชน์ในกลุ่มของตนเท่านั้น คงเป็นธรรมดาในวัดทั่วไปกระมัง
ยุคท่านใหญ่นี้ ท่านเน้นการศึกษาพระปริยัติธรรมเป็นหลัก โดยคหปตานีคู่บุญของวัดคือ ท่านล้อม เหมะชะญาติ อุปถัมภ์ นิมนต์พระมหาเปรียญมาช่วยสอน เช่น พระมหาป่วน (ต่อมาคือหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์) พระเณรก็ใส่ใจศึกษาภาษาบาลีกันมากขึ้น ช่วงแรกๆ ไม่ค่อยมีครูสอน ก็ข้ามน้ำไปเรียนยังสำนักวัดเทพศิรินทร์บ้าง สำนักอื่นบ้าง ดังพระมหาอิ๋น ภทฺรมุนี (ต่อมาเจ้าคุณพระภัทรมุนี) ก็เป็นศิษย์วัดนี้ จนสอบได้เปรียญ 9 ประโยค แต่เมื่อสอบได้แล้วก็มิได้เปิดสอนพระเณร เนื่องจากท่านมีชื่อเสียงทางโหราศาสตร์ เป็นโหรดังเสียแล้ว เลยไม่มีเวลา
จนกระทั่งพระมหากี มารชิโน (พระธรรมเจดีย์) สอบได้เปรียญ 9 ประโยคนั่นแหละ ท่านได้เปิดสอนบาลีอย่างเอาเป็นเอาตาย เรียกอย่างนั้นเลย เพราะท่านอุทิศชีวิต อุทิศวันเวลาตั้งแต่เช้ายันค่ำ ยันดึก ให้แก่การสอนบาลีชั้นสูง ตั้งแต่เปรียญ 5-9 ประโยค สอนรูปเดียวจริงๆ ไม่มีใครช่วย วันๆ ท่านก็สอนๆ วันละสามสี่ชั้น งดกิจนิมนต์อื่นๆ หมด สอนหนังสืออย่างเดียว
เริ่มจากตั้งโต๊ะเรียนที่กุฏิคณะ 3 เรียนกันสี่ห้ารูป แล้วก็ขยายเป็นสิบ ยี่สิบ ส่งเข้าสอบ ปรากฏว่าสอบได้เกือบทั้งหมด ทำให้ชื่อเสียงว่าเป็นครูอาจารย์ที่มีฝีมือในการสอนเป็นเลิศ เพียงสองสามปีชื่อเสียงก็กระฉ่อนไปทั่วราชอาณาจักร มีพระเดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์เรียนบาลีกันมากมาย ผมมาในยุคที่การเรียนบาลีรุ่งเรืองแล้ว ได้รู้จักกับพระลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ตั้งแต่รุ่นแรกเป็นต้นมา ศิษย์เปรียญเก้ารุ่นแรก บ้างก็สึกหาลาเพศ บ้างก็ครองสมณเพศสืบมา เจริญก้าวหน้าในยศศักดิ์ เป็นพระเถระผู้ใหญ่ระดับมหาเถรสมาคม เป็นสมเด็จพระราชาคณะหลายรูป มรณภาพไปแล้วก็หลายรูป
ตั้งใจจะปูแบ๊คกราวด์สั้นๆ แต่ยังไม่เข้าเรื่องก็จะหมดหน้ากระดาษแล้ว (ฮา) ขอเข้าเรื่องก็แล้วกัน วันหนึ่ง ท่านขุนอาณัตินาวาการ มาถามว่า มีพระรูปใดอยากเรียนกรรมฐานบ้าง ท่านจะสอนให้ ผมเห็นว่าเข้าทีดี เรามัวแต่แปลบาลี อยากมีประสบการณ์ด้านปฏิบัติธรรมบ้าง จึงกราบเรียนขออนุญาตหลวงพ่อ เมื่อได้รับอนุญาตก็ชักชวนพระใหม่อื่นๆ มาฝึกกรรมฐานด้วย โชคดีที่ผมสามารถชักชวนหลวงพ่อเจ้าคุณปริยัติฯ มาฝึกด้วย
ท่านขุนก็พาเราไปนั่งในห้องพระ ปิดประตูหน้าต่าง เปิดเพียงพัดลม ดับไฟ จุดเทียนหน้าพระพุทธรูป แสงเทียนสะท้อนสีเหลืองอร่ามของพระพุทธรูปสวยงามมาก ให้พวกเรานั่งขัดสมาธิ หลับตาสักพัก แล้วให้ลืมต้องจ้องพระพุทธรูป แล้วให้หลับตา ลืม-จ้อง-หลับตา อย่างนี้สักระยะหนึ่ง พลางกล่าวนำด้วยเสียงเบาๆ แต่มีพลังมาก สั่งให้จ้องพระจนแน่ใจว่าจำได้แล้ว คราวนี้ให้หลับตาโดยไม่ลืมอีกต่อไป
ผมทำตามท่านขุนบอก ภาพพระพุทธรูปสีเหลืองอร่ามปรากฏต่อหน้าไม่หายไปไหนเลย เสียงท่านขุนว่า “เห็นชัดหรือยัง” เราก็บอกว่าชัดแล้ว “อ้าว คราวนี้ให้ขยายให้ใหญ่ขึ้น…ย่อให้เล็กลง…อัญเชิญมาประดิษฐานบนบ่า ซ้าย…ย้ายไปบ่าขวา…แล้วอัญเชิญมาประดิษฐานเหนือสะดือสองนิ้ว…” ท่านจะสั่งอย่างนี้ด้วยเสียงเนิบๆ ประหนึ่งแว่วมาจากที่ไกล เมื่อพอสมควรแก่เวลาแล้ว ท่านก็สั่งให้ถอนออกจากสมาธิ
พวกเรา “อิน” กับประสบการณ์ทางจิต ที่นำโดยคุณหลวง หารู้ไม่ว่านั่นคือการฝึกกรรมฐานแบบ “กึ่งสะกดจิต” วันดีคืนดีคุณหลวงท่านก็พาไปนรก-สวรรค์ อ้อ ก่อนไปนรก-สวรรค์ ท่านพาไปสนามหลวงก่อน ท่านให้ดูพระเครื่ององค์หนึ่งที่ท่านเช่ามาว่าแท้หรือไม่ (โดยอธิบายว่าถ้าแท้จะมีรังสีออกมา) วันนั้นเราไปสนามหลวงตามคำสั่งของครู พอท่านถามว่า “ถึงยัง” ภาพสนามหลวงก็ปรากฏดังกับไปด้วยตัวเอง พอศิษย์ร้องพร้อมกันว่า “ถึงแล้ว” เท่านั้น ภาพแผงพระวางเรียงราย บ้างก็แบกะดินบนทางเท้าที่ทอดยาวไปยังท่าพระจันทร์
เห็นคุณหลวงเดินไปหยิบพระเครื่ององค์หนึ่งขึ้นมา แล้วก็ควักเงินให้คนขาย เสียงถามแว่วมาว่า “เห็นพระหรือยัง” ใครคนหนึ่งตอบว่า เห็นแล้ว “มีรัศมีไหม” พระรูปเดียวตอบว่า มี “อ้าว ถ้าเช่นนั้นถอนจิตออกมาได้” แล้วภาพสนามหลวงก็หายวับไป
พระใหม่รูปหนึ่งกลับช้ากว่าคนอื่น ถามคุณหลวงว่า “พระองค์นี้สามสิบบาทใช่ไหม” คุณหลวงว่า ไม่ใช่ ผมเช่ามาห้าสิบบาท พระรูปนั้นกล่าวว่า “เอ๊ะ อาตมาได้ยินคุณหลวงพูดว่า สามสิบนะ สามสิบ” คุณหลงรับว่า ใช่ ท่านพูดเช่นนั้น แต่คนขายเขาไม่ยอม
วันหลังเราก็ไปนรก-สวรรค์ตามคำชวนของคุณหลวง ภาพ นรก ภาพสวรรค์ ปรากฏจริงตามที่เรารับทราบจากคัมภีร์พระศาสนาไม่ผิดเพี้ยน สัตว์นรกถูกทรมาน บ้างก็ถูกกรอกปากด้วยน้ำทองแดง บ้างก็ถูกยมบาลไล่ให้ปีนต้นงิ้วอย่างน่าขนลุกขนพอง จะว่าฝันก็มิใช่ เพราะเราทั้งหมดก็รู้ตัวว่ากำลังนั่งเข้าสมาธิอยู่
พูดตามตรง ผมรู้สึกประทับใจในประสบการณ์ทางจิตที่ไม่เคยประสบมาก่อน เรียกว่า “ติด” ก็ไม่ผิด ว่างเมื่อไรก็นั่งเข้าสมาธิตามแบบคุณหลวง ท่องเที่ยวนรก-สวรรค์สบายอารมณ์ไปเลย นึกครึ้มๆ ว่า “ข้าได้สำเร็จแล้ว” ระดับใดระดับหนึ่ง ไปโน่น !
ไปเล่าให้หลวงพ่อพระธรรมเจดีย์ฟัง ท่านก็ดุเอาว่า “กรรมฐานอะไรของเอ็ง พาไปนรกสวรรค์ สมถกรรมฐาน จุดประสงค์ระงับกิเลสได้ชั่วคราว วิปัสสนากรรมฐาน จุดประสงค์ให้รู้แจ้งสภาวธรรมตามเป็นจริง การนั่งกรรมฐานเพื่อจุดประสงค์อย่างอื่นล้วนนอกทางทั้งนั้น นี่เรียนปริยัติมาจนจบประโยค 9 ยังถูกตาแก่ที่ไหนจูงเข้ารกเข้าพงจนได้”
เสียงหลวงพ่อเข้ม ไม่เคยเป็นมาก่อน จนผมสะดุ้ง วันหลังลองนั่งเพื่อไปเที่ยวนรก-สวรรค์อีกบ้าง พยายามอย่างไรก็ไม่เห็นภาพดังที่เคยเห็นอีกเลย
สำนักวัดทองนพคุณ
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16062
You must be logged in to post a comment.