ฐานของจิต

คราว นี้พูดถึงเรื่องสตินะ ให้เป็นคติตัวอย่างแก่ผู้จริงจัง จะได้อย่างว่าไม่สงสัย พอทบทวนเหตุผลต้นปลายว่าขาดคำบริกรรม สติเราจะเผลอตรงนี้เองจิตถึงได้เสื่อม ตั้งหน้าตั้งตาพยายามขนาดไหนมันก็เสื่อมจนได้ พอไปถึงขั้นนั้นแล้วอยู่ได้สองคืนสามคืนเสื่อมต่อหน้าต่อตาเป็นประจำ พอทดสอบแล้วก็มาได้ความที่ขาดคำบริกรรม สติอาจเผลอตรงนั้นก็ได้ ทีนี้เราจะนำคำบริกรรมเข้ามาตั้งฐานใหม่ มันเสื่อมมันเจริญทีนี้ปล่อยละไม่เอา เราทุกข์มาพอแล้ว มันเจริญขึ้นมาไม่อยากให้เสื่อมนี้ก็ทุกข์ เสื่อมลงไปต่อหน้าต่อตาก็เป็นทุกข์ ทีนี้ไม่เอาทั้งสองอย่าง จะเอาคำบริกรรม

เรา มันนิสัยชอบพุทโธมาดั้งเดิม กับพุทโธติดแนบเลย เอาละที่นี่เราจะเอาคำบริกรรมพุทโธติดแนบกับจิต สติจะเผลอไปไม่ได้ว่างั้นเลย เอ้า มันจะเสื่อมตรงไหนให้รู้ตรงนี้ เสื่อมให้เสื่อมไป เจริญให้เจริญไป เราเคยมาแล้วเหล่านี้เราไม่สนใจกับมัน จะสนใจในจุดนี้จุดเดียว คือคำบริกรรมพุทโธๆ ลงใจแล้วที่นี่ อย่างไรก็นี่ละเราบกพร่องตรงนี้ ทีนี้จะเอาตรงนี้ให้เห็นเหตุเห็นผลกัน

ทำ จริงๆ นะไม่ได้ทำเล่น เหมือนกับว่านักมวยจะต่อยกัน พอระฆังดังเป๋งก็ซัดกันเลย อันนี้พอลงใจทุกอย่าง เอาละที่นี่นะ มีพุทโธคำบริกรรมนี้กับสติติดแนบกันอยู่กับจิตนี้ มันจะเสื่อมไปไหน ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเป็นอันว่าลงใจละนะ เหมือนว่าระฆังดังเป๋ง เอานะที่นี่ สติจับปุ๊บเลยกับคำบริกรรมไม่ยอมให้เผลอเลยทั้งวัน แหม เราจึงได้เห็นกิเลสมันดันออกมาอยากคิดอยากปรุง อกจะแตกเหมือนกันนะ นี่ทุกข์มากเหมือนกัน แต่ไม่ยอมเผลอ เอา มันจะทุกข์มากขนาดไหน เหมือนนักมวยเขาต่อยกันล้มลุกคลุกคลานไม่ยอมเผลอ ถ้าเผลอแล้วตายเลย นักมวยต่อยกันเผลอไม่ได้ ฟัดกันขนาดไหนก็ต่างคนต่างมีสติจ่ออยู่ตลอด อันนี้ก็เหมือนกันสติจ่อตลอด

ทีนี้ ความคิดตัวสังขารนี้ตัวสำคัญมาก มันคิดมันปรุง มันอยากคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันเคยออกตลอดเวลา ทีนี้พอเอาคำบริกรรมปิดประตูปิดช่องไม่ให้มันขึ้นมา สติติดเข้าไปอีกปั๊บเลย มันไม่ได้ขึ้นมันก็หมุนอยู่ภายในหัวอกซิ แหมเหมือนหัวอกจะแตกนะ มันดันมันอยากคิดอยากปรุง ดันเท่าไรก็ไม่ยอมให้ออก สติติดแนบตลอดเวลา โอ๋ย เหมือนอกจะแตกจริงๆ วันแรกหนักมากที่สุดเลย ไม่ให้เผลอเลยจริงๆ เผลอไปไม่ได้ว่างั้นเถอะ ตั้งแต่ระฆังดังเป๋ง ฟัดจนกระทั่งหลับไม่มีเผลอเลย

เอา วันนี้ทุกข์ขนาดนี้ วันหลังพอตื่นปั๊บจับปุ๊บอีกไม่ให้เผลอๆ อยู่อย่างนี้ เราอยู่คนเดียวมันถึงสนุกทำความเพียร ไม่มีกิจการงานกับใคร มีเราคนเดียวอยู่คนเดียว ที่หนักมากที่สุดวันแรกนี้เหมือนอกจะแตก ที่สองลดลงนิดหนึ่ง ที่สามค่อยเบาลง แต่เรื่องเผลอไม่ให้มี สติติดแนบๆ พุทโธตลอด พอสามวันผ่านไปค่อยเบาลงนะ ความปรุงนี้ค่อยเบาลงๆ พุทโธกับสตินี้ติดแนบๆ จิตใจก็ไม่มีอะไรกวน ไม่ค่อยกวน เบาลงๆ ทางนี้ก็หนักขึ้นๆ จิตก็เจริญขึ้นละที่นี่ ดูกันตลอดนะไม่ให้เผลอ มันจะไปไหนว่ะ ระฆังดังเป๋งคือตั้งความไม่เผลอไว้แล้วนั่น ไม่ให้เผลอเลย

ซัด กันนี้จนกระทั่งจิตใจค่อยโล่งออกมาๆ ก็ไม่ให้เผลอ ทีนี้มันเจริญขึ้น เอ้าเจริญขึ้นไป ไปถึงขั้นที่มันเคยเจริญแล้วเสื่อม ถึงขั้นนี้แล้วเอ้าเสื่อมไป อยากเสื่อมเสื่อมไป อยากเจริญเจริญไป เราไม่เอา เราจะเอาคำว่าพุทโธกับสติอย่างเดียว อะไรจะเจริญหรือเสื่อมปล่อยเลย ไม่เป็นกังวลกับมัน ทีนี้พอถึงขั้นนั้นแล้ว เอ้ามันจะเสื่อมเอ้าเสื่อมไป พอถึงขั้นมันเคยขึ้นไปถึงแล้วมันจะเสื่อม เอ้า เสื่อมไป พุทโธไม่ปล่อย ถึงนั้นแล้วไม่เสื่อมนะ ไม่เสื่อม ติดกันเรื่อยๆ มันก็ผ่านอันนั้นไปถึงวันเวลาที่มันจะเสื่อมทีนี้ไม่เสื่อม ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านเรื่องนี้ไปได้ จิตใจสว่างไสวขึ้นมา นี่เพราะสตินะ

พอ ถึงขั้นที่ว่ามองนั้นมองนี้ได้บ้างแล้ว จึงมาพิจารณาย้อนหลัง อ๋อ จิตเรานี้เสื่อมเพราะขาดสติอันนี้เอง ตั้งสติแต่นั้นมา คราวนี้มันเข็ดถึงขนาดที่ว่า นี่ละที่ว่าพระโคธิกะจะเข้ามาหาเราตรงนี้ละนะ ถ้าจิตเราเสื่อมคราวนี้เราต้องตาย จะอยู่ไปทำไม ทนไม่ได้แล้วทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส ตกนรกทั้งเป็น เราต้องตายเท่านั้น ทีนี้เมื่อเรายังไม่ตายจิตเราจะเสื่อมไม่ได้ มันก็ยิ่งมัดกันเข้าหนักเข้าๆ จิตก็เจริญขึ้นเรื่อยๆ  นี่ละวิธี ตั้งจิตให้ได้รากได้ฐาน เราทำมาแล้วนะ เอาเป็นเอาตายใส่กัน ถึงอกจะแตก สังขารมันอยากคิดอยากปรุง เหมือนอกจะแตก ไม่ยอมให้คิดได้เลย ไม่ให้คิดเลยเทียว บังคับด้วยสติ

สติ นี่สำคัญมากนะ ถ้าลงมีสติดีอยู่แล้ว กิเลสจะขนาดไหนมันก็ขึ้นไม่ได้ สังขารออกมาจากอวิชชามันดันออกมา จากนั้นมาก็หนักเข้าๆ จิตสว่างไสวขึ้นมาละ ถึงขั้นที่เสื่อมไม่เสื่อม ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ปล่อย จนกระทั่งจิตที่ว่ามันเจริญแล้วเสื่อมหมดไป มีแต่ความสว่างไสว เห็นผลจากความตั้งสติ ทีนี้ก็หนักเข้าเรื่อยๆ ขีดเส้นตายกันว่า ถ้าจิตเราเสื่อมคราวนี้เราต้องตาย มันจะเป็นพระโคธิกะ จะเป็นแบบไหนไม่รู้นะเรา มันเป็นได้นะ เพราะจิตนี้มันเด็ด ถึงคราวจะตายมันจะตายได้จริงๆ เด็ดทางตายด้วยนะ ทนไปหาอะไรตายเสียดีกว่า ดีไม่ดีก็ตามจะว่าอย่างนั้นละ ตายเสียดีกว่า มันจะเอาแบบไหนก็ไม่รู้ แต่แน่ใจจะเป็นแบบนั้น พระโคธิกะมาเข้ากับเรา เข้ากันได้อย่างสนิทเลย ทีนี้จิตเราก็เลยไม่เสื่อมเรื่อยมา

นี่ เราพูดถึงเรื่องการตั้งสติ เราทำมาแล้ว ได้ผลมาแล้ว ถึงขั้นที่พุ่งๆ เลย ฟาดถึงนั่งหามรุ่งหามค่ำตั้งแต่นั้นไปไม่ถอยเลย นั่งหามรุ่งหามค่ำตลอดรุ่งๆ ก้นแตกแตก อยากแตกแตกไป กิเลสยังไม่แตกไม่ถอย นี่ก็มาย้อนหาพ่อแม่ครูจารย์อีกแหละ เวลานั่งตลอดรุ่งๆ เกิดความอัศจรรย์มาเล่าให้ท่านฟัง ท่านก็ปลุกใจเรา ปลุกใจก็ยิ่งเอาใหญ่เลยเทียว จนกระทั่งหลายคืนๆ มานี้ท่านเลยกระตุกเอา ถึงหยุดนั่งตลอดรุ่งนะ ไม่งั้นมันจะเอาอีกตลอดนะ ท่านเทียบถึงม้าเวลามันคึกมันคะนองมาก สารถีฝึกม้าเขาจะต้องฝึกอย่างหนัก ไม่ควรให้กินน้ำไม่ให้กิน ไม่ควรให้กินหญ้าไม่ให้กิน แต่การฝึกไม่ถอย จนกระทั่งม้าลดพยศลงโดยลำดับ การฝึกเขาก็ค่อยลดลงๆ จนม้าทำการทำงานได้ตามต้องการของสารถีแล้ว การฝึกแบบนั้นเขาก็หยุดไป นี่ท่านพูดสอนเรา

พอ ขึ้นไปกราบปั๊บๆ ท่านซัดเลย สารถีฝึกม้าเขาฝึกอย่างนั้นๆ เราก็เคยพูดเสมอว่า เรายังเสียดายไม่ได้เต็มยศ ท่านว่าเท่านั้นท่านก็ผ่านเลย เพราะอันนี้ก็มีอยู่ในคัมภีร์แล้ว เราเรียนมาแล้ว เรายังเสียดายที่ว่า สารถีฝึกม้าเขาฝึกอย่างนั้น ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกแบบไหน อยากให้ท่านว่าอย่างนั้นมันยิ่งจะเพิ่มเข้าอีกนะนั่น ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกแบบไหนมันถึงไม่รู้จักประมาณ ความหมายว่างั้น แต่ท่านไม่ว่า ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่ง เพราะจิตมันไม่ได้ผาดโผนไปทางกิเลสเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนมันเป็นอย่างนั้นจึงได้เอากันหนัก ทีนี้เวลามันอ่อนลงทางนี้ยังหนักเข้าเรื่อย

เหมือน หมูสองตัวนั่น เราเคยเอามาเล่าให้ฟังหมูสองตัว กอไผ่อยู่นี้ พ่อแม่ครูจารย์มั่นพอท่านรับบาตรเสร็จแล้วท่านก็มานั่งปั๊บ หมูสองตัวกำลังน่ารักตัวเท่ากระโถนนี่ อ้วนน่ารักทั้งสองตัว ตัวเท่ากัน พอมาถึงกอไผ่ปั๊บมันกัดกัน ซัดกันปึ๊งปั๊งๆ เราเห็นท่านก็เห็น ใส่กันปึ๊งปั๊งๆ ตัวหนึ่งเสียท่า ตัวนี้ก็งัดใหญ่ ไปติดกอไผ่ ตัวนี้ก็งัดใหญ่ไม่ถอยเลย ตัวนั้นร้องกี๊กๆ ตัวนี้ยังงัดใหญ่ตลอด ท่านพูดว่า ไอ้นี่แพ้ไม่เป็น เขายอมแล้วก็ยังงัดเขาอยู่ ธรรมดานักมวยเขาเมื่อทางหนึ่งยอม ทางหนึ่งก็ต้องหยุด ไอ้นี้งัดตลอด แพ้ไม่เป็น ท่านว่า ท่านก็พูดเท่านั้นละ เราก็เห็นอยู่หมูตัวนั้นที่มันงัดเขา ตัวนั้นร้องแง้กๆ ตัวนี้ยังงัดตลอด มันแพ้ไม่เป็นไอ้นี่ เขายอมแล้วก็ยังไม่ยอมถอย ท่านพูดเท่านั้นเราอดกลั้น(หัวเราะ) จะตาย ให้พรให้ไม่ได้เลย เราเลยไม่ลืมหมูสองตัวนั้น

เรา ก็เหมือนกัน นั่งตลอดรุ่งนี่เราก็งัดใหญ่เลย จนท่านมาขนาบเอา แพ้ไม่เป็น เลยหยุด ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้นั่งตลอดรุ่ง ไม่งั้นเอาจริงๆ นะไม่ถอย อย่างนี้ละจิตอันนี้มันพิลึกอยู่นะ จึงได้พุ่งเรื่อยๆ เลย ฐานของจิตที่จะตั้งได้อยู่ที่สติ ถ้าสติไม่ดียังไงก็ไม่ได้ ว่างี้เลย ขอให้สติดีเถอะมันจะผาดโผนขนาดไหน กิเลสนี่อยู่ในเงื้อมมือจนได้ เราได้ทำแล้วถึงขนาดอกจะแตก มันอยากคิดอยากปรุงดันออกมา ดันเท่าไรก็ไม่ให้ออก สติติดๆ ตลอด มันก็เลยอ่อนลงๆ ผู้ประกอบความเพียรขอให้มีสติเถอะ สติดีเท่าไรยิ่งดี สตินี่ไม่เฟ้อ ดีตลอดเวลา นี่เราพูดถึงขั้นล้มลุกคลุกคลานนะ เราไม่ได้หมายถึงสติปัญญาอัตโนมัติ อันนั้นไม่ต้องบอก  ไหลเลยนั่น เพราะนี้ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ที่เอามาพูดนี่นะ

ล้มลุก คลุกคลาน เอาจนขนาดอกจะแตก มันอยากคิดอยากปรุง ครั้นต่อไปก็ถึงขั้นสมาธิ คิดปรุงรำคาญ แต่ก่อนมันอยากคิดอยากปรุง ไม่ได้คิดอยู่ไม่ได้ ทีนี้เวลาสมาธิแน่นหนามั่นคงเต็มที่แล้ว อยู่เป็นเอกเทศ อกัคคตารมณ์ รู้อยู่อันเดียว ความคิดความปรุงแย็บขึ้นมารำคาญ มันไม่อยากคิด สู้อยู่อันเดียวไม่ได้ นี่มันก็ติด จิตลงถึงขั้นสมาธิแล้ว ถ้าไม่มีผู้แนะติดทั้งนั้นแหละ สมาธิก็มีรสมีชาติพอสมควรให้ติดได้ เราติดแล้ว นี่ก็ท่านลากออก เราก็ไม่ลืม

พอ ถึงขั้นปัญญา เพราะสมาธิมันพอตัวแล้ว พอท่านไล่ออกทางด้านปัญญามันก็ผึงเลยทันที ออกอย่างผาดโผนอีกเช่นเดียวกัน ไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน เพราะสมาธิมันพอตัวแล้วนี่ พอออกทางด้านปัญญามันก็หนุนกันเลย จิตไม่ได้หิวโหยในอารมณ์ บังคับทางด้านปัญญา ออกทางด้านปัญญาไปเลย ทีนี้ออกเตลิดเปิดเปิงไม่ได้นอน กลางคืนทั้งคืนไม่นอน ไม่หลับ มันหมุนของมัน กลางวันก็ยังไม่หลับอีกมันเลยจะตาย

นี่ ท่านก็หักอีกเหมือนกัน ไปเล่าถวายท่าน ที่พ่อแม่ครูจารย์ว่าให้ออกทางด้านปัญญาเวลานี้มันออกแล้วนะ มันออกยังไงท่านว่า ก็มันไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน กลางคืนตลอดรุ่งไม่ได้นอน กลางวันบางวันมันยังจะไม่นอน นั่นละมันหลงสังขาร นั่นเห็นไหมล่ะท่านว่า นั่นละมันหลงสังขาร ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ เราก็ว่างั้น ท่านก็ซัดเข้าอีก นี่ละบ้าหลงสังขารขึ้นใหญ่เลย หมอบคราวนี้ไม่ตอบนะ แต่มันไม่ถอยเรื่องปัญญา ออกจากนี้เรียกว่าเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ทีนี้ไม่ต้องบอกเรื่องสติ เป็นของมันเอง สติกับปัญญาหมุนไปเป็นอันเดียวกันเลยนี่ ขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ ขั้นที่ล้มลุกคลุกคลานต้องบังคับให้มีสติเต็มเหนี่ยวๆ ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วหมุนตัวไปเอง เหมือนน้ำไหลลงจากภูเขา ไหลเรื่อยๆ

สติปัญญา อัตโนมัติขั้นนี้ไม่เผลอ ยังไงก็ไม่เผลอ ตื่นปั๊บติดแล้วเป็นแล้วจนกระทั่งหลับไม่มีเผลอ จากนั้นก็ละเอียดเข้าไปๆ เป็นมหาสติมหาปัญญา อันนี้ซึมไปเลยนะ  ให้ มันเห็นอยู่ในหัวใจพูดได้หมดคนเรา คัมภีร์ท่านสอนไว้แต่มันไม่ทำ มันไม่รู้มันก็พูดไม่ได้ เมื่อมาปฏิบัติมันรู้ขึ้นมาอย่างที่ท่านสอนไว้แล้ว จะปิดบังกันได้ที่ไหนมันก็ออกได้ชัดเจน นี่ก็เป็นแล้วในหัวใจเรา ที่พูดมานี้ถอดออกมาจากหัวใจมาให้พี่น้องทั้งหลายฟังนะ

ถึง ขั้นสติปัญญาอัตโนมัตินี้เรียกว่าไม่มีวันมีคืน นอนนี่ต้องบังคับให้นอน เข้าสมาธิต้องบังคับรั้งเข้ามาสู่สมาธิพักอารมณ์ ไม่อย่างนั้นมันจะหมุนของมันตลอด จากนั้นก็เป็นมหาสติมหาปัญญา ยิ่งหมุนละเอียดลงไปโดยลำดับลำดา ทีนี้พูดถึงเรื่องกิเลสนี่ตั้งแต่เริ่มขั้นสติปัญญาอัตโนมัติไม่มีคำว่าถอย กันนะ สติปัญญาอัตโนมัติกับกิเลสไม่มีคำว่าถอยกัน ขาดสะบั้นไปเลย ให้แพ้กิเลสนี้ไม่มี คำว่าแพ้กิเลสไม่มี มีแต่หมุนติ้วๆ ใส่กันเลยเชียว

ยิ่ง ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาด้วยแล้ว จนได้ เหอ มันไมใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ แล้วเหรอ คือมันไม่มีเลย เงียบเลย ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญามันละเอียดลออ ซึมซาบ กิเลสตัวไหนโผล่มาไม่ได้ขาดสะบั้นไปทันทีเลย ไม่ได้ตั้งหน้าทำลายกันนะ  มันหาก เป็นของมันเองเรียกว่าอัตโนมัติ ธรรมฆ่ากิเลสก็ฆ่าอัตโนมัติ กิเลสฆ่าธรรมก็อัตโนมัติเหมือนกัน เวลามีกิเลส คนเรามีกิเลสทั่วๆ ไปนี่มีตั้งแต่เรื่องกิเลสฆ่าธรรมโดยอัตโนมัติ เวลาธรรมมีกำลังแล้วมันก็เทียบกันได้ปุ๊บ ธรรมฆ่ากิเลสฆ่าอัตโนมัติฆ่าอย่างนี้ๆ จนกระทั่งขาดสะบั้นไปหมดเลย ไม่มี

ที่ ว่าไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาเหรอ ไม่ได้สำคัญตนนะ คือค้นเท่าไรมันก็ไม่เจอ ค้นหากิเลสเท่าไรก็ไม่เจอ มีแต่มหาสติมหาปัญญาสง่างามครอบอยู่หมดเลย เวลาถึงขั้นมันขาดไม่เห็นมีคำว่าอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ ไม่มี พอขาดสะบั้นปึ๋งลงไปเท่านั้นหมดปัญหา ทั้งอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ไม่มีเหลือ นี่มันตัดสินกันในหัวใจของเรา แล้วจะไปทูลถามพระพุทธเจ้ายังไง พระพุทธเจ้ามีหรือไม่มี พระพุทธเจ้าตรัสรู้ยังไง ถามหาอะไร อันเดียวกัน ผางขึ้นนี้อันเดียวถึงกันหมดเลย แล้วถามหาพระพุทธเจ้าที่ไหน สามแดนโลกธาตุแคบไป ธรรมนี้ครอบตลอด ธรรมชาตินี้ครอบเหมือนกันนี่ละอำนาจแห่งการบำเพ็ญตน

ใคร จะมาอยู่เฉยๆ นอนเฉยๆ ไม่ได้นะ ต้องมีสติสตัง สติเป็นสำคัญมาก จากนั้นปัญญาก้าวเดินเป็นระยะๆๆ จิตที่ควรจะเข้าสู่สมาธิเพื่อพักงานก็ให้เข้าสู่ความสงบ อย่าไปกังวลกับความคิดความปรุงทางด้านสติปัญญาอย่างอื่น ให้อยู่กับความสงบ พักจิต เหมือนเราพักผ่อนนอนหลับหรือพักผ่อนทานอาหาร นี่ละธรรมะพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ อยู่ในหัวใจเราทุกคน เหมือนกิเลสสดๆ ร้อนๆ อยู่ในหัวใจ เวลานี้กิเลสกำลังแผ่พังพานบนหัวใจเรา ธรรมะจึงออกไม่ได้ มีแต่กิเลสตีเอาหมอบๆ สุดท้ายก็ให้กิเลสมาลบหมด มรรคผลนิพพาน ไม่มี บาป บุญ นรก สวรรค์ ไม่มี มรรคผลนิพพาน ไม่มี ทำอะไรๆ ก็ไม่มี ที่มีก็มีแต่เป็นโมฆบุรุษ โมฆสตรี ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่มีค่าราคาอะไร นี่ละสิ่งที่มีในหัวใจเขา มรรคผลนิพพานไม่มีก็คืออันนี้มีแทน ให้จำเอานะ

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ใส่ความเห็น