ท่านทั้งหลายพิจารณาก็แล้วกัน ให้พิจารณาให้ตั้งเนื้อตั้งตัวอยู่ภายในตัวของเราเอง รอรับเหตุการณ์ สิ่งภายนอกมันแฝงเข้ามาได้ที่จะมาหลอกให้ลุ่มหลง อย่างปัจจุบันนี้มีอะไรบ้าง แต่ก่อนเมืองไทยเราจะมีอะไร ได้อะไรมาอยู่มากินมาใช้สอยวันหนึ่ง ๆ พอ ไม่ได้สร้างความกังวลวุ่นวาย ความดีดดิ้นให้มากมายอะไรนัก ก็เป็นความสุขความสบาย เวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันไหลเข้ามาไม่ทราบทางน้ำทางบกทางไหน ๆ มาเรื่อย ๆ อะไรมามันก็ตื่น ๆ ก็ดีดก็ดิ้นแล้วดีดดิ้นมันส่วนมาก ๆ เราอยากพูดว่าร้อยทั้งร้อยเป็นเรื่องที่จะทำคนให้หลงงมงายให้หลับหูหลับตาไปเรื่อย ๆ ไม่ให้ตื่นนะ เวลานี้กำลังเต็มบ้านเต็มเมืองเข้ามา อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี ไม่เคยได้เห็นก็เห็น ไม่เคยได้ยินก็ได้ยิน มีมาหมดทุกอย่าง ต้องได้ฟิตหัวใจเราด้วยสติปัญญาด้วยดี ไม่งั้นหลงไปกับสิ่งเหล่านี้ได้
พูดอันนี้แล้ว เอ้า พูดถึงท่านผู้ที่ผ่านไปโดยสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว อะไรมารู้หมด ที่จะให้ท่านหลงท่านลืมท่านชินต่อสิ่งเหล่านี้ไม่มี ปั๊บ รู้ทันที ๆ ๆ นั่นต่างกันกับโลกที่กำลังลุ่มหลงอยู่ อะไรมาคอยแต่จะหลง ๆ ผู้ที่ท่านรู้ท่านรอบหมดแล้วทำยังไงให้หลงก็ไม่หลง ปั๊บมาก็รู้ ตกผล็อย ๆ เหมือนน้ำบนใบบัว น้ำที่ตกลงบนใบบัว กลิ้งตก ๆ ไม่ซึมซาบ จิตของท่านที่เป็นใบบัวแล้วสมมุติทั้งหลายเหมือนน้ำ ตกลงมาปั๊บกลิ้งเลย ๆ ไม่ซึมซาบมันต่างกันอย่างนี้นะ พวกเราพวกไม่ใช่ซึมซาบ มันพวกลิง คว้ามับ ๆ อะไรมาคว้ามับเลย เพราะฉะนั้นมันถึงตามไม่ทันนะ จมได้เร็ว กำลังเริ่มขึ้นนะ สิ่งเหล่านี้แหละเป็นบริษัทบริวารเป็นเครื่องอุปกรณ์ทุกสิ่งทุกอย่างของกิเลสเสียมากต่อมากทีเดียว ถ้าไม่มีธรรมจะไม่รู้เลย แล้วจะเพลินไปตามสิ่งเหล่านี้ แล้วก็จมไปทุกวี่ทุกวัน ผู้มีธรรมเหมือนกับว่ามาขัดเกลาจิตใจ อะไรผ่านเข้ามา ถ้าจิตใจเป็นธรรมขึ้นไปโดยลำดับลำดาแล้วอะไรผ่านเข้ามา เหมือนกับเป็นหินมาลับปัญญา หินลับมีด สติปัญญาของเราเหมือนมีด
สิ่งทั้งหลายที่มาเกี่ยวข้องเหมือนหินมาลับมีด ๆ เพราะเมื่อขั้นเป็นธรรมแล้วอะไรเป็นธรรมหมด อยู่ที่ไหนเป็นธรรม ท่านว่าอัตโนมัติ ๆ คือเป็นธรรมอัตโนมัติโดยลำดับ จนจะถึงขั้นเด็ดขาดเป็นอัตโนมัติ อะไรผ่านเข้ามาเป็นธรรมหมด อยู่เฉย ๆ ก็เป็น ความคิดความปรุงขึ้นมานี้ แต่ก่อนมันเป็นกิเลสตัณหาเป็นฟืนเป็นไฟ เวลามันกลับกลายขึ้นมาเป็นธรรมแล้วด้วยการฝึกฝนอบรมเรา ที่ไหนอะไรผ่านเข้ามามันเป็นธรรม เหมือนกับว่ามาเตือนสติปัญญา ลับสติปัญญาให้คมกล้าเป็นลำดับลำดา มันต่างกันนะ ให้คิดแยกหลายประเภทซิ กิเลสมันร้อยสันพันคม เราก็ให้เป็นอย่างนั้นธรรมะ เมื่อมันทันกันแล้วร้อยก็ร้อยพันก็พัน มีคมเหมือนกันเลย นั่น ทันกัน ๆ
ค่อยหนาไป ๆ ดูนะ มันอดไม่ได้เพราะสิ่งเหล่านี้มันสัมผัส อายตนะภายนอก อายตนะภายใน อายตนะแปลว่าเครื่องสืบต่อ เครื่องประสานกัน เช่น ตาเรานี้เพื่อประสานรูป รูปเป็นอายตนะภายนอก ตาเป็นอายตนะภายในเครื่องประสานกัน ตาเห็นรูปเป็นยังไง หูฟังเสียงเป็นยังไง มันประสาน เรียกว่าประสานกัน เวลาทางภายในมันรอบหมดแล้วอายตนะก็สักแต่ว่าใช้ในเวลามีสมมุติอยู่เท่านั้น ส่วนภายในจิตนั้นไม่ได้ซึมซาบกับสิ่งเหล่านี้ เราจะแยกเข้าไปพูดว่าเป็นอายตนะของตัวเองโดยเด็ดขาด โดยหลักธรรมชาติไม่ผิด แต่ต้องเป็นผู้ปฏิบัติผู้บรรลุไม่ค้านกัน ถ้าไม่ปฏิบัติไม่รู้แล้วค้านวันยังค่ำเข้าใจไหม ท่านเป็นอายตนะโดยหลักธรรมชาติ ในเวลาอยู่ในสมมุติท่านก็ทราบ ไม่ถือไม่ติด นั่น ท่านพูดอันหนึ่งว่า อายตนะนิพพาน มีนะในหนังสือ
อายตนะนิพพานเป็นยังไง อันนี้พูดยากนะ แต่ไม่สงสัย มันเป็นอายตนะนอกสมมุติเสียทั้งหมด นิพพานก็นอกสมมุติแล้ว อายตนะนิพพานก็นอกไปด้วยกัน แล้วจะเอามาพูดคลุกเคล้ากันกับมูตรกับคูถได้ยังไง แน่ะ อายตนะที่จะใช้ในมูตรในคูถก็ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของพระอรหันต์ท่านก็มีท่านก็ใช้เหมือนกัน แต่ท่านไม่แปดเปื้อนกับสิ่งเหล่านี้ นี่เป็นอายตนะอันหนึ่ง อายตนะนิพพาน จิตเป็นนิพพานแล้วก็เป็นอายตนะอันหนึ่ง มาใช้ภายนอกเป็นอายตนะอันหนึ่ง เอ้า ดับไปโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องพูด แน่ะ หายสงสัยทุกอย่างวันนี้พูดธรรมะจะสูงไปหรือต่ำไปก็ไม่รู้นะเรา ก็งงผู้พูดเหมือนกันเราก็งง หนาขึ้นเรื่อย ๆ นะ ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ กิเลสจะหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ คนจะนับวันทะนงตัวดีดดิ้นเรื่อยไปตามกิเลส ทะนงเท่าไรยิ่งต่ำลง ๆ ผู้มีสติสตังพินิจพิจารณาผู้นี้ไม่ทะนงจะผ่านไปได้ ๆ จำเอานะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้น
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
http://www.luangta.com
(คัดลอกมาบางส่วน)
You must be logged in to post a comment.