ตอบปัญหา

247598_376956772387881_567612094_n

ทำอย่างไรจึงจะพาลูกเข้าวัด?

“ความหลงทำให้ไปมีความผูกพัน กับสิ่งต่างๆ เมื่อมีความผูกพันกันแล้วก็ต้องมีความทุกข์ เพราะสิ่งต่างๆ นั้นไม่เป็นไปตามความต้องการของเราเสมอไป ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง แต่เรามักอยากจะให้อยู่ตามสภาพเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง แต่เรามักอยากจะให้อยู่ตามสภาพเดิม อันไหนดีก็อยากจะให้เป็นอย่างนั้นไปตลอด แต่ก็เป็นไปไม่ได้ ร่างกายก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เกิดมาจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังเปลี่ยนอยู่ แล้วก็จะเปลี่ยนต่อไปจนกว่าจะถึงจุดจบ ถ้าพิจารณาอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ก็จะคลายความผูกพัน ยอมรับความจริง ใจก็จะสบาย แยกออกจากกายได้ รู้ว่ากายไม่ใช่ใจ ใจไม่ใช่กาย เพียงแต่ไปหลงคิดว่าเป็นเท่านั้นเอง เป็นเราเป็นของๆ เรา แท้จริงแล้วก็เป็นธรรมชาติ เหมือนต้นไม้ใบหญ้า ร่างกายนี้เป็นเหมือนกับต้นไม้ใบหญ้า ถ้าไปรักไปชอบแล้ว พอเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ก็จะเสียใจ เพราะอะไร เพราะมีความผูกพันกับเขา ถ้าไม่มี เวลามีอะไรเกิดขึ้น ก็จะไม่รู้สึกอะไร ปัญหาอยู่ที่ความผูกพันเท่านั้นเอง ต้องยอมรับความจริงว่า มีความผูกพันกับอะไรไม่ได้ในโลกนี้ พอมีแล้วก็ต้องทุกข์ทันที”

ถาม ในส่วนที่เป็นพ่อแม่ละเจ้าคะ
ตอบ นั่นแหละเพราะเราไม่เห็นว่าลูกของเรา ไม่ใช่ลูกของเรา เราเห็นว่าเป็นลูกของเรา ก็เลยมีความผูกพันขึ้นมา ถ้าเห็นว่าเป็นเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ก็จะไม่มีความผูกพัน

ถาม มันก็ยาก ความรับผิดชอบกับความเมตตา ขอให้ท่านอาจารย์อธิบายตรงนี้
ตอบ จะว่าเป็นความเมตตาก็ไม่ใช่หรอก เราเรียกว่าความเมตตาความจริงเป็นความหลงมากกว่า ทำไมเด็กอื่นเราไม่เมตตาล่ะ ทำไมต้องมาเมตตาเฉพาะเด็กคนนี้ล่ะ เด็กอื่นมีตั้งเยอะแยะเต็มไปหมด ใช่ไหม ถ้าความเมตตาที่แท้จริงมันต้องเสมอภาค ต้องไม่มีฝักไม่มีฝ่าย ถึงจะเรียกว่าเป็นความเมตตา อย่างนี้เรียกว่าเป็นความหลง เป็นความรัก เป็นความรักที่เกิดจากอุปาทาน ความยึดมั่นว่าเป็นสมบัติของเรา ถ้าไม่เป็นสมบัติของเรา เช่นลูกของชาวบ้านเขา จะเป็นอย่างไร ไม่เห็นร้องห่มร้องไห้ไปกับเขา แต่ถ้าลูกของเราเกิดไปติดยาเสพติดขึ้นมา เราก็เดือนร้อน ลูกของคนอื่นเราไม่เดือดร้อน เพราะเราไม่ได้ถือว่าเป็นลูกเรา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา แต่คนนี้ออกจากท้องเรา เราก็เลยมีความผูกพันกับเขา ความจริงส่วนที่มีความผูกพันกับเรา ก็เป็นแต่เพียงร่างกายเท่านั้น แต่จิตใจนี้ เป็นใครมาจากไหน เราก็ไม่รู้ ดวงวิญญาณเข้ามาครอบครองร่างกายนี้ ตอนที่อยู่ในท้องของเรา ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน อาจจะเคยเป็นศัตรูกันมาในอดีตก็ได้ เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราก็ได้ จึงต้องมาทุกข์กับเขา

ถาม ในส่วนของความรับผิดชอบ ท่านอาจารย์ก็ให้อย่างเต็มที่ ใช่ไหมคะ
ตอบ ก็เลี้ยงเขาไปตามความสามารถของเรา ให้อาหารเขารับประทาน ส่งเขาเรียนหนังสือ สอนให้เขารู้จักบาปบุญคุณโทษ ก็ทำไปเป็นหน้าที่ของผู้ปกครอง ถ้าเขาไปติดยา ไปกินเหล้าเมายาก็เรื่องของเขาแล้ว เราไปทุกข์กับเขาทำไม เราไปห้ามเขาได้ที่ไหน ก็ห้ามไม่ได้อยู่ดี เหมือนกับได้แอบเปิ้ลมา แต่อยากจะให้แอบเปิ้ลเป็นส้ม เป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้หรอก จะร้องห่มร้องไห้อย่างไร ก็เป็นไปไม่ได้ แอบเปิ้ลย่อมเป็นแอบเปิ้ลอยู่นั่นแหละ คนเราก็เหมือนกับผลไม้ แต่ละคนมีจริตนิสัยไม่เหมือนกัน บางคนก็เหมือนกับส้มบางคนก็เป็นเหมือนมะนาว บางคนก็เป็นเหมือนกล้วย เขาเป็นของเขาอย่างนี้ ตามบุญตามกรรม ดังบทสวดที่ว่า “เรามีกรรมเป็นของๆ ตน จะทำกรรมอันใดไว้ ก็ต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น” ลูกของเราเขาก็ทำบุญทำกรรมของเขามา เวลาเขามาเกิด เขาก็อาศัยท้องเราเกิดเท่านั้นเอง แต่ใจของเขามีกรรมเป็นพ่อแม่มีกรรมเป็นของเขา ถ้าเป็นคนดี เขาก็เป็นคนดีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปสั่งสอน เขาก็ดี อย่างพระพุทธเจ้านี่ ไม่ต้องมีใคไปสั่งไปสอน ท่านก็ดีของท่าน มีแต่จะพยายามไม่ให้ดีเสียอีก พระราชบิดาไม่อยากให้ท่านออกบวช แต่ท่านก็ออกบวช เพราะบุญที่ท่านสร้างมามีพลังมาก ไม่มีใครจะต้านบุญได้ เช่นเดียวกับกรรม ถ้าสร้างกรรมมาอย่างพระเทวทัต เห็นไหมสร้างกรรมไว้มาก ถึงแม้ได้บวช ได้อยู่กับพระพุทธเจ้า ก็ยังต้องมาก่อเวรก่อกรรมกับพระพุทธเจ้าอีก นี่เป็นเรื่องของบุญของกรรมที่มีติดตัวมา เราทำได้ก็เพียงแต่ดูแลเลี้ยงดูเขา ตอนที่เขายังช่วยตัวเองไม่ได้ อย่างตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่ ก็ต้องเลี้ยงดูเขาด้วยปัจจัย ๔ เมื่อโตขึ้นก็ส่งเรียนหนังสือ สอนเรื่อบาปบุญคุณโทษ เท่าที่จะสอนได้ ก็เท่านั้น เขาจะรับหรือไม่ ก็อยู่ที่ตัวเขา อย่างพ่อของอาตมาก็ไม่อยากจะให้บวช แต่ก็ได้มาบวชใช่ไหม มันเป็นเรื่องของบุญของกรรมของแต่ละคน พ่อแม่บางคนก็เสียใจที่ลูกบวช พ่อแม่บางคนก็ดีใจที่ลูกบวช มันก็อยู่ที่จิตใจของพ่อแม่ ว่ามีบุญมีกรรมมากน้อยเพียงไร ถ้าพ่อแม่มีบุญมากเข้าใจเรื่องบุญ เวลาเห็นใครบวชก็ดีอกดีใจ พ่อแม่ที่ไม่มีบุญก็ไม่เข้าใจเรื่องบุญหรอก พอลูกของตนเองไปบวช ก็เกิดความเสียใจขึ้นมา ทำไมลูกเราไม่เอาดีทางโลก ก็คิดไปต่างๆ นานา นี่เป็นเรื่องของบุญของกรรมของแต่ละคน โดยหลักแล้วก็คือ อย่าไปยึดอย่าไปติด ต้องทำความเข้าใจว่า เราทุกคนมีชีวิตเป็นของเรา มีทางเดินของเรา ถ้าต้องเกี่ยวข้องกับใคร ก็ให้ใช้ความเมตตา แบบที่ไม่มีความผูกพัน คือช่วยเหลือกันไปตามอัตภาพ เช่นลูกของเรา ก็เลี้ยงดูเขาไป เสร็จแล้วเขาจะไปทางไหน ก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าไปอยากให้เขาบวช เขาไม่บวช เราก็จะเสียอกเสียใจ ถ้ายอมรับว่า ถ้าเขาไม่อยากบวช ก็เป็นเรื่องของเขา เราก็ได้ให้โอกาสเขาแล้ว เมื่อเขาไม่ต้องการ ก็ช่วยไม่ได้ เหมือนกับให้เงินเขาก้อนหนึ่ง เขาไม่เอา เราจะเสียใจทำไม ใช่ไหม ในเมื่อเขาไม่อยากจะได้เงิน การปล่อยให้เขาไปตามทางของเขา ก็เป็นความเมตตาอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ ดีกว่าการดึงให้เขาไปตามทางที่เราต้องการให้เขาไป อันนี้กลับไม่ใช่เป็นความเมตตา แต่จะกลายเป็นความเกลียดชังกันขึ้นมา เราไปบังคับเขา เขาก็ไม่ชอบขึ้นมา ก็อาจจะทะเลาะกัน โกรธชังกัน เกลียดชังกัน เราต้องรู้ว่า เราเป็นเหมือนกับคนพายเรือเท่านั้นแหละ เหมือนครูบาอาจารย์สอนเด็ก พาให้เด็กข้ามฟากไปเท่านั้นเอง เด็กจะกระโดดลงจากเรือไปกลางทางก็ช่วยไม่ได้ เรามีหน้าที่เลี้ยงดูให้ลูกได้รู้จักผิดถูกดีชั่ว ให้เขาพึ่งตัวของเขาเองได้ ก็หมดหน้าที่ของเราแล้ว ถ้าจะเลือกไปทางดี ก็เป็นบุญของเขา ถ้าจะไปทางไม่ดี ก็เป็นกรรมของเขา ไม่มีใครบังคับจิตใจของใครได้ ในที่สุดเราก็ต้องตายจากเขาไป เวลาเราตายไปแล้ว ใครจะมาบังคับเขาล่ะ เขาก็ต้องไปตามทางของเขาอยู่ดี

ถาม ทำอย่างไรจึงจะพาลูกเข้าวัดได้
ตอบ ถ้าเราบวช เขาก็ต้องมาวัดมาหาเราอยู่เรื่อยๆ เราจะกล้าทำหรือเปล่า อยากจะให้พ่อแม่เข้าวัด เราก็บวช เดี๋ยวเขาก็มาหาเราเอง เพราะความผูกพันของแม่ลูกที่มีต่อกัน นอกจากเป็นลูกเนรคุณก็ช่วยไม่ได้ ถือว่าเป็นกรรมของเรา ก็ตัดมันไปเสียเลย อย่าไปหลง หลงแล้วจะทุกข์ ความจริงแล้วเราไม่ควรคิดว่าเขาเป็นลูกเรา คิดว่าเป็นผู้มาอาศัยครรถ์เรา เป็นอาคันตุกะมาอาศัยบ้านเราอยู่ เราก็ให้ข้าวเขากิน ให้เสื้อผ้าเขาใส่ เขาอยากจะไปไหนมาไหนก็เรื่องของเขา ตัวใครตัวมัน สบายใจกว่า ปัญหาอยู่ที่เรามากกว่าอยู่ที่เขา

ท่านพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวราราม ฯ ชลบุรี

—————————————————————————————————

904764

เถียงพ่อเป็นบาปหรือไม่?

(คำถามทางอินเตอร์เน็ตครับผม) ถามว่าไง ลองว่ามาซิ

เรื่องคนใน ครอบครัว พ่อแม่ ลูก นะครับ เขาบอกว่า นมัสการหลวงตาบัว หนูมีเรื่องทุกข์ใจ และมีปัญหาจะกราบเรียนขอความเมตตาหลวงตาชี้ทางสว่างด้วยค่ะ ครอบครัวของหนูเป็นครอบครัวมีฐานะปานกลาง มีพี่น้องทั้งหมด ๕ คน พ่อแม่ประกอบอาชีพค้าขาย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่หนูเป็นเด็กจนเติบโตขึ้น ได้เห็นความทุกข์ใจของแม่ ความรักของแม่ที่มีต่อพ่อ พ่อได้ทำลายจิตใจแม่ตลอด คือพ่อมีภรรยาใหม่ นำทรัพย์สินของแม่ไปปรนเปรอผู้หญิงอื่นกับลูก พ่อเหินห่างครอบครัวไม่ได้มาใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเดิม พวกพี่น้องก็รับรู้การกระทำที่ไม่ดีของพ่อ

พ่อชอบทำบาป ตกปลา เล่นการพนัน เที่ยวโสเภณี สร้างความทุกข์ใจให้กับแม่ แม่ก็พร่ำสอนลูกว่า อย่าไปว่าพ่อมันเป็นบาป เวลาพ่อทำไม่ถูก แม่สั่งให้ลูกเงียบๆ ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับพ่อ ที่บ้านหนูเลี้ยงสุนัข พี่น้องหนูทุกคนรักสุนัข บ่อยครั้งที่พ่อจะทำร้ายความรู้สึกของลูกๆ เช่น นำสุนัขที่ลูกนำมาเลี้ยงไปปล่อยวัดบ้าง ไปปล่อยข้างถนนบ้าง โดยที่ลูก ๆ ไม่รู้ ทุกครั้งที่สุนัขของหนูถูกนำไปปล่อย ก็จะเกิดทะเลาะมีปากเสียงกับพ่อ พ่อบอกว่าไม่อยากทำความสะอาดมันเป็นภาระ นี่เป็นข้ออ้างของพ่อ บางครั้งพ่อก็ทำร้ายสุนัขถึงตาย และมีการวางยาให้สุนัขกิน แล้วมันก็ตายสมใจพ่อ

ครั้งสุดท้ายที่หนูคิดว่าไม่ไหว คือพ่อนำสุนัขพุดเดิ้ลตัวเล็กๆ ไปปล่อย สุนัขตัวนี้เป็นสุนัขที่คุณปู่ของหนูซึ่งท่านชรามากแล้ว และเป็นเพื่อนเล่นของท่าน พ่อก็นำไปปล่อย หนูคิดว่านับวันพ่อก็ยิ่งทำบาปมากขึ้น หนูอยากจะคุยกับพ่อบอกพ่อว่า เมื่อไรพ่อจะหยุดทำบาปเสียที แล้วเมื่อไรจะเห็นใจในความรู้สึกของคนในครอบครัว เมื่อไรจะรู้สึกเมตตาต่อบุคคลอื่นบ้าง

หนูก็บอกกับแม่ว่า หนูเหลืออดแล้ว ถ้าไม่คุยไม่พูดไม่บอกกับพ่อ พ่อก็ไม่มีวันได้รับรู้ แม่ก็บอกกับหนูว่า ถึงพูดกับพ่อก็ไม่รู้สึก แม่บอกว่าอย่าไปต่อความยาวสาวความยืด หนูเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร และเกิดบันดาลโทสะ ก็บอกพ่อว่า พ่อคิดโง่ๆ ทำโง่ๆ แม่ก็บอกว่า หนูไม่ควรจะว่าพ่อเพราะว่ามันเป็นบาป หนูเป็นคนที่ละอายต่อบาป เข้าใจว่าบาปเป็นอะไร แต่หนูก็ย้อนกลับถามแม่ว่า หนูเข้าใจคำว่ากตัญญู และหนูก็มีให้เต็มร้อย แต่ความผิดความถูกความชอบธรรมนั้น เราว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ใครผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ใครถูกก็ต้องสนับสนุน แต่แม่บอกว่า ไปว่าพ่อนั้นมันเป็นบาป หนูก็อยากกราบเรียนถามหลวงตาว่า สิ่งที่หนูต่อว่าพ่อของหนูที่พ่อทำผิด เป็นบาปต่อบุพการีหรือไม่ ขอหลวงตาเมตตาชี้ทางสว่างให้แก่หนูในเรื่องนี้ด้วยเทอญ กราบขอบพระคุณ

หลวงตา เรื่องที่กล่าวมานี้ แม่ก็ดี ลูก ๆ ก็ดี เป็นแม่ตัวอย่างของลูกทั้งหลาย ลูกๆ ทั้งหลายก็เป็นตัวอย่างของลูกทั่วๆ ไป ควรจะยึดเป็นคติสอนตนเองให้ประพฤติเหมือนแม่กับลูกที่มาเล่าอยู่เวลานี้ทั่ว หน้ากัน จะเป็นความดีมาก ส่วนพ่อนั้นเรียกว่าเลวเป็นลำดับลำดา อย่าเอามาเป็นตัวอย่าง ที่เลว พ่อคนนี้ถ้าเป็นพ่อหมาหรือก็น่ากลัวว่ามันจะไม่รับเป็นพ่อมัน เพราะมันเลวกว่าหมา ให้พากันระมัดระวัง พ่อประเภทที่กล่าวมาเหล่านี้ ไม่ใช่พ่อของคนดีทั่วๆ ไป ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบทุกคน ที่เด็กมาพูดเหล่านี้กระจายทั่วโลก ควรจะได้เป็นคติตัวอย่าง โดยนำเอาเรื่องของแม่และเรื่องของลูกนี้มาเป็นคติเครื่องเตือนใจ

ส่วน เรื่องของพ่อเป็นพ่อที่เลว อย่านำมาเป็นคติจะเป็นคนเลวกันทั่วโลกไปหมด นี่เราพูดเฉพาะเรื่องแม่ดี ลูก ๆ ดี พ่อเลว ทีนี้เมื่อย้อนแล้วพ่อดี แม่ไม่ดี ลูก ๆ ไม่ดี ลูกเลวก็เป็นความเสียหายเช่นเดียวกัน จึงอย่านำมาใช้ให้เป็นพ่อดี เป็นคติตัวอย่าง พ่อดี ลูก ๆ ดี เป็นคติตัวอย่าง แล้วทั่วโลกนี้มีพ่อมีแม่มีลูกทั่วหน้ากัน ซึ่งใครก็มีโอกาสที่จะทำผิดหรือทำถูกได้เต็มตัวเช่นเดียวกัน ส่วนมากมักจะทำผิด เพราะสิ่งที่ผิดนี้มีกำลังมากกว่าสิ่งที่ถูกอยู่ภายในใจดวงเดียวของเรา จึงขอให้พากันพินิจพิจารณาให้ดี

เรื่องของเด็กกับแม่นี้เป็นคติอันดี งาม เรื่องของพ่อนี้เป็นผู้ที่เลวอย่านำมาใช้ ทุกคนผู้ชายเราให้เห็นใจ อยู่ร่วมกันในครอบครัว อยู่กับเมียให้เห็นใจเมีย เมียมีหัวใจ ผัวมีหัวใจ ลูก ๆ ทั้งหลายมีหัวใจ แม้ที่สุดสัตว์เลี้ยงในบ้านเขาก็มีหัวใจ เอาไปปล่อยไปทิ้งไปขว้าง หรือไปฆ่าด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งทำลายจิตใจและร่างกายของสัตว์นั้นไม่เป็นสิ่งที่ควรอย่างยิ่ง ให้นำธรรมอันนี้ไปปฏิบัติทั่วโลก สมกับนามว่าเราเป็นชาวพุทธนะ นี่เป็นข้อหนึ่ง แล้วมีอะไรที่ยังบกพร่อง

(ลูกเขาถามว่าเขาทนไม่ไหว ที่พ่อเขาทำบาป เขาถามว่าที่เขาต่อว่าพ่ออย่างนี้เป็นบาปไหมครับ) ต่อว่าพ่ออย่างที่ต่อว่าในทางที่ถูกอย่างนี้ไม่เป็นบาป พระพุทธเจ้าก็เคยต่อว่าสัตว์มามากแล้ว เป็นแต่เพียงว่าสัตว์มันดื้อด้าน มันไม่ยอมฟังคำพ่อใหญ่คือพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง ให้เราฟังคำพ่อของเราคือพระพุทธเจ้าทุกคนๆ นะ ต่อไปว่าไป (ไม่มีครับ มีข้อเดียวนี่ครับเขาข้องใจอยู่ ) ว่าเขาจะเป็นบาปไหมว่างั้น ไม่เป็นบาป ควรว่าต้องว่าซิ พ่อกับลูก แม่กับลูก มีความรับผิดชอบกันอยู่เต็มตัวด้วยกัน ใครผิดใครถูกต้องแนะนำ ต้องดุต้องว่ากันเป็นธรรมดา คนเราถ้าว่าถ้าสั่งสอนกันไม่ได้ โลกนี้เรียกว่าไม่มีธรรมเลย ถ้าเป็นสัตว์ก็เป็นสัตว์ไม่มีเจ้าของ ไม่มีใครต่อว่า ไม่มีใครรับผิดชอบ จึงอย่าให้เป็นดังที่ว่านี้

ให้แนะนำตักเตือนกันได้ ไม่ว่าแต่ในครอบครัวเหย้าเรือนของเรา เพื่อนฝูง ญาติมิตร คนร่วมงาน รวมแล้วทั่วโลก เห็นหน้ากันแล้วใครผิดใครถูกให้แนะนำบอกกล่าวกันได้ เพราะความดิบดีทั้งหลายนี้เป็นธรรมทั่วโลก โลกเราถ้าต่างคนต่างคอยฟังเสียงถูกต้องดีงามคือเสียงอรรถเสียงธรรมต่อกัน อยู่แล้ว จะมีความสนิทสนมกันทั่วประเทศ เช่นอย่างประเทศไทยสนิทกันทั่วประเทศ ในวงงานต่าง ๆ ก็มีความสนิทตายใจกันทั่ววงงาน เข้ามาครอบครัวเหย้าเรือนก็สนิทสนมตายใจกันด้วยทั้งครอบครัว เพราะต่างคนต่างฟังเสียงเหตุเสียงผล เสียงอรรถเสียงธรรม เพื่อการแก้ไขในสิ่งไม่ดี และปฏิบัติตัวให้ดีต่อกัน

มีเท่านั้นหรือ ถามมาอีก (เขาว่าปรกติปัจจุบันนี้ผู้ใหญ่จะชอบเอ็ดเด็ก เวลาเด็กจะต่อว่าผู้ใหญ่ก็จะอ้างว่าเป็นพ่อเป็นแม่ เด็กมาว่าพ่อแม่ไม่ถูก เป็นบาปไม่สมควรครับผม) พ่อเช่นนี้เรียกว่าพ่ออันธพาล แม่เช่นนี้ก็ว่าแม่อันธพาล เข้าใจเหรอ ถ้าลูกคอยจะต่อว่า จะเถียงพ่อเถียงแม่ โดยความประพฤติของตัวที่เลวนี้ไม่ยอมแก้ไข นี่ก็เรียกว่าลูกอันธพาล ถ้าตรงกันข้ามดีแล้ว พ่อก็เป็นคนดี แม่เป็นคนดี ลูกเป็นคนดี ไปสังคมกับใคร ๆ ก็กลายเป็นคนดีด้วยกัน เอ้า ถามมา ถ้าเตรียมจะตอบแล้วถามมาก็ตอบเลยแหละ (อย่างนี้ให้ยึดหลักธรรมะเป็นหลักนะฮะ ถ้าทำถูกต้องตามหลักธรรมะ จะเป็นลูกเป็นผู้น้อยก็ต่อว่าผู้ใหญ่ที่ไม่มีธรรมได้)

ได้ เพราะธรรมใหญ่กว่าอยู่แล้ว อยู่กับเด็ก ธรรมก็ใหญ่ เพราะฉะนั้นเด็กนำธรรมมาแนะนำสั่งสอนจึงถูกต้องดีงาม เพราะธรรมใหญ่อยู่แล้ว ไม่มีอะไรใหญ่เกินธรรมไป ใครจะหยิบขึ้นมาตักเตือนสั่งสอนซึ่งกันและกันได้ทั้งนั้น เอ้า ถามมา (ให้หลวงตาอธิบายให้ลึกซึ้งไปอีกครับ) แล้วแน่ใจหรือยังว่าที่ถามนี่ลึกซึ้งขนาดไหน ถามมานี่ เอะอะจะให้ผู้ตอบตอบลึกซึ้งเลย เราตอบไม่ได้ เราต้องคอยฟังเสียงคำถามมาก่อน ว่าผู้ถามถามอะไรและลึกซึ้งอย่างไรหรือไม่ จะมาบังคับให้เราตอบคนเดียว เอาลึกซึ้งทีเดียวเลยไม่ได้ เดี๋ยวเราจะพาไปขุดส้วมขุดถาน มันลึกซึ้งตรงนั้นนะ เข้าใจ เอ้าว่าไป

เออ ชี้ทางสว่าง ให้พากันฟังเหตุฟังผล เราเป็นลูกชาวพุทธ พ่อของเรานั้นเรียกว่าเลิศเลอแล้ว ในโลกทั้งสามนี้ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าแหละ ขอให้พากันยึด เด็กยึด ผู้ใหญ่ยึด น่าเคารพเลื่อมใส เด็กก็น่ารัก ผู้ใหญ่น่าเคารพเลื่อมใส ยึดมาปฏิบัติ ประสับประสานกันด้วยความดีทั้งหลายคือธรรม จะเป็นคนดีทั่วโลก เวลานี้ที่มันเกิดเรื่องเกิดราวตลอดเวลาทั่วโลกดินแดนกันนี้ มีตั้งแต่เรื่องกิเลสออกทำงานอาละวาด ผู้ใหญ่ยิ่งอาละวาดหนัก ไม่มีเหตุมีผลมีกฎมีเกณฑ์ ถืออำนาจป่าเถื่อนมาเป็นผู้สั่งการสั่งงาน ทีนี้โลกก็เลยเดือดร้อนไปหมด ถ้ามีอรรถมีธรรม ผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งมีความเมตตาสงสาร เฉลี่ยเผื่อแผ่แก่ผู้น้อยได้เต็มกำลังของตนๆ ผู้น้อยก็มีความเคารพรัก ไปที่ไหนเป็นอย่างนี้ด้วยกัน ตามหลักของผู้ใหญ่แล้วดี เช่นประเทศชาติต่างๆ นี้ มีประเทศใหญ่ประเทศเล็ก มีทั่วไป นี่ก็เท่ากับเป็นพ่อเป็นพี่เป็นน้องกันมาโดยลำดับ แล้วต่างคนต่างให้อภัยเฉลี่ยเผื่อแผ่กัน เป็นธรรมด้วยกันทั้งนั้น ตอบนี้ลึกไหมนี่ ตอบนี้ลึกหรือไม่ลึก

เอา ให้ถามมาลึกๆ กว่านี้ลองดูซิ จะตอบว่ายังไงผู้ตอบน่ะ คอยฟังคำถาม ถามมาเสียก่อนซิ (ในจดหมายนี้นะครับ แม่ก็คอยจะห้ามลูกอยู่ตลอดเวลา เวลาลูกจะต่อว่าพ่อ กรณีที่พ่อทำบาปทำผิดนี่นะครับ) แม่นี้ถูกต้องดีมากทีเดียว ถึงขั้นดีมากของขั้นฆราวาสเรา เราฟังเสียงมาโดยลำดับ ไม่มีอะไรแสลงหูเลย เอ้า ว่าไป (ลูกก็อธิบายกับแม่ว่า ลูกเข้าใจคำว่ากตัญญู แล้วเขาก็มีให้เต็มร้อยกับพ่อแม่ แต่ทีนี้ความถูกความชอบธรรมนั้น ควรจะว่ากล่าวกันได้ ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ใครถูกก็ต้องว่าไปตามถูก แต่แม่ก็ชอบอ้างว่าอย่าไปต่อว่าพ่อ เพราะจะเป็นบาป)

อันนี้แม่คงเห็น ว่าพ่อมันเป็นเสืออยู่แล้ว ใครเดินผ่านมามันจะงับเอา แม่ก็เลยเตือนลูก กลัวลูกตายเพราะพ่องับเอา แม่ไม่ได้ผิดนะ แม่มีแง่คิดอยู่ภายในลึกๆ ว่าจะเกิดเรื่อง ความหมายว่างั้น เอ้าว่าไป วันนี้เอาสนทนาละมา เอ้า ถามมาจะตอบ การเทศน์สอนโลกคราวนี้ ๕ ปีกว่า บกพร่องที่การถามการตอบธรรมะ เราพูดมาโดยตลอด ถ้ามีการถามการตอบธรรมะกันแล้ว ธรรมะทั้งหลายเหล่านี้จะมีรสชาติสูงขึ้นโดยลำดับ เพราะการถามการตอบธรรมะนี้ เป็นสิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็นมาก่อน ออกจากความรู้สึกของแต่ละคนที่ถามมา การตอบไปก็ตอบไปตามเหตุตามผลหลักเกณฑ์ของการถาม เพราะฉะนั้นคติตัวอย่างอันดีจึงมักจะเกิดจากปัญหา ธรรมนี้ท่านไปกลางๆ ยึดได้เป็นลำดับๆ แต่ปัญหานี้มักตอบเข้าสะดุดใจกึ๊กๆ ไปเลย

(เหตุผล ของพ่อที่ทำร้ายสุนัขก็ดี เอาสุนัขไปปล่อยก็ดี บอกว่าสุนัขมันชอบทำสกปรก พ่อไม่อยากทำความสะอาด มันเป็นภาระของพ่อ) ถ้าหากพ่อว่าสุนัขสกปรก ก็ชำระพ่อตัวสกปรกใหญ่ ๆ นั้นเสียก่อนซี พ่อทำทุกอย่างที่เป็นความสกปรกแก่ครอบครัวเหย้าเรือน มิหนำซ้ำอาจทำต่อเพื่อนฝูงต่อไปก็ได้ ด้วยความสกปรกจากความประพฤติอันนี้ พ่อควรจะทำความสะอาดให้พ่อเสียบ้าง หมาทำความสกปรกไม่เหมือนพ่อทำความสกปรก ซึ่งเป็นความเสียหายมากยิ่งกว่าหมาทำความสกปรกในบ้านในเรือน ไม่เห็นมีความเสียหายอะไร เป็นตามประสาหมาเฉยๆ ถ้าว่าขี้เขาไม่มีส้วม เขาก็ขี้ระไป จะไปว่าเขาทีเดียวก็ไม่ได้ เราคนมีส้วมอยู่มันยังไปขี้ใส่หัวคนได้ ขี้รดหัวคนก็ได้ ความประพฤติชั่วนั่นแหละรดหัวใจของคนให้บอบช้ำมากมาย ยิ่งกว่าหมาทำความสกปรกต่อคน เอ้า แล้วมีอะไรอีก

(มีอีกนิดหนึ่ง เขามีปู่อยู่ด้วย ปู่ก็รักหมา แต่พ่อก็เอาหมาของปู่ไปปล่อย) นี่ละพ่อตัวอันธพาล ไปทำลายจนกระทั่งปู่ หมาปู่ก็ทำลาย ปู่ก็ทำลาย พ่อคนนี้เลวมากใครอย่าเอามาเป็นตัวอย่าง พ่อคนนี้ถ้าลงเป็นปู่แล้วมันยังจะร้ายยิ่งกว่านี้ มันเป็นขนาดนี้ก็ยังเลวมากอยู่แล้ว ถ้าได้เป็นปู่คนนี้โลกนี้พินาศเลยนะ ปู่คนนี้น่ะ เข้าใจไหม เอาแค่นั้นก่อน เอ้า ถามมา ถ้าเตรียมจะตอบเอาจริงนะ พอถามปั๊บมันจะใส่ปั๊วะเลย พูดจริงๆ เพราะฉะนั้นเราถึงว่าบกพร่องในเรื่องปัญหา การไปเทศนาว่าการ ถ้ามีปัญหามามันจะรับกันทันที ออกทันที ขนาดไหนออกมา เว้นแต่อะไรควรไม่ควรมันก็รู้เอง เท่านั้นเอง

ปัญหาเหล่านี้เป็น กัณฑ์เทศน์อันใหญ่หลวงสำหรับเราชาวพุทธ ควรจะได้ถือเป็นคติตัวอย่างในครอบครัวเหย้าเรือนของกันและกัน ให้ดูใจกัน ผู้หญิงฝ่ายแม่บ้านก็ให้ดูใจพ่อบ้าน พ่อบ้านดูใจแม่บ้าน ดูใจลูกเล็กเด็กแดงตลอดไปหมด ต่างคนต่างอ่านเข้าอ่านออก กระจายออกไปแล้วจะมีส่วนดีออกใช้มากกว่าส่วนที่เสียหายนะ ส่วนมากคนเราไม่ค่อยคิด อยากทำอะไรก็ผลุนผลัน เพราะอำนาจของกิเลสมันรุนแรง เกินกว่าที่จะได้ไตร่ตรองหรือห้ามปรามไว้เสียก่อน มันผางออกไปแล้ว ๆ เสียหายมาแล้วมันก็เสียไปแล้ว แก้ไม่ตก แล้วก็ไม่สนใจจะแก้ด้วย นี่ที่สำคัญ มีแต่ทำเรื่องสกปรกไปเรื่อย ไม่มีการแก้เลย

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๖