รดน้ำมนต์ไม่ใช่ที่พึ่ง

การที่พวกเราได้เข้ามาทำบุญกุศลนั้น เป็นการทำให้จิตใตของเราเข้าใจใน เรื่องการทำบุญมากขึ้น เข้าใจในเรื่องปัญญา ได้รู้เรื่องความสงบของใจ ถ้าคนไม่มีสมาธิ ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ เหมือนคนเรียนดาราศาสตร์ กับโหรา ศาสตร์ อยู่ดีๆ จะไปรู้เรื่องดวงดาวนั้น ดวงดาวนี้ไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ลึกกว่า คนที่ไม่ได้เรียน พุทธศาสตร์ก็เหมือนกันคนที่จะรู้ได้ ก็เป็นคนที่เข้ามาศึกษา เล่าเรียน เพราะพุทธศาสตร์เป็นของที่ละเอียดลึกซึ้ง ยิ่งกว่าดาราศาสตร์ ยิ่งกว่าโหราศาสตร์ เพราะดาราศาสตร์เรียนเรื่องดวงดาวในท้องฟ้า โหราศาสตร์ก็เรียนเรื่องผูกดวงดาว หรือผูกดวงชะตาของคนโน้นคนนี้ แต่พุทธศาสตร์นั้นเรียนของที่มีอยู่ในตัวเรา ที่เราไม่รู้จักตัวเราท่านก็ให้ค้นหาศึกษาตัวเรา

แค่คำว่า ” วิญญาณ ”  วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ โหราหศาสตร์ก็ไม่สามารถจะรู้เรื่องวิญญาณ…เกิดอย่างไร…ดับ อย่างไร แต่พุทธศาสตร์สอนให้รู้จักเรื่องวิญญาณ ว่ามีทั้งดีทั้งร้าย ทั้งบุญทั้งบาป ทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งวิญญาณสัตว์ วิญญาณเทวดา วิญญาณมนุษย์ และในทุกจักรวาลล้วนแต่มีวิญญาณอยู่ทั่วไป แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ไปดู วิญญาณภายนอกอย่างเดียว ท่านต้องการให้ศึกษาวิญญาณภายใน ให้ดูแรงกระทบของวิญญาณวิญญาณที่เกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(จักขุวิญญาณ) หูก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(โสตวิญญาณ) จมูกก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(ฆานวิญญาณ) ลิ้นก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(ชิวหาวิญญาณ) กายก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(กายวิญญาณ) ใจก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(มโนวิญญาณ) ฉะนั้นถ้าเข้าใจวิญญาณหกนี้ ก็เข้าใจธรรมอันลึกซึ้งของพระพุทธเจ้า
การค้นหาวิญญาณท่านบอกว่า…ต้องค้นหาในสติปัฏฐาน 4 นั่งก็ดี เดินก็ดี กินก็ดี คิดก็ดี นึกก็ดี ให้กำหนดเอาสติ เอาสมาธิ เอาปัญญานั่นเข้าไปจับจดจ่ออยู่กับอิริยาบถการเคลื่อนไหวของตัวเองจึงจะจับวิญญาณ ได้ ถ้าคนไหนจับวิญญาณได้ก็เป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามีเป็นอรหันต์ เป็นผู้วิเศษในธรรมทั้งหลาย สิ่งที่ไม่รู้ไม่มีเลย จากคนโง่กลายเป็นคนฉลาด จากคนหลงกลายเป็นคนไม่หลง จากผู้ไม่รู้กลายเป็นผู้รู้ เช่นพระพุทธ เจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นหาวิญญาณที่โคนโพธิ์ เพียงคืนหนึ่งท่านค้นพบวิญญาณ แล้วสามารถรู้จักการเกิดและการดับ ของวิญญาณได้ ท่านรู้ตั้งแต่หัวค่ำไปถึงเที่ยงคืน ท่านค้นในอายตนะทั้ง 6 นี่เอง พอท่านสำเร็จแล้วท่านก็สอนปัญจวัคคีย์ให้รู้จักจับวิญญาณ ที่เราหลงท่องเทียวไปในสังสารวัฎ เมื่อดับวิญญาณได้แล้วจึงจะไปถึงนิพพาน
พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงวิธีการจับวิญญาณ เช่น เวลาตาเห็นรูป ตานั้นเป็นอายตนะภายใน รูปเป็นอายตนะ ภายนอก เมื่อตากับรูปกระทบกันเขาเรียกว่าเกิดจักขุวิญญาณ เมื่อกระทบกันแล้วก็เกิดผัสสะ เมื่อเกิดผัสสะก็เกิด เวทนา คือเกิดความชอบใจความไม่ชอบใจ ก็เกิดตัณหาอุปาทาน เกิดกรรมเกิดวิบาก เกิดการยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา แล้ว ก็ส่งไปถึงใจ ดังนั้นที่ดีที่ชั่วได้ทุกวันนี้เพราะได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้กระทบสัมผัส เราไม่รู้สิ่งที่มันเกิด กับตา กับหู กับจมูก กับลิ้น กับกาย กับใจ เราไม่รู้ทันอารมณ์ก็กลายเป็นทาสของอารมณ์ ก็ปล่อยให้มันเกิดจนเป็น โทษเป็นทุกข์ไป เป็นอุปาทานเป็นการยึดติดไปหมด เรื่องสิ่งเหล่านี้เป็นของละเอียดอ่อนทั้งหมดเลย ธรรมของพระ พุทธเจ้าจึงต้องรู้ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ต้องมีสมาธิในการฟัง มีสมาธิในการจำ มีสมาธิในการปฏิบัติ มีสมาธิ ในการพิจารณาให้เห็นให้เข้าใจในเรื่องการประพฤติธรรมตรงนี้

ที่เรามาเรียนเรื่องสติปัฏฐาน ๔ มาเรียนวิธีจับวิญญาณด้วยการเห็นสุข เห็นทุกข์ เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นใจตัวเอง เอาจิตเข้าไปจดจ่ออยู่กับการประพฤติปฏิบัติ เราก็จะรู้ได้ และก็จะเกิดความสบายอกสบายใจรื่นเริง บันเทิงใจเบิกบานสว่างไสวในจิตใจของเรา แต่ถ้าเราไม่รู้ เราก็ถูกอวิชาปิดบัง มันก็ไม่เข้าใจ คนที่อึดอัด หงุดหงิด ฟุ้งซ่านรำคาญใจมีอารมณ์ไม่สบายอกไม่สบายใจอยู่ตลอดวันตลอดคืนหรือตลอดชีวิต ดีใจก็ดีใจมาก เสียใจก็เสีย ใจมาก เพราะยังไม่รู้จักการเกิดและการดับของวิญญาณ คือยังไม่ได้ปฎิบัติธรรมนั้นเองจึงไม่รู้วิธีดับทุกข์ของตัวเอง พระพุทธเจ้าจึงสอนวิธีการทำบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ ด้วยวิธีการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน คือการเข้าไปดูจิตดูวิญญาณของตัวเองให้ได้ เอาศีล สมาธิ ปัญญา ไปส่องสว่างดูว่า…วิญญาณที่พาเกิดพาตาย พาเวียนว่ายไปเป็นมนุษย์ ไปเป็น เทวดา ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปนรกนี่มันอยู่ที่ไหน ถ้าใครตามเจอตามพบก็เป็นอันจบวิญญาณ คือจบจิตก็ไม่ต้องไป เกิดอีกแล้ว ไม่ต้องไปร้องให้ ไม่ต้องไปเสียใจ ไม่ต้องไปทุกข์โศกความผิดหวังต่างๆก็หมดกัน แต่ตราบใดที่เรายังตามหาวิญญาณไม่เจอ ดับวิญญาณชั่วร้ายไม่ได้ เราก็ยังต้องทุกข์ ต้องโศกต้องมีโรคมีภัย มีความผิดหวังทั้งหลาย ทุกข์จะเข้ามาอยู่ในชีวิตของเราทั้งหมดเลย ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายที่ทำบุญกุศลกันก็ต้องพยายามเข้าใจเรื่องธรรมของ พระพุทธเจ้า

ถ้าเราฟังธรรมก็ไม่รู้เรื่อง นั่งสมาธิก็ไม่เข้าใจ พระอธิบายเรื่องรูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ ก็ฟังไม่รู้เรื่องอาจจะเข้าใจว่า …ทำไมคนอื่นเขาจึงทำกันได้ …ทำไมเขาจึงเข้าใจเรื่องนั้นได้ …แล้วเราเป็นใคร …มาจากไหน ก็ต้องไปหาครูบาอาจารย์เพื่อขอวิธีการปฏิบัติเปิดใจตัวเอง ด้วยการหัดเดินจงกรม ด้วยการหัดนั้งสมาธิ จับลมหายใจก็ได้ แล้วพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนังของตัวเราให้มากๆ คิดถึงตัวเราให้มากๆ แล้วก็เลิกคิดถึงคนอื่น ความสงบก็เกิดขึ้น ความหลงก็น้อยลง อันนี้ก็ช่วยเราให้เกิดปัญญาได้ เรายังมีโอกาส ยังมีเวลาอยู่นะ

เรายังมีพระไตรปิฎกอยู่ในตัวเรา แต่เรายังไม่ได้เปิดอ่านเท่านั้นเอง เราต้องรู้จักเหตุของการเกิดความทุกข์ใจ และหาวิธีดับทุกข์ใจให้สู่ความสงบให้ได้ เมื่อทุกคนเข้าถึงความดับ ความว่างเปล่าได้แล้ว บุคคลนั้นจึงค่อยเข้าใจแก่นธรรมของพระพุทธเจ้า จึงจะค้นหาแก่นธรรมของพระพุทธเจ้า โดยเปิดใจตัวเอง ดูวิญญาณตัวเอง แล้วจบตรงที่รู้จักวิญญาณตัวเอง ก็ไม่มีอะไรมาปิดบังปัญญาเราได้ แล้ว เราก็สามารถที่จะรู้แจ้งเห็นจริงตามธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน ก็หายหลง หายโง่ได้ น่าเสียดายที่คนไทยชาวพุทธไทยยังไม่เป็นนักฟังที่ดี ยังไม่เป็นนักปฎิบัติที่ดี ยังไม่เป็นนักอ่านที่ดี ยังไม่รู้จักทุกข์ที่เกิดกับใจ ยังไม่รู้จักวิธีการดับทุกข์ที่ใจ ยังไม่รู้จักมรรคที่เกิดกับใจ ยังไม่รู้จักนิโรธ์ที่เกิดกับใจ แต่คนไทยเราชอบให้ทาน ชอบพิธีกรรม ชอบจะไปสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ชอบจะไปรดน้ำมนต์ ชอบไป หาหมอดู ชอบจะไปทอดกฐินทอดผ้าป่า ชอบปิดทองหล่อพระ คนไทยจึงได้แต่เปลือกพุทธศาสนา ไม่มีวิธีปฎิบัติสติปัฏฐาน 4 ไม่รู้วิธีเจริญกรรมฐาน ถ้าคนไทยเราเอาธรรมล้วนๆ มาปฎิบัติกันหมดทั้งประเทศ ประเทศเราจะมีความเจริญมากกว่านี้ คนเราจะมีความสบายกายสบายใจจะมีความสุขมากกว่านี้ ความเจริญอย่างอื่นเท่ากับความสุขทางใจ ทุกคนก็จะมี ความหวังในพระพุทธศาสนาว่าเป็นที่พึ่งของเราในบั้นปลายสุดท้ายได้แน่นอนเลย

หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ
http://www.vimokkha.com/dhamlife.htm

ใส่ความเห็น