Category Archives: ทาน ศีล บาป บุญ พุทธศาสนา ธรรมะ

อย่าเปลี่ยนศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาไสยศาสตร์

อันนี้ครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ ท่านเทศน์แจ้งๆ ท่านจึงได้ลูกศิษย์ดี ไปเทศน์ปิดๆ บังๆ ไม่ได้เรื่องหรอก พากันเอาไปพิจารณาดูให้มันดี อย่าสำคัญมั่นหมายว่าตัวเองดีวิเศษยิ่งกว่าชาวบ้าน ผมไปเทศน์ที่กรุงเทพฯ แต่ละที่ๆ แต่ละชมรม แต่ละแห่ง มีปัญหาเรื่องภูมิจิต ภูมิใจมาถามกัน โอ๊ย ถามจนตอบไม่หวาดไม่ไหว นี่ดีหน่อยนะนี่ ปริยัติก็ได้เรียนมาเป็นมหา ๔ ประโยค ปฏิบัติก็ได้ทำมาบ้าง ถึงแม้ไม่สำเร็จมรรคผลนิพพานใดๆ ก็พอรู้ช่องทาง มีประสบการณ์พอเล่าให้หมู่ฟังได้

ทีนี้ถ้าหากว่าอย่างพวกเราไม่มีการศึกษา เรียนปริยัติก็ไม่เอา ภาวนาก็ไม่เอาไหน เมื่ออายุพรรษามันมากขึ้น องค์นั้นก็ถูกเขาเรียกอาจารย์ องค์นี้ก็อาจารย์ หนักๆ เข้าใครๆ เขาก็ยกย่องให้เป็นอาจารย์ เอ เรานี่เอาตัวไม่รอดเสียแล้ว จิตใจมันก็เขว แล้วก็ไปหาเรียนวิชาอาคมเล็กๆ น้อยๆ มนต์หนังเหนียว มนต์เสน่ห์มหานิยม เอามาเผยแพร่ แทนที่จะเผยแพร่ธรรมะ เลยไปเผยแพร่สิ่งอื่นไป เราก็เลยพากันเปลี่ยนศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาไสยศาสตร์บ้าง เป็นศาสนาผีบ้าง เป็นศาสนาเทวดาบ้าง

ทีนี้ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายผู้ที่เขายังหลงอยู่ พระบางพวก บางฝ่ายก็พยายามที่จะแก้ แก้ความเข้าใจผิดของชาวบ้านให้เข้าใจถูก แต่พระอีกพวกหนึ่งก็ยังเอาวิชาเหล่านั้นมาเป็นเครื่องมือหาอยู่หากิน มันก็แก้ไม่ไหว

ผมภาวนาพุทโธ พุทโธ มาตั้งแต่อายุ ๑๔ ปี ถึงป่านนี้หนังผมไม่เหนียวเลย แต่บางคนเขาเอาคาถาอาคมมาปลุกเสกเข้า โอม พระสะเล็งเง็ง มือกูแข็งปานฟ้า มือกูฆ่าเหล็กตาย มือกูบายคมเหล็กไปพร้อม ปากกูฮ้อนปานไฟ ตีนกูใสปานกำแพงเพชร มือกูบาย ๗ หัวพญานาค ปากกูคาบพระจันทร์ ตีนกูยันพระอาทิตย์ สะหัสธงคงสะหัส เป่าปากพรวดลงไป ๗ บาท เคี้ยวกรุ๊บๆๆ กลืนลงไป ฟันแทงไม่เข้า ชาวบ้านเห็น โอ๊ย อัศจรรย์ พระองค์นี้ มีญาณ มีสมาธิ วิเศษวิโส ไปเที่ยวหาหลอกลวงให้เขาหลงๆๆ เป็นอยู่อย่างงั้น

ต้องระวัง สักกาโรกาปุริสัง หันติ ลาภและสักการะย่อมฆ่าบุรุษโง่ ในเมื่อเราโง่ไม่ศึกษาธรรมวินัยให้เข้าอกเข้าใจดี เรากลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ หากินไม่ถูกทาง บางทีไปเรียนวิชาอาคมเรียกภูตเรียกวิญญาณเขา เอาชื่อเขามาเขียนใส่กระดาษ เอาควั่นเป็นไส้เทียน แล้วก็นั่งบริกรรมภาวนาเรียกจิตเรียกใจเขาอยู่อย่างนั้นแหละ เขียนชื่อนาง ก. ลงไป นาย ก. ลงไป ภาวนาภัคคินิเม เอหิ ภัคคินิเม เอหิ ภัคคินิเม เอหิ เอ้า เรียกภูต เรียกวิญญาณให้เขาเกิดความเลื่อมใส ให้เขาเอาทรัพย์สินเงินทองมาบำรุงบำเรอ เราไปทำวิชาอาคมให้คนอื่นหลงใหลหลงเชื่อ มันก็มีค่าเท่ากันกับการขโมยจี้ปล้น

ทีนี้เราแสวงหาผลประโยชน์อันใดอันผิดกฎหมายของบ้านของเมือง เราก็ทำลายตัวเองโดยไม่รู้สึกตัว เพราะฉะนั้น ทั้งหลายเหล่านี้ต้องพิจารณา อย่าให้อามิสมันทำให้เราเสียผู้เสียคน พระทำผิดวินัยโดยไม่รู้สึกตัว เป็นอาบัติปาราชิกถมเถไป ไปหาผลประโยชน์โดยผิดกฎหมาย กฎหมายอันใดที่เขาออกมาแล้ว เขาตราออกมา มีปรับมีไหม มีจำคุก มีปรับไหมตั้งแต่บาทหนึ่งขึ้นไป ๕ มาสกขึ้นไป เราไปละเมิดกฎหมายอันนั้น มันก็ล่อแหลมต่อความผิดปาราชิก

ศิษย์พระพุทธเจ้า โดยหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
http://www.palungdham.com

พระแก้วที่บ้าน

ญาติโยมทั่วไปเห็นพระเห็นสงฆ์ก็มีศรัทธาเลื่อมใส เพราะเชื่อว่าพระสงฆ์เป็นผู้ทรงศีลทรงธรรม พากันแห่ไปทำบุญทำกุศล ให้ทานถวายจตุปัจจัยไทยทานตามมีตามเกิด เพราะเราเชื่อว่าจะเป็นบุญเป็นกุศล นี่เป็นการทำบุญกับพระที่เป็นพระสงฆ์ เป็นเนื้อนาบุญของโลก

ทีนี้เนื้อนาบุญของเรานั่งอยู่ข้าง ๆ เราก็มีอยู่ ที่บ้านก็มีพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นเนื้อนาบุญของบุตรของหลาน และปู่ย่าตายายพ่อแม่ก็เป็น พระแต่ละองค์ๆ ถ้าญาติโยมไปที่อุบลฯ ไปกราบหลวงพ่อมี ท่านจะถามว่ารู้จักพระแก้วไหม ถ้าใครบอกว่าไม่รู้จัก ท่านจะบอกว่าทำไมโง่แท้ ถามหาพระแก้วรู้จักไหม ไม่รู้จัก ทำไมโง่แท้ ทีนี้ท่านก็จะบอกว่า พระแก้วก็คือ พ่อแก้วแม่แก้ว ตาแก้วยายแก้ว ปู่แก้วย่าแก้ว ท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นพระแก้วของลูกของหลาน ที่ว่าเป็นพระแก้วก็เพราะว่าไม่มีใครจะปรารถนาดีต่อบุตรหลานของตนเองเหมือน ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ พวกญาติโยมทำงานหามรุ่งหามค่ำแสวงหาทรัพย์สมบัติผลประโยชน์ก็เพื่อลูกเพื่อ เต้า เพื่อลูกเพื่อหลาน บางคนถึงกับบ่นเช้าบ่นเย็น ลูกคนนั้นลูกคนนี้มันยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝา ยังไม่มีครอบมีครัว ถ้ามีลูกสาวหล่า (ลูกสาวคนสุดท้อง) หัวแก้วหัวแหวน พ่อแม่ก็บ่นอยู่เสมอว่า อีนางมันแต่งงานแล้วมีลูกมีผัวเป็นฝั่งเป็นฝามันมีความสุขสบายดีแล้วกูก็นอน ตาหลับ แน้….ผู้เฒ่าบ่นอย่างนี้เด้…. สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่น้ำใจของพ่อของแม่ทั้งนั้น

ดังนั้น การทำบุญ เมื่อไม่มีโอกาสไปทำบุญกับวัดกับวา กับพระกับสงฆ์ ทำบุญกับพ่อแม่ปู่ย่าตายายของตนเอง มาตาปิตุอุปัฏฐานัง การอุปัฏฐากเลี้ยงดูบิดามารดา เอตัมมังคะละมุตตะมัง เป็นมงคลอันสูงสุด เป็นอันดับแรกด้วยในมงคลสูตร ท่านเทศน์ไว้อย่างนั้นแล้วก็เป็นอันดับแรก สำหรับพระสงฆ์ยังไปอยู่ปลายๆ โน้น แสดงว่าความสำคัญนี่คือพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เป็นพระอันดับหนึ่งหรือองค์ที่หนึ่งของลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่เป็นผู้ให้เกิด เป็นผู้เลี้ยงดู เป็นผู้ให้วิชาความรู้ เป็นผู้ให้ทรัพย์สมบัติ เป็นผู้ให้น้ำจิตน้ำใจทุกอย่างแก่ลูกของตน เพราะฉะนั้นใครยังมีพ่อแม่อยู่ รีบอุปถัมภ์อุปัฏฐาก รีบทำบุญกับท่าน อย่าไปปล่อยให้ท่านลำบาก อย่างบางทีเราอาจจะศรัทธาในพระเจ้าพระสงฆ์ มีของดีๆ ขนไปให้พระเจ้าพระสงฆ์ฉันหมด แต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายปล่อยให้อด ก่อนอื่นนี่ต้องนึกถึงพ่อถึงแม่เสียก่อน ของดี ๆ จะไปใส่บาตร เอ้อ…ส่วนนี้จะให้พ่อแม่รับประทาน ส่วนนี้จะใส่บาตรให้พระ หรือถ้าหากจะคิดว่าส่วนนี้จะใส่บาตร ส่วนนี้จะเอาเหลือให้พ่อแม่ อะไรทำนองนั้น

พระเจ้าพระสงฆ์นี่กับพ่อกับแม่มีค่าเท่ากัน เราจะได้มาพบหน้าพระเจ้าพระสงฆ์ก็เพราะพ่อแม่ให้เกิด เราจะรู้จักพระเจ้าพระสงฆ์ก็เพราะพ่อแม่สั่งสอน เราจะรู้จักทำบุญสุนทานก็เพราะพ่อแม่เป็นผู้สอนเป็นผู้พาทำ ดังนั้น พ่อแม่จึงเป็นครู นอกจากจะเป็นครูแล้วยังเป็นพระพรหม เขาเขียนรูปพระพรหมไว้ ๔ หน้า เขาเขียนโกหก ความจริงพระพรหมไม่มี ๔ หน้า ๔ ตาอะไรหรอก มีหน้าเดียวเหมือนมนุษย์นี่ แต่ว่าพระพรหมท่านมีคุณธรรม ๔ อย่าง คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ท่านก็เลยเขียนปริศนาเอาไว้เป็นรูปพระพรหม ๔ หน้า ดังนั้น พ่อแม่ของเราก็เป็นพระพรหมเหมือนกัน พรหมา ติ มาตาปิตะโส บิดามารดาชื่อว่าเป็นพรหมของลูก เพราะบิดามารดาเป็นผู้มีเมตตาต่อลูก กรุณาสงสารลูก มุทิตาพลอยยินดีเมื่อลูกได้ดี อุเบกขาเบาใจ ได้นอนตาหลับเพราะลูกของตนมีหลักมีแหล่งช่วยตัวเองได้แล้ว อันนี้คือคุณธรรมที่มีในน้ำจิตน้ำใจของพ่อของแม่

ดังนั้น ใครจะทำบุญสุนทาน ใครจะทำอะไร ใครจะให้อะไรแก่ใคร ควรจะคิดถึงพ่อถึงแม่เป็นอันดับหนึ่ง อย่าปล่อยให้พ่อแม่ต้องลำบากยากเข็ญ ไปทำบุญแต่ที่อื่นไม่รู้จักทำบุญกับพ่อกับแม่ก็ไม่มีความหมายเพราะเราเป็น ผู้แล้งน้ำใจต่อพ่อต่อแม่ ขาดความกตัญญูกตเวที ความกตัญญูกตเวทีเป็นคุณธรรมที่เป็นพื้นฐานให้เกิดคุณงามความดี คนที่จะรู้จักว่าผู้อื่นดีได้ก็ต้องรู้จักว่าพ่อแม่ตัวเองดีกว่าใครทั้งหมด พ่อแม่ถึงจะเป็นขี้เหล้าเมายาเล่นการพนันเป็นนักเลงโต ศักดิ์ศรีของความเป็นพ่อเป็นแม่ก็ยังมีอยู่โดยสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง

ธัมมะ ธัมโม โดยหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
http://www.palungdham.com

เหตุที่พระสงฆ์ฉันเนื้อฉันปลา

โยมผู้หญิง วันก่อนฟังเทศน์เก่าๆ จากวิทยุ ที่พ่อแม่ครูจารย์พูดถึงพระโลกนาถ ที่ว่าเป็นพระอรหันต์มาจากเมืองนอก ฉันมังสวิรัติ

หลวงตา อ๋อ อันนั้นเสกตัวขึ้นเฉยๆ

โยมผู้หญิง เป็นพระที่หลวงปู่มั่นแก้ให้หรือเปล่าคะ

หลวงตา นี่เป็นท่านอาจารย์อุ่นต่างหาก โลกนาถนั้นสึกไปแล้ว ท่านอาจารย์อุ่นเอาตัวอย่างโลกนาถมาปฏิบัติมังสวิรัติ จนกระทบกระเทือนในวงคณะสงฆ์กรรมฐาน ไปที่ไหนเห็นพระฉันเนื้อฉันปลา เลยกลายเป็นว่าพระยักษ์พระผีไปหมด พอดีเผอิญเข้าไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นที่หนองผือ ท่านก็ใส่เอาอย่างหนักเลยทีเดียว เอ้า ท่านอุ่นมาสอนผมหน่อย ผมเป็นพระยักษ์พระผี ใครใส่บาตรอะไรมาก็ฉันตามเรื่องตามราวของศาสดาที่สอนไว้อย่างนี้ ท่านได้เรื่องพิสดารมาจากที่ไหนเอามาสอนผมหน่อยน่ะ ผมฉันเนื้อฉันปลาอยู่ทุกวันนี้ตามศรัทธาที่เขาให้มา ไม่ขัดต่อพระวินัยผมก็ฉันตามเรื่องของพระวินัย คำว่าพระวินัย คือไม่เห็นเขาฆ่าสัตว์เพื่อตัวเอง ไม่ได้ยินว่าเขาไปฆ่าสัตว์เพื่อตัวเอง และไม่เห็นเครื่องอาวุธที่เขาไปใช้ เช่นเขาไปตกปลา เขาเอาแหผ่านไปเขาจะไปตกปลามาถวายพระ ๓ อย่างนี้เป็นอุทิสสมังสะ เนื้อเจาะจง ห้ามไม่ให้ฉัน นอกจากนั้นเขาหามาเป็นธรรมดาๆ แล้วฉันได้ตามทางของศาสดา

ท่านได้วิเศษวิโสมาจากไหน เอามาสอนผมหน่อยน่ะ ท่านสอนอาจารย์อุ่นอยู่ในตัวนั่นแหละ แต่ท่านบอกว่ามาสอนผมหน่อยๆ แล้วท่านก็ซัดลงๆ สอนผมหน่อยๆ แล้วท่านก็ซัดลงๆ ผู้นี้ออกร้อน หลังจากนั้นก็ทิ้งหมดเลย ทิ้งหมดโดยสิ้นเชิง ท่านก็เก่งเหมือนกัน เพราะท่านก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมาตั้งแต่ก่อน แล้วไปหลงทิศหลงแดนไปจากพระโลกนาถนั่นแหละ ไปที่ไหนเขาเอาผ้าขาวปู อู๋ย เดินผึ่งผายบ้าตัวนั้น พระโลกนาถ ทางนี้ก็หลงไปตามเขา เอานั้นมาเป็นตัวอย่าง กระทบกระเทือนในวงคณะสงฆ์กรรมฐานมากมายก่ายกอง แล้วพระทั่วๆ ไปก็เหมือนกัน

พอดีเผอิญเข้าไปหาหลวงปู่มั่นที่หนองผือ ท่านก็ใส่เอาเสียจนเต็มเหนี่ยวนะ มีแต่ว่าเอ้าสอนผมหน่อย ซ้ำลงไปเรื่อย สอนผมหน่อย ซ้ำลงไปเรื่อย จากนั้นหมอบเลย หยุดเลย เลิกเลย ก็มีเท่านั้น ท่านอาจารย์อุ่นท่านเสียแล้ว ท่านไปเป็นลูกศิษย์ของพระโลกนาถ แล้วกลับมาหาอาจารย์เก่า คือหลวงปู่มั่นเป็นอาจารย์เก่า หลวงปู่มั่นเลยให้อาจารย์อุ่นนี้สอนท่าน ใส่เสียเปรี้ยง เอาสอนผมหน่อย ยิ่งตีลงไปๆ สอนผมหน่อย ตีเรื่อย สอนผมหน่อย ตีเรื่อย หมอบเลย จากนั้นก็ยอมรับร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ท่านตั้งใจปฏิบัติดี ท่านเป็นคนท่าอุเทน เคยกัน สนิทสนมกับเรานะท่านอาจารย์อุ่นนี่ ท่านเมตตาเรามากอยู่ เพราะท่านทราบว่าเราอยู่กับหลวงปู่มั่นอยู่แล้ว เข้าใจแล้วเหรอ โลกนาถนั้นกับท่านอาจารย์อุ่นเกี่ยวโยงกันอย่างนี้แหละ

เข้ามากรุงเทพนี้ โหย เขาปูผ้าให้เดินสบาย ผ่าเผยโอ่อ่า หยิ่งไปในตัวด้วย ไปสึกแล้วแหละ เรื่องฉันเนื้อฉันปลานี้ก็มีในพุทธบัญญัติแล้ว พระเทวทัตมาขอพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ทำตามจึงได้แยกจากพระพุทธเจ้า ๑) ให้พระอยู่ในป่าเป็นวัตร เป็นประจำชีวิตตั้งแต่วันบวช เข้าบ้านเป็นผิด พระองค์ก็อนุญาตไม่ได้ เพราะพระเกิดมากับญาติกับโยม พระมีความเคลื่อนไหวไปมาได้ ตถาคตเองก็อยู่ได้ทั้งป่าทั้งบ้านเกี่ยวกับโลกสงสาร แน่ะ เราอนุญาตไม่ได้ ๒) ไม่ให้ฉันเนื้อฉันปลา ถ้าฉันเป็นผิด อันนี้ก็เหมือนกัน สิ่งที่เกิดมาตามที่อธิบายผ่านมาแล้ว พระองค์ยังทรงเล็งญาณดูอีกนะ เอาย่อๆ นักปฏิบัติภาวนาจะรู้เรื่องของพระพุทธเจ้าเหล่านี้ได้เต็มกำลังของตัวเอง

ขอไม่ให้ฉันเนื้อฉันปลา คือเนื้อปลาเหล่านี้ สัตว์บางประเภทๆ นี้ รายไหนตายไปเนื้อหนังของเขา เขาหวังประโยชน์จากเนื้อหนังของเขาตลอด เวลาได้นี้ไปทำบุญให้ทานเขามีหวังได้รับ ถ้าปิดเสียนี้ทางเดินของเขาที่จะได้บุญได้กุศลไม่มี ยกตัวอย่างเช่น เอ้าไม่ต้องพูดไกลละ คุณแม่แก้วก็เป็นลูกศิษย์หลวงตาบัว ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนั่นแหละ แกนั่งภาวนาอยู่ตอนเช้า มีบุรุษคนหนึ่งเข้ามาขอ คุณแม่ นี่ผมเป็นหมูถูกนายบินยิงอยู่ที่ภูเขาลูกนั้น ที่ห้วยทรายนะ ไปเผลอตัวถูกเขายิงตาย เวลาผมตายแล้วนี้เขาเอาเนื้อหนังมาถวาย ขอให้ฉันฉลองเมตตาให้ผมด้วย นี่เห็นไหมล่ะ ผมตายด้วยความพลั้งเผลอ คือหิวน้ำไปกินน้ำเขาฆ่าตาย เขายิง

พอตื่นเช้ามาก็เรียกหมู่เพื่อนมา ทำไมแปลกๆ อย่างนี้ มันจะจริงไหม มันเป็นอย่างนั้นเมื่อคืนนี้ แกก็เล่าให้เขาฟัง ไม่นานพวกลูกเมียของนายบินที่ฆ่าหมูตายแล้วเอาเนื้อมาถวายสำนักแม่ชี นี่เนื้ออะไร โอ๋ย เนื้อหมูนี่ไอ้บินมันไปฆ่า ได้หมูมาจากภูเขานั้นๆ เลยเอามาทำบุญให้ทาน เป็นไงเข้ากันได้ไหมล่ะ ตรงเป๋งเลย ชื่อไอ้บินจริงๆ ยิงหมูตายแล้ว ทางนี้มาบอกไว้ก่อน เวลาเขาเอาเนื้อมาทานนี้ให้ฉลองศรัทธาให้ผมหน่อย ผมจะได้มีส่วนบุญส่วนกุศลจากเนื้อนี้ ผมสุดวิสัยตายไปแล้ว บุญกุศลจะเป็นเครื่องหนุนผม เวลาเขาเอามาถวายขอให้คุณแม่ช่วยฉลองให้หน่อย

พอพระออกบิณฑบาตกลับมานี้ เขาก็เอาเนื้อหมูมา เราซักใหญ่เลยที่นี่เพราะเรื่องมันเกิดขึ้นสักครู่ พูดกันยังไม่จบ มาก็เรื่องเข้ากันร้อยเปอร์เซ็นต์เลย อย่างนี้เป็นต้น เข้าใจไหม มันลึกลับ สัตว์ทั้งหลายที่ตายไปนั้นจะห้ามกันได้ยังไง เมื่อห้ามอันนี้ความมุ่งหมายของสัตว์ที่ตายไปแล้วจะไม่มีทางก้าวเดิน ไม่มีทางออก เข้าใจไหม ต้องอาศัยบุญกุศลจากเนื้อหนังของเขาที่ตายไปแล้วนั้นมาหนุนตัวเองไปอีก เข้าใจเหรอ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงไม่ทรงห้ามเรื่องการฉันเนื้อฉันปลา คือพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตคำขอของพระเทวทัต เอาสดๆ ร้อนๆ มาพูดนี่ พระพุทธเจ้าทราบด้วยญาณ อันนี้เรายกมาเพียงตัวอย่างย่อๆ เพียงเท่านี้ นี่ละเหตุที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงรับ

๓) ให้บิณฑบาตประจำขาดไม่ได้ ปรับโทษๆ ตลอด

๔) ฉันมื้อเดียว พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตจึงแหวกแนวหนีจากพระพุทธเจ้าไป ถ้าสมควรแล้วพระพุทธเจ้าจะทรงบัญญัติไว้แล้วตั้งแต่ต้น ไม่ให้ฉันเนื้อฉันปลา พระพุทธเจ้าจะเป็นพระองค์เอกทรงห้ามก่อนใครแล้ว นี่พระองค์ไม่เห็นห้าม นี่ละเรื่องราวมันก็มีอย่างนี้ พวกสัตว์ทั่วโลกดินแดนที่เขาตายแล้ว เนื้อหนังของเขายังเป็นประโยชน์แก่เขาเองเวลาเอาไปทำบุญให้ทาน อันนี้พูดไม่ออกนะ พูดนอกๆ อย่างนี้ไม่ได้ แต่เรื่องพระญาณพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น แล้วสาวกองค์ที่มีความเชี่ยวชาญก็รู้อย่างนั้น เป็นพยานกันอย่างนั้น ค้านกันได้ยังไง นี่ละเหตุที่บรรดาพระสงฆ์ท่านได้ฉันเนื้อฉันปลา นอกจากอุทิสสมังสะ เนื้อเจาะจง ๓ อย่าง ห้าม นั่นท่านก็บอกแล้ว เขาถวายเพื่อท่านไม่ได้ ห้ามเลย อุทิสสมังสะ เนื้อเจาะจง ฆ่ามาเพื่อนี้ๆ พอทราบแล้วอย่าฉัน ท่านยังมีแยกอีกว่า ถ้าองค์ไหนไม่ทราบก็ฉันได้อยู่ แต่องค์ทราบแล้วห้ามฉัน ฉันปรับอาบัติ นั่นท่านมีขั้นๆ ไปอย่างนี้ เอาละที่นี่พอ ให้พร

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
วันที่ 26 มิถุนายน 2547 เวลา 8:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
http://www.luangta.com

ตกนรกทั้งเป็น

ในวันนี้จะได้กล่าวถึงสิ่งที่เป็นอุปสรรค และยิ่งไปกว่าอุปสรรคคือเป็นความเสื่อม และนำไปสู่ความวิบัติในที่สุด สิ่งนี้ถ้าเรียกโดยภาษาบาลีก็เรียกว่า “หายนธรรม” สำหรับบางคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่า ทำไมจึงเรียกว่า ธรรมชนิดหนึ่งด้วย? ในกรณีอย่างนี้ ขอให้เข้าใจไว้ว่า คำว่า “ธรรม” เป็นคำกลาง ๆ จะใช้แก่ฝ่ายดี หรือฝ่ายชั่วก็ได้ จะต้องมีคำคุณศัพท์ประกอบเข้าข้างหน้าเป็นหายนธรรม หรือวัฒนธรรม เป็นต้น ถ้าเป็นวัฒนธรรมก็คือว่า ธรรมฝ่ายเจริญ, หายนธรรม ก็คือ ธรรมฝ่ายเสื่อม แล้วพึงเข้าใจไว้ด้วยว่า แม้แต่สิ่งที่เรียกว่า อธรรม ก็หมายถึงธรรมฝ่ายหนึ่ง คือธรรมฝ่ายเสื่อม หรือ ธรรมฝ่ายที่ทำลาย ความประสงค์ของสิ่งที่เรียกว่า ธรรมฝ่ายเจริญ แล้วคำว่า “ธรรม” หมายถึง รูปธรรม ก็ได้, นามธรรม ก็ได้, เจือกัน ก็ได้, กระทั่งถึงสิ่งที่ไม่ใช่รูปและไม่ใช่นาม เมื่อเป็นดังนี้ คำว่า “ธรรม” ก็หมายถึงทุกสิ่ง เราจึงแปลคำว่า ธรรม นี้ว่า สิ่ง เพื่อจะได้หมายถึงทุกสิ่ง มีชีวิตก็ได้ ไม่มีชีวิตก็ได้

หายนธรรมของโลกฆราวาส ก็หมายความว่า ฆราวาสนี้มีแบบการเป็นอยู่ หรือวัตถุประสงค์มุ่งหมาย หรือทุก ๆ อย่างเป็นที่รับรองต้องกันว่าเป็นอย่างไร, มีลักษณะเป็นสถาบันอันหนึ่ง ซึ่งเป็นสถาบันที่ใหญ่ที่สุด คือสถาบันของฆราวาสต่างจากสถาบันของบรรพชิต มีอะไรที่ไม่เหมือนกันอยู่หลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะการเป็นอยู่ ทั้ง ๆ ที่วัตถุประสงค์มุ่งหมายก็เป็นอย่างเดียวกัน คือ จะไปถึงจุดหมายปลายทางของมนุษย์ทั้งนั้น แต่สถาบันของฆราวาสมีการประพฤติ หรือเป็นอยู่ อย่างที่จัดไว้เป็นระเบียบเฉพาะ ฉะนั้นจึงเรียกว่า “สถาบันของฆราวาส” หรือ “โลกของฆราวาส” ซึ่งเป็นของสิ่งเดียวกัน แล้วที่พูดว่า “ในยุคปัจจุบัน” โดยเฉพาะนั้น ก็เพราะว่าเป็นยุคที่แตกต่างจากยุคที่แล้ว ๆ มายิ่งขึ้นทุกที เมื่อมันแตกต่างยิ่งขึ้นทุกที ก็หมายความว่า มันจะใกล้หรือไกลต่อจุดหมายปลายทางยิ่งขึ้นทุกทีด้วยเหมือนกัน แต่ในที่นี้มองเห็นเป็นความเลื่อม คือไกลจากวัตถุประสงค์มุ่งหมายของฆราวาส หรือสถาบันของฆราวาสก็ตาม ยิ่งขึ้นทุกที

พิจารณากันถึงลักษณะของความเสื่อม ที่เรียกว่า “หายนะ” หรือความเสื่อมนี้ ที่เห็นอยู่ชัดก็คือว่า มันเสื่อมไปจากการก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางของฆราวาสนั่นเอง คือก้าวไปในลักษณะที่ไม่เป็นความเจริญตามหลักแห่งอาศรม ๔ ประการ แต่แล้วก็มาจมอยู่ในลักษณะของความทนทรมานชนิดหนึ่ง เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นโดยไม่รู้สึก คำว่า “ความเสื่อม” ในที่นี้จึงมี ๒ ปริยายคือเสื่อมจากการก้าวไปตามหลักของอาศรม ๔ แล้วเลื่อนลงไปสู่ความทรมานโดยไม่รู้สึกตัว

โลก ของฆราวาสแห่งยุคปัจจุบันย่อมละเลย หรือเหินห่าง จากการที่จะก้าวไปตามหลักแห่งอาศรม ๔ คือเป็นพรหมจารี ก็เละเทะหมด เป็นฆราวาสที่ถูกต้องหรือบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่ได้ มันก็เละเทะอีกเหมือนกัน จึงไม่นำไปสู่วนปรัสถ์ คือมีชั่วโมงแห่งความสงบ หรือศึกษาค้นคว้าในภายใน เมื่อเป็นอย่างนี้มันก็ไม่มีอะไรที่จะไปสอนใครในลักษณะของสันยาสี นี่พอจะเห็นได้ง่าย ๆว่า มันไม่เป็นไปตามหลักของอาศรม ๔ เพราะมันเป็นไปในลักษณะที่เรียกกันว่าเละเทะ นี่เป็นภาษาสามัญหรือค่อนข้างโสกโดก มันก็เป็นอย่างนั้น นี่เพราะความที่เละเทะไปเสียทุกอาศรม มันก็เลยผิดพลาดเป้าหมาย ดังนั้นชีวิตจึงเป็นชีวิตที่เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นโดยไม่รู้สึกตัว

ตกนรกทั้งเป็น นี้ก็หมายถึงความทนทรมานอย่างชื่นตา คือรู้สึกอยู่ เห็นอยู่ก็มี แต่ส่วนมากหรือส่วนใหญ่นั้นมันไม่รู้สึก เพราะว่าถ้ารู้สึกมันก็ไม่ตก หรือพยายามดิ้นรนที่จะออกมาเสีย เพราะฉะนั้น การตกนรกทั้งเป็น ย่อมเป็นเรื่องไม่รู้สึกตัว รู้สึกแต่ความอึดอัด หรือความกระวนกระวาย หรือความเร่าร้อนบ้าง ก็จริง แต่ว่ามันเห็นเป็นความสนุกสนาน ชนิดที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัวไปเสีย เช่น คนหนุ่ม-สาว เห็นความสำมะเลเทเมาเป็นเรื่องประเสริฐ วิเศษไปเสีย ทั้งที่มันเป็นการทรมานจิตใจอย่างยิ่งอยู่ตลอดเวลา เขาแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้กับมันเสียในส่วนนั้น หรือไปหาอะไรมากิน มาดื่ม มากลบเกลื่อนในส่วนนั้น แล้วก็มองแต่ส่วนสำมะเลเทเมา ซึ่งมีรสชาติเป็นความเพลิดเพลิน ขอให้ระวังนรกทั้งเป็นนี้ให้มาก ๆ มันไม่ได้แสดงอาการชนิดที่น่ากลัว น่าวิ่งหนี แต่มันแสดงอาการที่ดึงดูด ลึงลงไปทุกที-ลึกลงไปทุกที

ลองสังเกตดูให้ละเอียด เรื่องอบายมุขต่าง ๆ เช่นไปดูหนัง โดยเฉพาะที่มันเป็นเรื่องที่ทำลายศีลธรรม หรือว่าไปเที่ยวที่สำมะเลเทเมา ซึ่งสมัยนี้มีเต็มไปทั่วทุกหัวระแหง เรียกชื่อต่าง ๆ กัน มีลักษณะต่าง ๆ กัน เวทนาที่เกิดขึ้นจากการดู การดื่ม การสัมผัส อะไรเหล่านี้ เป็นของร้อน แต่กลับรู้สึกเป็นของเอร็ดอร่อย สนุกสนาน จะว่าเย็น มันก็ไม่ถูก มันกระตุ้นให้ฟุ้งซ่านให้รำคาญ ให้กระวนกระวาย แต่มันมีรสอร่อยฉาบทาไว้ คนก็เห็นเป็นของน่าปรารถนา แล้วก็ทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมโบราณของตน มันก็ยิ่งเห็นเป็นของที่น่ากลัวมากขึ้น หรือมีทางที่จะทำให้ลืมตัว จมลงไปลึกมากขึ้น แล้วก็เป็นกันมากขึ้นทั่ว ๆ ไปทั้งโลก

เราต้องใช้สติปัญญา หรือใช้วิจารณญาณ หรือที่เรียกว่า “ดวงตาภายใน” คือหลับตาดู ก็เรียกว่าดวงตาข้างใน มองดูโลกให้กว้างออกไปให้ทั่ว ๆ มันมองได้จากข่าวคราว หรือจากรายงาน สถานการณ์อะไรต่าง ๆ ที่เขาโฆษณารายงานกันอยู่ กระทั่งที่มาพบเข้าได้ด้วยตนเอง ว่าคนมีอาการเหมือนสุนัขถูกราดด้วยน้ำเดือด คือมันดิ้นรนกระวนกระวายอย่างไร ไม่รู้ว่าตัวต้องการอะไร มีชาวต่างประเทศออกจากประเทศของตัวมาสู่ประเทศอื่น ๆ มากขึ้น ที่ออกมาเพื่อธุระการงาน หรือเพื่อความประสงค์เป็นผลได้เป็นประโยชน์ เป็นกำไรของเขานั้น ไม่พูดถึงก็ได้ แต่มีชาวต่างประเทศที่เขาออกมาค้นคว้าหาสิ่งที่เขารู้สึกว่าเขาต้องการ แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร เพราะเขารู้สึกแต่ความเดือดร้อนกระวนกระวายใจ จนสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในประเทศเขาแก้ไม่ได้ช่วยไม่ได้ จึงออกมาเที่ยวแสวงหาสิ่งที่มันอาจจะแก้ได้ สำหรับความกระวนกระวายใจ ความไม่เป็นสุขใจ ที่เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุอะไรนั้นก็มี คนชนิดนี้มีมากขึ้นทุกที กระทั่งมาถึงที่นี่ สอบสวน สอบถามดู มันก็เป็นเรื่องของความมืดมน มืดมนในลักษณะที่ไม่รู้ว่าชีวิตนี้คืออะไร เกิดมาทำไมนั่นเอง ไม่รู้ว่า อะไรเป็นต้นเหตุให้เกิดความกระวนกระวาย ไม่รู้เรื่องกิเลสตัณหา ไม่รู้เรื่องความยึดมั่นถือมั่น อย่างนี้มีมากขึ้น ๆ พล่านไปทั้งโลก แล้วส่วนใหญ่ก็พล่านมาทางโลกซีกตะวันออกของเรา ซึ่งเคยเป็นดินแดนแห่งความสว่างไสวในทางวิญญาณ นี้มันเป็นเครื่องบอกความที่ถูกนรกทั้งเป็นบีบคั้นโดยไม่รู้สึกตัว รู้สึกแต่เพียงว่า ไม่มีความสุข แล้วก็กระวนกระวาย ทางฝ่ายตะวันตก ทางฝ่ายที่เราเรียกกันว่า “เมืองนอก” นั้น ไม่มีอะไรจะระงับสิ่งเหล่านี้ได้ มีแต่จะยิ่งส่งเสริมให้มากขึ้น จนมัวเมาจนเรียกว่า ตามืด อีกทางหนึ่งก็ดิ้นไปในทางเสรีภาพที่เกินขอบเขต เสรีภาพที่ผิดทาง เช่นวิญญาณของฮิปปี้ ซึ่งกำลังมีระบาดมากขึ้น และไปทั่วโลกด้วยเหมือนกัน ประเทศที่ไม่น่าจะมีฮิปปี้ก็พลอยมีกับเขา ตาม ๆ กันไปมากขึ้น นี้แหละคือหายนะทางฝ่ายวิญญาณของโลกฆราวาสแห่งยุคปัจจุบัน ขอให้สังเกตดูข้อนี้ให้มาก สำหรับผู้ที่อยู่ในสถาบันฆราวาส

ทีนี้ จะได้พิจารณากันดูเป็นเรื่อง ๆ ไปให้ชัดเจนสักหน่อย มูลเหตุอันสำคัญ หรือข้อใหญ่ใจความของเรื่องนี้ ก็คือการที่โลกแห่งยุคปัจจุบันนี้มีความโง่เขลาชนิดที่แสงสว่างบังลูกตา จนย้อนกลับไปสู่ความเป็นป่าเถื่อน นี่ฟังดูแล้วก็ฟังยากหรือน่าฉงน ว่าโลกสมัยนี้ เจริญด้วยการศึกษาทุกอย่างทุกแขนงจนไม่รู้จะศึกษากันอย่างไรไหว แต่แล้วก็ยิ่งโง่ลง เพราะแสงสว่างนั้นบังลูกตา แสงสว่างบังลูกตาหรือตาพร่าเพราะแสงสว่างที่มันมากมายหลายสิบชนิด ประดังประดากันเข้ามาทุกทิศทุกทาง ไม่เป็นทิศ ไม่เป็นทาง จนตาพร่า แล้วความตาพร่านั้น มันก็เดินอย่างละเมอ ๆ ไปสู่ความเป็นป่าเถื่อน ของยุคป่าเถื่อนโน้น

ดูที่ผล หรือปรากฏการณ์ ก็เห็นได้ง่าย คือเบียดเบียนกันยิ่งกว่าสัตว์เดียรัจฉาน ในการแสวงหาก็แสวงหา อย่างที่เรียกว่าเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน คือไม่ต้องไปดูกันแล้วว่า ดีชั่ว ผิดถูก เป็นธรรม ไม่เป็นธรรม ถือเอาแต่ได้เข้าว่าอย่างเดียว นี้แหละคือความป่าเถื่อน แล้วเมื่อต่างคนต่างแสวงหากันในลักษณะอย่างนี้ มันก็มีการแย่งชิง คือรบราฆ่าฟันกันโดยปริยายต่าง ๆ และเลวร้ายยิ่งกว่าสมัยป่าเถื่อน คือในสมัยป่าเถื่อนเขาไม่ได้ฆ่ากันมากมายเหมือนสมัยนี้ แล้วก็ไม่มีความอำมหิตทารุณเหมือนสมัยนี้ ที่จะทิ้งระเบิดลงไปคราวเดียว ให้มันตายเป็นแสน ๆ ได้เหมือนเดี๋ยวนี้ โลกอย่างป่าเถื่อนก็ดูภาพอย่างที่เขาเขียนไว้ในตึกนั้นว่า

“สมัยนี้โลกกล้าอย่างป่าเถื่อน
จะรวบเดือนดาวใส่ในกระเป๋า
ศิวิไลซ์ มีความหมายว่าจะเอา
โลกของเราย้อนกลับหลังยังป่าเอย (คือป่าเถื่อน)

คำ ว่า “ศิวิไลซ์” ของโลก หรือในโลกนี้ หมายแต่จะเอาให้เอร็ดอร่อย สนุกสนานมากมายไม่มีขอบเขต กระทั่งจะเอาดาวเอาเดือนเอาดวงจันทร์ หรืออะไรก็ตามมาอยู่ในอำนาจ จะเก็บเอาดวงเดือนทั้งหมด มาใส่ไว้ในกระเป๋าของตัว มันก็เป็นเรื่องบ้าพลัง กลายเป็นเรื่องป่าเถื่อนที่สุด คือไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วก็หมดเปลือยอย่างเหลือประมาณ เป็นอันตราย หรือเสี่ยงอันตรายอย่างเหลือประมาณ จึงเรียกว่ามันมุทะลุดุดันอย่างป่าเถื่อน นี้คือความที่โลกแห่งยุคปัจจุบันรุดหน้าแต่ในลักษณะอย่างนี้ อย่างหลับหูหลับตา อย่างมัวเมากันไปทั้งโลก มองเห็นเป็นความเจริญ ซึ่งที่แท้เป็นหายนะ คือสิ่งที่นำมาซึ่งความฉิบหาย ล่มจมของโลกนี้

ข้อ ถัดไปก็คือว่า มันก็นำผลมาให้เป็นการกระทำที่สมกัน คือเช่นจัดการศึกษาชนิดที่เป็นทาสของวัตถุ อย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ไม่มีการจัดการศึกษาเพื่อความรุ่งเรือง สว่างไสวแห่งวิญญาณเสียเลย การศึกษาของโลกในโลกปัจจุบันกำลังเป็นอย่างนี้ หัวข้อนี้ก็ชัดเจนพอ ที่คุณจะไปมองเห็นได้เอง เพราะเราได้พูดถึงเรื่องวัตถุนิยมกันมามากแล้วข้างต้น นี้เป็นทาสของวัตถุนิยม บูชาวัตถุเป็นพระเจ้า หรือแม้จะแก้ปัญหาความทุกข์ร้อนของความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็มุ่งจะแก้โดยวัตถุ อาศัยวัตถุอย่างเดียว เป็น dialectic materialism ไปหมด จนเอาจิตไว้เป็น by product ของวัตถุเท่านั้น

การศึกษาชนิดไหน ก็ตามถูกจัดไปในลักษณะที่เป็นทาสวัตถุ การศึกษาพื้นฐานไม่ต้องพูดถึง มันก็เพื่อประโยชน์แก่เทคโนโลยี่ ในเบื้องปลาย เทคโนโลยี่ก็นำมาซึ่งผลเป็นวัตถุ ทีนี้การศึกษาประเภทที่เป็นจิตใจ เป็นเรื่องปรัชญา เป็นเรื่องศาสนา ก็พลอยถูกจัดให้เป็นทาส เป็นบริวารของวัตถุไปเสียหมด ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์เป็นวัตถุในที่สุด ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า งานมิชชันนารี่ของบางศาสนาซึ่งมีอยู่มากไม่น้อย นั้นเพื่อประโยชน์แก่การเมือง การเมืองก็เป็นเรื่องของวัตถุ

ที่เหลือ อยู่กลุ่มใหญ่ ก็คือพวกปัรชญาเพ้อเจ้อ ปรัชญาซึ่งแตกแขนงออกไปมากมาย หลายสิบหลายร้อยแขนง แต่ก็ไม่ทำความสว่างไสวทางวิญญาณ กลับทำความปนกันยุ่ง แล้วแต่ละแขนงก็จะหยิบมาใช้เป็นประโยชน์ ก็เพื่อประโยชน์ทางการเมือง เพื่อประโยชน์ทางกระตุ้นจิตใจบุคคลให้มัวเมาในทางการเมือง หรือเป็นความสามารถที่จะเดินแผนการเมือง ให้เป็นไปตามที่ตัวประสงค์ เมื่อเป็นการเมืองก็คือเรื่องผลเป็นวัตถุ ฉะนั้น เราเรียกว่า เขาจัดการศึกษาทุกแขนงนี้ไปในทางที่มันจะเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ทางวัตถุ เพราะจิตใจมันเป็นทาสของวัตถุ

คำว่า “วัตถุ” ในที่อย่างนี้ หมายถึงความเอร็ดอร่อย ที่จะได้มาจากวัตถุ ซึ่งเขาเรียกกันอย่างไพเราะเพราะพริ้งว่า “การกินดีอยู่ดี” ที่ไม่มีขอบเขต เสียดายที่ว่าคุณมีอายุเพียง ๒๐-๓๐ ปี คุณก็เห็นความแตกต่างระหว่างยุคได้น้อย ไม่เหมือนคนที่มีอายุหลาย ๆ สิบปี หรือตั้งร้อยปี เมื่อสมัย ๗๐-๘๐ ปีมาแล้ว เขากินอยู่กันอย่างไร สมัยนี้กินอยู่อย่างไร สมัยโน้นเล่นหัวอย่างไร สมัยนี้เล่นหัวอย่างไร มากมายหลาย ๆ แขนง นี้มันต่างกันแทบจะเป็นหน้ามือหลังมืออยู่แล้ว ถ้าเลยต่อไปตั้งหลายร้อยปี ก็ยิ่งมีความแตกต่างมาก ถ้าคุณจะศึกษาประวัติศาสตร์บ้าง โบราณคดีบ้าง ก็ขอให้ศึกษาเพื่อให้รู้สิ่งเหล่านี้

ตัวอย่างง่าย ๆ เช่นว่า ทำไมวัดวาอาราม พระวิหารเจดีย์อะไรที่สวยงามใหญ่โตโหฬาร เกิดขึ้นในรูปอย่างที่เราเห็น เหลืออยู่เดี๋ยวนี้ ซึ่งในสมัยนี้ไม่เกิดอย่างนั้น หรือจะไม่เกิดเลย เพราะว่าในสมัยโบราณนั้น เขาบูชาความสุขทางวิญญาณ รู้สึกเป็นสุขใจเมื่อได้ทำบุญ ทำกุศล หรือมีความสงบเย็นในทางวิญญาณ ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้นในรูปหนึ่ง พอมาถึงสมัยนี้ คนต้องการความสุขทางเนื้อหนัง เพราะฉะนั้นอะไรเกิดขึ้น คุณก็ไปดูซิ มันอาจจะมีโรง สถานที่ที่ให้ความเพลิดเพลิน เช่นโรงละครเป็นต้น แม้ที่สุดแต่อนุสาวรีย์ที่ยั่วยุให้รักชาติ รักประเทศ ก็มีมากมาย หนาขึ้น ไม่เหมือนกับสมัยก่อน ซึ่งอยากจะให้มันเลือนไปเสีย ให้มันลบเลือนไปเสีย ให้อภัยกันเสีย ไม่เอามานึกคิด สมัยนี้เราจะมายั่วยุ ให้โกรธชังกันตลอดกัลปาวสานเป็นต้น นี่เป็นเรื่องทางวัตถุ ไม่ใช่เรื่องทางวิญญาณ แม้จะเป็นที่ระลึกทางจิตใจ แต่ก็เป็นเรื่องทางวัตถุ

ทีนี้ มาดูถึงเรื่องการกินอยู่ในบ้านในเรือน การมีบ้าน มีเรือนอะไรต่าง ๆ แล้ว ก็ผิดกันไกล ล้วนแต่แสดงว่า เห็นแต่วัตถุอย่างเดียว มีลูกมีหลาน ก็อยากให้มันมีหน้ามีตา มีเกียรติ มีอะไร ประกวดความงาม อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อจะขายได้แพง ๆ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งสมัยก่อนเห็นเป็นอัปรีย์จัญไรในการทำอย่างนี้ ที่จะเอาเด็กรุ่นสาวมาแสดงอะไร ชนิดที่แสดงกันอยู่อย่างนี้ เขาเรียกกันว่า ลามกอนาจาร อัปรีย์จัญไร คนแก่มาก ๆ เห็นลูกหลานไปยกแข้งยกขาสูง ๆ อยู่ในจอโทรทัศน์ เขาจะเป็นลม อย่างนี้เป็นต้น นี่ลองเปรียบเทียบความต่างกันของจิตใจอย่างนี้ดู

ทั้งหมดนี้เป็นผลของ การศึกษาที่เป็นทาสของวัตถุทั้งนั้น ที่มันเกิดความนิยมอย่างนี้ขึ้นมาได้ มันไม่มีการศึกษาแขนงไหน ที่เป็นไปเพื่อความสว่างไสวทางวิญญาณ ผมเคยเสนอในที่ประชุมบางแห่งในเรื่องอย่างนี้ ก็ถูกหัวเราะเยอะอยู่ในใจ แล้วก็ถูกคัดค้านเสียงแข็งเกินร้อยเปอร์เซนต์ ในทำนองที่ว่า มันไม่มีที่ว่าง มันไม่มีช่อง ไม่มีโอกาส ไม่มีความเหมาะสมที่จะเอาเรื่องอย่างนี้ใส่เข้าไปในระบบการศึกษาสมัยนี้ ไปคิดอย่างนี้ และนี้แหละคือหายนะของสถาบันฆราวาสในโลกทั่งโลก คือจัดการศึกษาให้เป็นทาสของวัตถุ

มองดูต่อไป ถึงการกระทำที่กระทำอยู่ในปัจจุบัน เป็นการเร่งระดมช่วยกันล้างผลาญทรัพยากรของพระเป็นเจ้า หรือของธรรมชาติอย่างด่วนจี๋ที่สุด ช่วยกันล้างผลาญทรัพยการของธรรมชาติ หรือของพระเจ้า อย่างเร่งระดมมือกันทุกมือในโลกนี้ เพื่อทำลายให้มันหมดไปโดยเร็วอย่างด่วยจี๋ ที่คุณเรียกกันว่า “วิศวกรรม” หรือ “เทคโนโลยี่” หรืออะไรที่บูชากันนักนั้นแหละ นั่นคือเครื่องมือที่จะล้างผลาญทรัพยากรของพระเจ้า ประเทศที่เจริญมากเพียงประเทศเดียวในตะวันตก ตามสถิติที่ประกาศออกมา ใช้น้ำมัน ๕๘๐ ล้านแกลลอนต่อหนึ่งวัน สำหรับใช้เรื่องรถรา เรื่องอะไรต่าง ๆ ที่ต้องใช้น้ำมันนั่นแหละ หนึ่งวันยังใช้เท่านี้ หนึ่งเดือน หนึ่งปี หลายสิบปีมันจะเท่าไร แล้วก็ประเทศเดียวเท่านั้น มันยังมีอีกกี่สิบประเทศ กี่ร้อยประเทศ

ที่ผมเรียกว่าผลาญทรัพยากรของพระเจ้า ก็เพราะว่า ๙๕ เปอร์เซนต์ที่ใช้ไปนั้น เพื่อประโยชน์ทางวัตถุที่ไม่จำเป็น นี่ผมก็กลายเป็นคนบ้าบอที่มองเห็นความจำเป็น หรือไม่จำเป็น ผิดแปลกแตกต่างจากที่เขามองกัน รถยนต์ รถไฟ เรือบินหรืออะไรต่าง ๆ ที่มากไปกว่าเรือบินนั้น ใช้น้ำมันทั้งนั้น แล้วก็เป็นสิ่งที่มนุษย์จำเป็นจะต้องทำ นั่นก็ยังนิดเดียว ถ้ามาดูถึงว่า ที่เขาบินไปบินมา ว่อนอยู่ในโลกเวลานี้ใช้น้ำมันมากที่สุด หรือขับรถเร็วจี๋อยู่ตลอดวันตลอดคืน ในโลกเวลานี้ ใช้น้ำมันมากที่สุดนี้ มันเป็นเรื่องไม่จำเป็น มันเป็นเรื่องที่บ้าสร้างมันขึ้นมาให้จำเป็น

คุณ ไปคิดดูให้เห็นความจริง หรือความลับในข้อนี้ อย่างคุณอยู่ในกรุงเทพฯ คุณนั่งดูเถิด ขับรถไปบางแสนนั้น มันจำเป็นหรือไม่จำเป็น หรือไปหาความสำราญอย่างอื่น จะเห็นได้ว่าไม่จำเป็น นี้จะเข้าไปตั้งครึ่งหนึ่งของน้ำมันที่ใช้ไปเสียแล้ว แล้วที่เขาเรียกว่าธุระการงานนั้น เป็นธุระการแกล้งว่าทั้งนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องทำ มันก็กลายเป็นธุระการงานขึ้นมา ผมพลอยรู้สึกละอายตัวเองอย่างแรง เมื่อนั่งรถไปดู หรือไปเที่ยวตามสถานที่เหล่านั้นบ้าง เนื่องจากมีคนคะยั้นคะยอให้ไปดู กลัวว่าผมจะโง่ ให้ไปดูที่อย่างนั้นเสียบ้าง ผมก็ไป แล้วมันก็มีแต่ความเศร้า สลด สังเวช ที่ว่าเราก็มาพลอยถลุงน้ำมันส่วนหนึ่งของพระเจ้าไปกับเขาด้วยเหมือนกัน ทั้งที่มันนิดเดียว

เขาถลุงน้ำมันกันอย่างมากมายมหาศาล ในประเทศไทยเรานี้ คุณลองทำจิตใจให้เป็นธรรม คิดดูซิว่า เผาน้ำมันกันในลักษณะอย่างไร? ยิ่งคนที่มีเงินเหลือใช้ด้วยแล้ว เขาเผากันในลักษณะอย่างไร? นี่เขาคิดว่า เขาหาความเพลิดเพลินใส่ตัวเขามันคุ้มกันแล้ว แล้วเขาไปเอาเงินมากมายนั้นมาจากไหน แล้วมาทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำอย่างนี้ มันเป็นอย่างไร ผมเรียกว่าเป็นการช่วยกันล้างผลาญทรัพยากรธรรมชาติ หรือของพระเจ้า นี่เราพูดกันแต่เพียงน้ำมันอย่างเดียว สินแร่อื่น ๆ กระทั่งไม้ไร่ กระทั่งสัตว์ที่มีชีวิต เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในโลกนี้ จนที่สุดกระทั่งคนกันเอง มันก็ช่วยกันล้างผลาญให้หมดไป พร้อมที่จะล้างผลาญกันด้วยอาวุธที่ร้ายแรง ล้างผลาญคนกันเอง นับตั้งแต่ สินแร่ขึ้นมา ถึงพืชพันธุ์ธัญญาหาร กระทั่งขึ้นมาถึงมนุษย์นี้ เราเรียกว่าทรัพยากรของพระเจ้า คือธรรมชาติ เราช่วยกันล้างผลาญอย่างมุทะลุดุดัน

เอาละเราจะไม่ต้องจาระไนให้เสีย เวลา ขอให้ไปดู จนมองเห็นว่ามันเป็นการล้างผลาญโดยไม่จำเป็นวันหนึ่ง ๆ เท่าไร แล้วนี่แหละคือ หายนะอย่างหนึ่ง อย่างที่น่าหวาดเสียว เพราะปัญหาจะเกิดขึ้นจากการไม่พอกิน ไม่พอใช้นี้ เร็วเกินไป หรือถ้าน้ำมันหมดไปจากโลก จะต้องแสวงหากำลังทางอื่นเช่นกำลังปรมาณูเป็นต้น มันก็ยิ่งยุ่งใหญ่ไปกว่าเดิม สมัยที่เขาไม่รู้จักน้ำมัน สมัยคนป่า ที่ยังไม่รู้จักใช้น้ำมัน หรือปู่ย่า ตายายของเรา เมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ ก็ไม่รู้จักใช้น้ำมันตามตะเกียง ใช้ของอย่างอื่นทั้งนั้น ใช้ของโบราณตามมีตามได้ เช่นไต้อย่างนี้ ไม่ได้ใช้น้ำมันดิบเติมเครื่องทำไฟฟ้าอย่างนี้ คนก็อยู่ด้วยความผาสุกสงบเย็น ไม่ผลาญสมบัติของพระเจ้าหรือของธรรมชาติ ธรรมชาติเลยรุ่มรวยอยู่ในแผ่นดิน แล้วเอามาให้ลูกหลานสมัยนี้ ถลุงกันให้หมด ภายในเวลาอันสั้นไม่ชั่วกี่กระพริบตานี้ มันก็จะหมดไปได้ ปัญหาเกิดขึ้นรอบด้าน ซึ่งนำไปสู่การแข่งขัน แย่งชิง เบียดเบียนหรือสงครามทั้งนั้น

นี้เป็นตัวอย่างที่เรียกว่าเป็น “ความหายนะทางฝ่ายวิญญาณ” มากขึ้น ๆ เป็นความรกหนา หรือเจริญทางฝ่ายวัตถุมากขึ้น ๆ เพราะฉะนั้นฆราวาส หรือโลกของฆราวาสเป็นผู้รับบาปอันนี้ รับผลอันนี้

ทีนี้ มาถึงข้อที่แรงร้ายก็คือว่า ยุคปัจจุบันนี้ เอาศาสนาลงมาเป็นทาสรับใช้การเมือง เอาศาสนาลงมาเป็นทาสตนเองเพื่อเป็นทาสการเมืองคือรับใช้การเมือง คนต้องการประโยชน์ทางวัตถุอย่างหลับหูหลับตาที่สุดแล้ว หาอะไรที่จะเอามาใช้เป็นเครื่องมือได้ ก็เอามาใช้หมด กระทั่งเอาศาสนามาใช้เพื่อประโยชน์แก่การเมือง ยกตัวอย่างเช่น คำสั่งสอนในศาสนา ก็เลือกเอามาแต่แง่หรือส่วน ที่จะใช้เป็นเครื่องมือทางวัตถุ จะพูดเรื่องศาสนากันแต่เรื่องที่ช่วยกันหาวัตถุ ช่วยกันสร้างวัตถุ ธรรมะข้อไหนจะมาช่วยให้เกิดความเข้มแข็งในทางหาวัตถุนั้น เขาเอามาพูด นอกนั้นปิดเสีย

เอาศาสนามาพูดเป็นเครื่องกระตุ้นใจ ในทำนองปรัชญา ให้เกิดรักชาติ รักพวก เห็นแก่พวกอย่างนี้ก็มี ทุกอย่างทุกประการเอาศาสนามาใช้เป็นเครื่องมือของการเมือง แม้ในลักษณะที่เป็นพิธีรีตอง หรือแม้ในการสงครามเขาก็ทำพิธีในศาสนา บางทีก็จะอ้างว่า เพื่อความอยู่รอดของศาสนา เราต้องไปฆ่าคนอื่นให้ตาย อันนี้ถ้าทำถูกตามหลัก ก็ยังพอเป็นสิ่งที่งดงามหรือดูได้ ถ้าเรารบเพื่อการเป็นอยู่ของธรรมะในโลกจริง ๆ มันก็ดี ยังถูกต้องอยู่ แต่เดี๋ยวนี้รบเพื่อตัวกู-ของกู แล้วก็อ้างว่ารบเพื่อศาสนาหรือเพื่อนั่นเพื่อนี่ ก็เลยเอาศาสนามาใช้เป็นบริวารแก่การรบ การฆ่าผู้อื่นเสียด้วย

คุณมี ปัญญาพิจารณาดูจะเห็นได้ว่า มีมากมายหลายแขนงที่เอาศาสนามาเป็นทาสของการเมือง เป็นทาสของวัตถุ เป็นทาสของการแสวงหาวัตถุ จนกระทั่งว่ายอมให้พระเจ้าตายไปเสีย ศาสนาที่เขาถือพระเจ้านี้ เขาว่าพระเจ้าตายแล้ว เราไม่ต้องคำนึงถึงพระเจ้า เรามีพระเจ้าใหม่คือประโยชน์ที่เราต้องการ พระเจ้าอย่างที่ในพระคัมภีร์กล่าวไว้นั้นน่ะตายไปแล้ว แต่พอกลัวขึ้นมาก็ทำพิธีศาสนา อ้อนวอนพระเจ้าลม ๆ แล้ว ๆ นั้น เขามีพระเจ้าจริง คือประโยชน์ที่จะได้จากวัตถุ หรือการฆ่าผู้อื่น เอาวัตถุมาเป็นประโยชน์ทางเนื้อหนัง แต่เนื่องจากว่า คนยังมีเชื้อของพระเจ้าทางศาสนาเหลืออยู่ในใจบ้าง ก็กระทำพิธีทางศาสนา อย่างนี้มันเป็นการทำไปด้วยความโง่ ความหลง ความโง่ทำให้เข้าใจว่า พระเจ้าตายแล้ว ธรรมะไม่จำเป็น ทีนี้ความโลภ โลภมากจนหน้ามืดมันก็ยอมเหยียบย่ำ หรือข้ามศาสนาไปหาวัตถุ เอาศาสนามาเป็นทาสของวัตถุนี้เพราะความโลภ

ทีนี้มันร้ายกาจอยู่อัน หนึ่งก็คือความกลัว ความกลัวนี้ถ้ามันลงครอบงำใครแล้ว มันก็ทำอะไรได้ทุกอย่าง เมื่อกลัวขึ้นมามันก็ทำของถูกให้เป็นของผิด พระพุทธเจ้าถูกเอามาใช้เป็นเครื่องมือ เครื่องราง สำหรับป้องกันความตาย ในลักษณะที่เราเรียกกันว่า “พระเครื่องราง” นี่ก็เพราะความกลัว ไม่ใช่เพราะอะไรอื่น มีความกลัวเป็นเบื้องหน้า มีความเขลาเข้าผสมโรงบ้าง เป็นความขลาดและความเขลา แล้วมันก็เปลี่ยนแปลงอะไรต่าง ๆ ได้มาก พระพุทธรูปแทนที่จะเป็นอนุสรณ์ หรือว่าเป็นเครื่องมือแห่งพุทธานุสติ กลายมาเป็นเครื่องราง ป้องกันสิ่งที่เขากลัวหรืออยากที่จะให้ร่ำรวย อยากที่จะให้มีเสน่ห์มีอะไร ก็ใช้อาศัยพระพุทธรูปเป็นเครื่องรางอย่างนั้น อย่างนี้ ก็เรียกว่าลดศาสนาลงมาเป็นทาสของวัตถุด้วยเหมือนกัน แล้วกำลังเป็นมาก ๆ ขึ้น กว่าจะถึงจุดอิ่มตัวก็คงยังอีกนาน

ความขลาด ความเขลานี้ ถ้ามันถึงจุดอิ่มตัวแล้ว มันก็ละลายตัวลงมาทีละน้อย ๆ ได้เหมือนกัน ก็เปลี่ยนเป็นยุค ๆ ไป เดี๋ยวนี้ก็กำลังอยู่ในยุคที่เรียกว่า กำลังขึ้น กว่าจะถึงจุดอิ่มตัวจึงจะลง น่าหัวที่ฝรั่งที่ไม่เคยมีพระเครื่องรางก็พลอยมีกระเขาด้วย แล้วก็ซื้อแพงที่สุดด้วย ถ้าฝรั่งเกิดชอบพระเครื่ององค์ไหนขึ้นมา ก็ซื้อแพงที่สุด ได้ยินว่าอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งเมื่อก่อนนี้ไม่เคยมี เราเคยบูชาฝรั่งว่าเป็นคนฉลาด แต่แล้วก็มาเป็นลูกน้องของคนขลาดคนเขลาก็ได้เหมือนกัน เพราะฝรั่งนั้นขี้ขลาดมากกว่าคนไทยเสียอีก ถึงบทเขลามันก็เขลามากกว่า นี้เลยชวนกันลดศาสนาลงมาเป็นทาสรับใช้การเมือง รับใช้ทางวัตถุ ให้พระเจ้าตายไปเสีย ให้ธรรมะตายไปเสีย เอาแต่พิธีรีตองไว้ อย่างนี้เราเรียกว่า มันเป็น “หายนะทางวิญญาณ” อย่างยิ่งของมนุษย์โลก

พุทธทาสภิกขุ
๖ พฤษภาคม ๒๕๑๓
ฆราวาสธรรม

การนินทาและสรรเสริญ

เรื่องลมปากคนถือเป็นความจริงอันแน่นอนไม่ค่อยได้หรือไม่ได้ เพื่อถือเอาประโยชน์จงปฏิบัติอย่างนี้ สมมุติว่าเขานินทาเรา ลมออกมาจากปากเขา จากใจเขา ใจเขาไม่ดีเอง เขาสร้างเหตุไม่ดีมันก็เผาเขาเอง ลมออกมาปากสกปรก ก็เป็นปากเขาไม่ใช่ปากเรา ลมสกปรกก็เป็นลมปากเขาไม่ใช่ลมปากเรา หัวใจเขาไม่ดี คิดไม่ดี ถึงได้ดันลมสกปรกออกมาทางปากเขา ปากสกปรกก็เป็นปากเขา เป็นหัวใจเขา เราดีอยู่แล้ว เรารักษาอยู่แล้วจะเป็นไรไป ทีนี้ถ้าเขาสรรเสริญเรา ใจของเขาดี เขาสร้างเหตุอันดีไว้ ลมปากเขาออกมาก็เป็นลมสะอาด เป็นลมอรรถลมธรรม ปากเขาเป็นปากสะอาด เป็นปากอรรถปากธรรม มันก็ดีทั้งใจเขา ทั้งลมปากเขา ทั้งปากเขา เขาสร้างความดีไว้กับเขาโดยสมบูรณ์ เราก็ไม่ได้อะไรจากปากเขา ถ้าไม่ไปคิดสำคัญมั่นหมายขึ้นมาว่าเขานินทาเรา เขาสรรเสริญเราแล้วเสียใจและดีใจไปตาม

นี่พูดถึงเรื่องความนินทาความสรรเสริญ มันออกจากปากเขา จากใจเขา จากลมเขา เราอย่าไปยึดไปถือเอา ไม่ถูก ให้เรายึดเอาเหตุเอาผลเป็นสำคัญกว่าลมปาก ถ้าสมมุติว่าเขาตำหนิดี ตำหนิถูกต้องตามความจริง คนนั้นก็มีเหตุผล เขาจะรักษาตัวเขาได้ ตลอดหน้าที่การงานไม่ผิดพลาด เพราะเขาเป็นคนมีเหตุผล ถ้าสมมุติเขาชมเรา เขาก็มีเหตุผล คนนี้เขาดี ชมก็ถูกต้อง ตำหนิก็ถูกต้อง

นักปฏิบัติต้องผ่านเรื่องนี้จากหัวใจก่อน จะสรรเสริญนินทาใคร ตำหนิใครก็ควรตำหนิด้วยความเมตตาสงสาร ชมใครก็ควรชมด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความอนุโมทนาจริงๆ ทั้งการติ ทั้งการชม ไม่เอาลมปากเข้ามาเผาเรา นักปฏิบัติธรรมต้องทำให้ได้อย่างนี้ จึงจะจัดว่าเป็นผู้มีเหตุผลเครื่องรักษาตัวในที่ทุกสถานตลอดกาลทุกเมื่อ ไม่เสียท่าให้ลมปากสกปรกทั้งหลาย ที่มีเต็มแผ่นดินถิ่นอาศัย เข้าทำลายจิตใจอันมีค่ามหาศาลได้

เพราะสมบัติทั้งโลกไม่มีสมบัติใดมีคุณค่าเท่าใจ พระพุทธเจ้าประเสริฐก็ประเสริฐเพราะใจฝึกฝนดีสมบูรณ์เต็มที่แล้ว พระสาวกทั้งหลายก็ประเสริฐเพราะใจที่ฝึกฝนอบรมดีเต็มที่แล้ว แม้พระธรรมก็แสดงความประเสริฐแก่โลกได้ เพราะใจสัมผัสธรรม ใจรู้ใจเห็นธรรม ใจเป็นภาชนะแห่งธรรม ใจนำออกแสดงจากพระพุทธเจ้าแลสาวกทั้งหลาย ผู้ใดไม่มองข้ามใจ บำรุงรักษาใจด้วยธรรมคือคุณความดีทั้งหลาย คอยรักษาใจ กาย วาจา ให้คิดให้พูด ให้ทำในสิ่งที่ชอบ ไม่ปล่อยให้ความชั่วเข้าไปเผาผลาญใจ ผู้นั้นย่อมอบอุ่นภายในใจ แม้ไม่มีเงินล้านก็ตาม ผู้นั้นจะมีหลักมีเกณฑ์ มีฝั่งมีฝา ทั้งเวลาเป็นอยู่และเวลาตายไป สุคโต เป็นสมบัติของผู้นั้นไม่สงสัย

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๒๕
การนินทาและสรรเสริญ
http://www.luangta.com

มนุษย์บุถุชน รู้จักพระองค์น้อยเกินไป

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ภิกษุ ท.! นั่นยังน้อยไป ยังต่ำไป เป็นเพียงส่วนศีลเท่านั้น คือข้อ ที่บุถุชนกล่าวสรรเสริญคุณของตถาคตอยู่. ภิกษุ ท.! บุถุชนกล่าวสรรเสริญคุณของตถาคตอยู่ ยังน้อย ยังต่ำ สักว่าศีลเท่านั้น, นั้นเป็นอย่างไรเล่า? คือบุถุชนกล่าวสรรเสริญตถาคตอยู่ว่า พระสมณโคดมละการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป เป็นผู้งดขาดจากปาณาติบาต วางท่อนไม้และศาสตราเสียแล้ว มีความละอายต่อบาป มีความเอ็นดูกรุณา หวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ ท. และ

…ว่า พระสมณโคดม ละการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ งดขาดจากอทินนาทาน ถือเอาแต่ของที่เจ้าของให้แล้ว หวังอยู่แต่ในของที่เจ้าของเขาให้, เป็นคนสะอาด ไม่เป็นขโมย. และ

…ว่า พระสมณโคดม ละกรรมอันมิใช่พรหมจรรย์, เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์โดยปรกติ ประพฤติห่างไกล เว้นขาดจากการเสพเมถุน อันเป็นของสำหรับชาวบ้าน. และ

…ว่า พระสมณโคดม ละการกล่าวเท็จ งดขาดจากมุสาวาท พูดแต่คำจริง รักษาคำสัตย์ มั่นคงในคำพูด ควรเชื่อได้ ไม่แกล้งกล่าวให้ผิดต่อโลก. และ

…ว่า พระสมณโคดม ละการกล่าวคำส่อเสียด งดขาดจากปิสุณาวาท, ได้ฟังจากฝ่ายนี้แล้ว ไม่เก็บไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้. หรือได้ฟังจากฝ่ายโน้นแล้ว ไม่เก็บมาบอกฝ่ายนี้ เพื่อทำลายฝ่ายโน้น, แต่จะสมานชนที่แตกกันแล้วให้กลับพร้อมเพรียงกัน, อุดหนุนชนที่พร้อมเพรียงกันอยู่ให้พร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้น, เป็นคนชอบใจในการพร้อมเพรียง กล่าวแต่วาจาที่ทำให้พร้อมเพรียงกัน. และ

…ว่า พระสมณโคดม ละการกล่าวคำหยาบ งดขาดจากผรุสวาท, กล่าวแต่วาจาที่ปราศจากโทษ เสนาะโสต ให้เกิดความรัก เป็นคำฟูใจ เป็นคำสุภาพที่ชาวเมืองเขาพูดกัน เป็นที่ใคร่ที่พอใจของมหาชน. และ

…ว่า พระสมณโคดม ละคำพูดที่โปรยประโยชน์ทิ้งเสีย งดขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ, กล่าวแต่ในเวลาสมควร กล่าวแต่คำจริง เป็นประโยชน์เป็นธรรมเป็นวินัย เป็นวาจามีที่ตั้ง มีหลักฐาน มีที่อ้างอิง มีเวลาจบ เต็มไปด้วยประโยชน์ สมควรแก่เวลา. และ

…ว่า พระสมณโคดม งดขาดจากการล้างผลาญพืชคาม และภูตคาม,๑ เป็นผู้ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว เว้นจากการฉันในราตรีและวิกาล, …เป็นผู้งดขาดจากการรำ การขับ การร้องการประโคม และดูการเล่นชนิดที่เป็นข้าศึกแก่กุศล, เป็นผู้งดขาดจากการประดับประดา คือทัดทรงตบแต่งด้วยมาลาและของหอมเครื่องลูบทา, เป็นผู้งดขาดจากการนอนบนที่นอนสูงใหญ่, เป็นผู้งดขาดจากการรับเงินและทอง, เป็นผู้งดขาดจากการรับข้าวเปลือก, งดขาดจากการรับเนื้อดิบ, การรับหญิง และเด็กหญิง, การรับทาสี และทาส, การรับแพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง ม้า โค ทั้งผู้และเมีย, งดขาดจากการรับที่นาที่สวน, งดขาดจากการรับใช้เป็นทูตไปในที่ต่างๆ (ให้คฤหัสถ์). งดขาดจากการซื้อขาย, การฉ้อโกงด้วยตาชั่ง, การลวงด้วยของปลอม, การฉ้อด้วยเครื่องนับ (เครื่องตวงและเครื่องวัด), งดขาดจากการโกง ด้วยการรับสินบนและล่อลวง, การตัด การฆ่า การจำจอง การซุ่มทำร้าย การปล้น การกรรโชก. (เหล่านี้ เป็นส่วน จุลศีล)

…ว่า พระสมณโคดม, เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวกพากันฉันโภชนะ ที่ทายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ยังทำพืชคามและภูตคามให้กำเริบ, คืออะไรบ้าง? คือ พืชที่เกิดแต่ราก-เกิดแต่ต้น-เกิดแต่ผล-เกิดแต่ยอด-เกิดแต่เมล็ดให้กำเริบอยู่, ส่วนท่านงดขาดจากการทำพืชคามและภูตคามให้กำเริบแล้ว.

…ว่า พระสมณโคดม, เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก พากันฉันโภชนะที่ทายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ยังทำการบริโภคสะสม คือ สะสมข้าว สะสมน้ำดื่ม สะสมผ้า สะสมยานพาหนะ สะสมที่นอน สะสมเครื่องผัดทาของหอมและอามิส อยู่, ส่วนท่านงดขาดจากการสะสมเห็นปานดังนั้นเสีย.

…ว่า พระสมณโคดม, เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก พากันฉันโภชนะที่ทายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ยังดูการเล่น คือ ดูฟ้อน ฟังขับ ฟังประโคม ดูไม้ลอย ฟังนิยาย ฟังเพลงปรบมือ – ตีฆ้อง-ตีระนาด ดูหุ่นยนต์ ฟังเพลงขอทาน ฟังแคน ดูการเล่นหน้าศพ ดูชนช้าง แข่งม้า ชนกระบือ ชนโค-แพะ-แกะ-ไก่-นกกระทา, ดูรำไม้ รำมือ ชกมวย, ดูเขารบกัน ดูเขาตรวจพล, ดูเขาตั้งกระบวนทัพ; ดูกองทัพที่จัดไว้เสร็จแล้วบ้างอยู่, ส่วนท่านเป็นผู้งดขาดจากการดูการเล่นเห็นปานดังนั้นเสีย.

…ว่า พระสมณโคดม, เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก พากันฉันโภชนะที่ทายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ยังเล่นการพนัน หรือการเล่นอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท คือเล่นหมากรุกทุกชนิดแถวละ๘ ตาบ้าง ๑๐ ตาบ้าง เล่นหมากเก็บ, ชิงนาง หมากไหว โยนบ่วง ไม้หึ่ง ฟาดให้เป็นรูป ทอดลูกบาศก์ เป่าใบไม้, เล่นไถน้อย ๆ หกคะเมน กังหัน ตวงทรายด้วยใบไม้ รถน้อย ๆ ธนูน้อยๆ ทายอักษรในอากาศ ทายใจ ล้อคนพิการอยู่, ส่วนท่านงดขาดจากการพนัน หรือการเล่นอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เห็นปานดังนั้นเสีย.

…ว่า พระสมณโคดม, เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก พากันฉันโภชนะที่ทายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการนอนบนที่นอนสูงใหญ่ คือเตียงเท้าสูงเกินประมาณ, เตียงที่เท้าสลักรูปสิงห์,ผ้าโกเชาว์ขนยาว, เครื่องลาดขนแกะวิจิตรด้วยลายเย็บ, เครื่องลาดขนแกะสีขาว, เครื่องลาดขนแกะมีลายเป็นกลุ่มดอกไม้, เครื่องลาดมีนุ่นภายใน, เครื่องลาดวิจิตรด้วยรูปสัตว์ร้าย, เครื่องลาดมีขนตรงขึ้นข้างบน เครื่องลาดมีชายครุย เครื่องลาดแกมทอง-เงิน-ไหม เครื่องลาดใหญ่ (นางฟ้อนได้ ๑๖ คน) ฯลฯ, อยู่, ส่วนท่านงดขาดจากการนอนบนที่นอนสูงใหญ่ เห็นปานดังนั้นเสีย.

…ว่า พระสมณโคดม, เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก พากันฉันโภชนะที่ทายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการประดับประดาตกแต่งร่างกายเห็นปานนี้ คือการอบตัว การเคล้นตัว การอาบสำ อาง การนวดเนื้อ การส่องดูเงา การหยอดตาให้มีแววคมขำ การใช้ดอกไม้ การทาของหอม การผัดหน้า การทาปาก การผูกเครื่องประดับที่มือ การผูกเครื่องประดับที่กลางกระหม่อม การถือไม้ถือ การห้อยแขวนกล่องกลักอันวิจิตร การคาดดาบ การคาดพระขรรค์การใช้ร่มและรองเท้าอันวิจิตร การใส่กรอบหน้า การปักปิ่น การใช้พัดสวยงาม การใช้ผ้าขาวชายเฟื้อยและอื่นๆ อยู่, ส่วนท่านงดขาดจากการประดับประดาตกแต่งร่างกาย เห็นปานดังนั้นเสีย.

…ว่า พระสมณโคดม, เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก พากันฉันโภชนะที่ทายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบเดรัจฉานกถา คือคุยกันถึงเรื่องพระราชา, โจร, อมาตย์, กองทัพ, ของน่าหวาดเสียว, การรบ; เรื่องน้ำ, เรื่องข้าว, ผ้า, ที่นอน, ดอกไม้, ของหอม, ญาติ, ยานพาหนะ, บ้าน, จังหวัด, เมืองหลวง, บ้านนอก, หญิง, ชาย, คนกล้า, ตรอก, ท่าน้ำ, คนตายไปแล้ว, เรื่องโลกต่างๆ, เรื่องสมุทร, เรื่องความฉิบหาย, เรื่องความมั่งคั่ง, บ้างอยู่, ส่วนท่านงดขาดจากการประกอบเดรัจฉานกถาเห็นปานดังนั้นเสีย.

…ว่า พระสมณโคดม, เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก พากันฉันโภชนะที่ทายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการกล่าวถ้อยคำแก่งแย่งกันอยู่ คือแก่งแย่งกันว่า “ท่านไม่รู้ทั่วถึงพระธรรมวินัยนี้,ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้, ท่านจะรู้ทั่วถึงอย่างไรได้, ท่านปฏิบัติผิด ข้าพเจ้าปฏิบัติถูก, ถ้อยคำของข้าพเจ้าเป็นประโยชน์, – ของท่านไม่เป็นประโยชน์, คำควรพูดก่อนท่านนำมาพูดทีหลัง คำควรพูดทีหลัง ท่านพูดเสียก่อน, ข้อที่ท่านเคยเชี่ยวชาญ ได้เปลี่ยนแปลงจงไปเสียแล้ว, ข้าพเจ้ายกคำพูดแก่ท่านได้แล้ว ท่านถูกข้าพเจ้าข่มได้แล้ว ท่านจงถอนคำพูดของท่านเสีย หรือถ้าท่านสามารถ ก็จงค้านมาเถิด” ดังนี้ อยู่, ส่วนท่านงดขาดจากการกล่าวถ้อยคำแก่งแย่ง เห็นปานดังนั้นเสีย.

…ว่า พระสมณโคดม, เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก พากันฉันโภชนะที่ทายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการรับเป็นทูต, รับใช้ไปในที่นั้นๆ อยู่ คือรับใช้พระราชา รับใช้อมาตย์ของพระราชา รับใช้กษัตริย์-พราหมณ์ -คหบดี และรับใช้เด็กๆ บ้าง ที่ใช้ว่า “ท่านจงไปที่นี้, ท่านจงไปที่โน้น, ท่านจงนำสิ่งนี้ไป, ท่านจงนำสิ่งนี้มา” ดังนี้ อยู่, ส่วนพระสมณโคดมท่านเป็นผู้งดขาดจากการรับเป็นทูต เห็นปานดังนั้นเสีย.

…ว่า พระสมณโคดม, เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก พากันฉันโภชนะที่ทายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการแสวงหาลาภ ด้วยการกล่าวคำ
ล่อหลอก การพูดพิรี้พิไร การพูดแวดล้อมด้วยเลิศ การพูดให้ทายกเกิดมานะมุทะลุในการให้ และการใช้ของค่าน้อย ต่อเอาของที่มีค่ามาก อยู่, ส่วนท่าน
งดขาดจากการแสวงหาลาภโดยอุบายหลอกลวง เห็นปานดังนั้นเสีย. (เหล่านี้ เป็นส่วน มัชฌิมศีล)

…ว่า พระสมณโคดม, เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก พากันฉันโภชนะที่ทายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบมิจฉาอาชีวะ ทำเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้อยู่ คือ ทายลักษณะในร่างกาย, นิมิตลางดีร้าย, ดาวตก, อสนีบาต, ทำนายฝัน, -ชะตา,ผ้าหนูกัด, ทำพิธีโหมเพลิง, เบิกแว่นเวียนเทียน ซัดโปรยแกลบรำข้าวสาร ฯลฯ, อยู่, ส่วนท่านเป็นผู้งดขาดจากการประกอบมิจฉาอาชีวะ ทำเดรัจฉานวิชา เห็นปานดังนั้นเสีย.

…ว่า พระสมณโคดม, เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก พากันฉันโภชนะที่ทายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบมิจฉาอาชีวะ ทำเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้อยู่ คือ ฯลฯ (หมวดทายลักษณะสิ่งของเช่นแก้ว, ไม้เท้า, เสื้อผ้า, ทาสเป็นต้น, หมวดทำนายการรบพุ่ง, หมวดทำนายทางโหราศาสตร์, หมวดทำนายดินฟ้าอากาศ,หมวดร่ายมนต์พ่นด้วยคาถา, หมวดทำให้คนมีอันเป็นไปต่างๆ และหมวดทำเวชกรรม ประกอบยาแก้โรคต่างๆ) อยู่, ส่วนท่านงดขาดจากการประกอบมิจฉาอาชีวะ ทำเดรัจฉานวิชาเห็นปานนั้นเสีย.

ภิกษุ ท.! นี่แล คำสำหรับบุถุชน พูดสรรเสริญคุณของตถาคตยังน้อยยังต่ำ สักว่าเป็นขั้นศีลเท่านั้น.

ภิกษุ ท.! ธรรมอื่น ที่ลึกซึ่ง เห็นยาก รู้ยาก รำงับ ประณีตไม่เป็นที่เที่ยวของความตริตรึก (ตามธรรมดา) เป็นธรรมละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตได้ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้แจ้งตามด้วย, เป็นคำสำหรับผู้จะพูดสรรเสริญตถาคตให้ถูกเต็มตามที่เป็นจริง มีอยู่. ธรรมนั้นคืออะไรเล่า? (ต่อนี้ ทรงแสดงทิฏฐิ ๖๒ ประการ พร้อมทั้งเรื่องราวต้นเหตุ, ที่เป็นหัวข้อ เปิดดูได้ในภาค ๓ ของเรื่องนี้ ตอนว่าด้วยทรงทราบทิฐิที่ลึกซึ้ง, ส่วนเรื่องละเอียดเปิดดูในพระบาลีเดิม).

———————————————————————————————————–
บาลี พรหมชาลสูตร สี.ที. ๙/๔/๒. ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่อุทยานอัมพลัฏฐิกา, ระหว่างกรุงราชคฤห์ กับ เมืองนาลันทา ต่อกัน.

พืชคามคือพันธุ์ที่เขานำมาให้ แต่ยังปลูกเป็นได้อีกอยู่, เช่นของมีเมล็ดมีหน่อ ฯลฯ ภูตคามคือพืชพันธุ์ที่ยังเกิดอยู่กับที่เดิม.

ในบาลี จำแนกรายชื่อมากมาย จนเกินความต้องการที่จะยกมาไว้ในที่นี้ ผู้ประสงค์พึงเปิดดูในที่มานั้นๆ จากพระบาลี, หรือจากเรื่องบุรพภาคของการตามรอยพระอรหันต์ ตอนบาลีสามัญผลสูตรก็ได้.

http://pobbuddha.com/tripitaka/upload/files/836/index.html

อย่าให้พระบังพุทธ

ชาวบ้านเล่าว่า ท่านได้แนะนำให้พวกเขาแสดงตัวเป็นพุทธมามกะ (ผู้รับเอาพระรัตนเป็นที่พึ่ง-ผู้ใกล้ชิดพระรัตนตรัย) และสอนให้พวกเขาเข้าใจในเหตุผลแห่งความเป็นจริง โดยไม่ให้มีความเชื่อถืออย่างงมงายไร้เหตุผล เพราะเหตุผลเป็นความจริงในพระพุทธศาสนา โดยท่านได้สอนเน้นถึงว่า คุณธรรมนั้นมีความสำคัญยิ่งนัก เช่นที่เราพากันกราบไหว้พระพุทธปฏิมากรนี้ มิใช่ว่าเราไหว้หรือนอบน้อมต่ออิฐ-ปูน-ทองเหลือง-ทองแดง-ทองคำ-หรือไม้-ดิน เพราะนั่นเป็นแต่เพียงวัตถุก่อสร้างธรรมดาอย่างหนึ่งเท่านั้น เมื่อเราจะกราบไหว้พระพุทธรูป เราต้องกราบไหว้คุณธรรม คือมาระลึกถึงว่า พระพุทธเจ้าพระองค์ท่านตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้ไกลจากกิเลสเครื่องยั่วยวน ซึ่งถ้าไม่ไกลจากกิเลสแล้วเราก็ไม่ไหว้ เราไหว้เฉพาะท่านที่ห่างไกลจากกิเลสเท่านั้น อย่างนี้ชื่อว่า ไหว้พระองค์ท่านด้วยคุณธรรม จึงจะไม่ชื่อว่า ไหว้อิฐ-ปูน- ฯลฯ

การไหว้พระธรรมซึ่งเป็นคุณธรรมที่มีอยู่ในพระพุทธองค์ก็เช่นกัน โดยกล่าวคำเป็นต้นว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธมฺมํ นมสฺสามิ-พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว ข้าพเจ้าขอนอบน้อมนมัสการกราบไหว้พระธรรมนั้น เพราะถ้าพระธรรม (คำสอน) ที่กล่าวแล้วไม่ดีและเมื่อพิจารณาเห็นประจักษ์แล้วว่าไม่มีเหตุผล เราก็ไม่ไหว้ไม่นอบน้อม ดังนั้นเราจึงไหว้แต่พระธรรมที่กล่าวดี มิฉะนั้นแล้วเราก็จะกราบถูกเพียงแต่ใบลาน คือใบไม้ เพราะไปเข้าใจว่า ใบไม้คือธรรมนี้ชื่อว่าไม่ถูกต้อง เราจะต้องกราบให้ถูกให้ตรงต่อคำสอน คือพระธรรมของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง

สำหรับพระสงฆ์อันเป็นสาวกผู้สืบพระศาสนาคือหลักธรรมของ พระพุทธเจ้าก็มีนัยเช่นเดียวกัน การที่เราให้ความเคารพกราบไหว้สักการะก็โดยมาระลึกถึงว่า ท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีการเป็นอยู่อย่างสงบ ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ใครๆ พร้อมกันนี้ท่านยังดำรงภาวะเป็นเนื้อนาบุญอันเอกอุของชาวโลก ดังนั้นเมื่อเราจะกราบไหว้เราก็กล่าวคำว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สงฺฆํ นมามิ-พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ชื่อว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้านอบน้อมกราบไหว้พระสงฆ์นั้น ถ้าพระสงฆ์มีการปฏิบัติไม่ดีเราก็ไม่กราบ เรากราบผู้ที่ท่านปฏิบัติดี อย่างนี้ชื่อว่า กราบถูก มิฉะนั้นจะเป็นว่าเรากราบคนหรือธาตุ ๔ เท่านั้น ดังนั้นขณะที่เรากราบโดยกล่าวคำระลึกดังที่กล่าวมาแล้วและมีพระสงฆ์อยู่ต่อเฉพาะหน้าเรา อาจจะไม่ถูกเรากราบ ถ้าพระสงฆ์รูปนั้นปฏิบัติไม่ดี เมื่อทำได้ดังกล่าวชื่อว่าเรากราบได้อย่างถูกต้องไม่ผิดพลาด

สรุปแล้วกราบไหว้ใด ๆ ก็ตามถ้าเรากราบโดยยึดเอาคุณธรรมเป็นที่คงเป็นหลักแล้ว เราจะไม่มีการกราบผิดเลยเพราะการกราบไหว้โดยท้าวความถึงคุณธรรมนั้นจึงจะชื่อว่าเป็นเหตุผล หรือสมกับเหตุผลนั้นก็คือ กราบได้ไม่ผิดจึงจะได้รับความสงบร่มเย็นเป็นบุญ ฯ

ผู้เขียนรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจมาก ที่ได้ฟังโยมเขาอธิบายถึงคำสั่งสอนของท่านอาจารย์มั่น ฯ ที่เขาได้พากันจดจำเอาไว้และได้นำมาเล่าให้ฟังได้อีกจึงทำให้ได้ ความจริงมาอีกข้อหนึ่งว่า ท่านอาจารย์ท่านได้สอนคนบ้านนอกที่กลการศึกษาให้เข้าใจถึงข้อเท็จจริงซึ่งบางทีอาจจะดีกว่าผู้ที่ศึกษาแล้วอยู่ในเมืองหลวงเสียอีก….

โยมคนนั้นได้เล่าถึงท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านสอนต่อไปว่า ศาสนา คือตัวของเราและอยู่ที่ตัวของเราเพราะเหตุไร ? ก็เพราะว่า ตัวตนของคนเรานี้เป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมก็ทรงแสดงถึง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ปฏิบัติก็ให้ปฏิบัติที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และที่ใจ ไม่เห็นให้ปฏิบัติที่อื่น ๆ

นอกจากที่ดังกล่าว บางคนก็ว่า ศาสนาอยู่ในคัมภีร์ใบลาน โยมคนนั้นได้เล่าให้ฟังว่า ไม่ใช่อยู่ในคัมภีร์ใบลาน ก็ในใบลานหรือในกระดาษหนังสือทั้งหลาย ก็คนเรานั่นแหละไปจารึกไว้หรือไปเขียนไว้และทำมันขึ้นมา ซึ่งถ้าคนไม่ไปเขียนหรือไปทำมันขึ้นมา มันจะเป็นหรือมีขึ้นมาได้อย่างไร

บางคนว่าศาสนาอยู่ในวัดวาอารามหรือพระสงฆ์ โยมคนนั้นก็ได้รับอรรถาธิบายจากท่านอาจารย์มั่น ฯ ว่า วัดนั้นใครเล่าไปสร้างไห้มันเกิดขึ้น ก็คนนั้นแหละ พระสงฆ์ใครเล่าไปบวช ก็คนนั่นแหละบวชขึ้นมา ก็เป็นอัน ศาสนาอยู่ที่ตัวของเรา. ..

การที่เราจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติศาสนา จึงเป็นสิ่งที่ตัวเราจะต้องมีความรับผิดชอบ ถ้าไม่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ คือการละบาป บำเพ็ญบุญ เราจะต้องไปทำชั่วซึ่งผิดศีลธรรมก็ต้องถูกลงโทษให้ได้รับความทุกข์ทรมาน ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบคือละความชั่วประพฤติความดี ผลที่เกิดขึ้นก็คือความสุขสงบ และความหลุดพ้นจากทุกข์ในที่สุด นี้ก็คือการปฏิบัติพระพุทธศาสนาแล้วก็มีผล คือการปฏิบัติโดยการยกตัวของตนขึ้นจากหล่มหลุมแห่งวังวนวัฏสงสารเป็นต้น. .

ผู้เขียนได้ฟังแล้วรู้สึกจับใจและมาเข้าใจว่า คนที่อยู่ในตำบลนอก ๆ ห่างไกล ก็ยังมีความรู้ซึ้งในพระพุทธศาสนาได้ก็นับว่ายังดีมาก แต่ก็เกิดขึ้นจากท่านผู้รู้ที่ยอมเสียสละความสุขส่วนตัวโดยเข้าไปสอนให้รู้ธรรมได้

ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ฉบับสมบูรณ์ โดยพระอาจารย์วิริยังค์

http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-mun/lp-mun-hist-03-01.htm

หลวงพ่อนอกคอกทำลายพุทธศาสนา

บรรดาความเห็นผิด และการกระทำที่ผิดๆ นอกทิศทาง
คำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าปล่อยไว้ก็จะพอกพูนมากขึ้น ทำให้
พระพุทธศาสนาที่เรารักใคร่หวงแหนอาจถึงสภาพหมดไปก็ได้
เพราะความไม่กล้าพูดกล้าบอกความจริงกันนั่นเอง

คนทั้งหลายที่มีโรคคือ ความเห็นผิดอยู่ในใจของเขา และ
ถ้ายึดถือความเห็นผิดนั้นมานานแล้ว เขาอาจยึดไว้อย่างชนิดที่
ไม่ยอมปล่อยเป็นอันขาด ครั้นพอมีใครมาพูดถึงสิ่งนั้นว่าไม่ดี
เขาก็โกรธ หาว่ามาดูถูกดูหมิ่นเขา หาว่าทำลายอาชีพของเขา
อย่างนั้นอย่างนี้ และถึงกับโกรธเคืองจองเวรคิดแก้แค้นขึ้นก็ได้
ข้อนี้แหละที่ทำให้คนทั้งหลายเกิดความกลัวจนไม่มีใครกล้าพูด
ความจริงกัน

อันคนที่ฉลาดมีปัญญามีเหตุผลนั้น
เขาย่อมทิ้งของปลอม แล้วถือเอาของจริงไว้เสมอ เพราะ
ของปลอมทำคนให้หลงผิด ของแท้เท่านั้นจะทำให้คนเข้าใจถูก
และมีความสุขสงบสมความมุ่งหมาย

บุคคลผู้มีความเข้าใจในสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ
เห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ
มีความเข้าใจผิดเป็นแนวทางย่อมไม่เข้าถึงสารธรรมได้เลย
แต่ผู้ใดมารู้สิ่งเป็นสาระว่าเป็นสิ่งมีสาระ
สิ่งไม่เป็นสาระว่าเป็นสิ่งไม่เป็นสาระ
เป็นผู้มีความเห็นชอบทางดำเนินของใจย่อมถึงสารธรรม
คือ ความสะอาด ความสว่าง ความสงบ ได้สมหมาย

ในกรุงเทพมหานครของเรานี้ดูจะหนักกว่าบ้านนอก เดิน
ไปจะได้พบศาลเจ้าต่างๆ ศาลหลักเมืองและอะไรๆอีกมากมาย
อย่างชั้นที่สุด…หินที่สมมติกันว่าเป็นของลับของพระอิศวร
(ศิวลึงค์) ชาวพุทธก็ไปกราบไหว้เพื่อขอพร ต้นไม้เล็กต้นไม้ใหญ่
ชาวพุทธก็ไปไหว้เพื่อขอเลขสลากกินรวบ แม้บางครั้งจะไปไหว้
พระพุทธรูปในโบสถ์ก็ไหว้แบบวิงวองขอร้อง เพื่อให้ได้สิ่งที่
ตนต้องการ การกระทำทั้งหมดนี้ไม่เข้าแบบของชาวพุทธเลย
สักนิดเดียว

ภิกษุเราที่อาศัยผ้าเหลืองของพระพุทธองค์ แต่มิได้ทำ
กิจของพระพุทธศาสนา ก็มีสภาพประดุจตัวเสฉวน ฉันนั้น
พวกพระประเภทตัวเสฉวนนั้นก็เป็นพระประเภททำลายพระ
ศาสนา เขาอาศัยซื่อเสียงของพระรัตนตรัยไปทำพิธีปลุกเสก
อะไรต่างๆ นานา ทำคนทั้งหลายให้หลงผิดเข้าใจผิด หารู้ไม่ว่า
ตนกำลังทรยศต่อพุทธธรรมอยู่แล้ว

มีบางคนกล้ากล่าวค้านว่า การที่ตนทำพิธีรีตองเช่นนั้น
ก็เพื่อประโยชน์ของคนผู้ที่ยังหลงยังเข้าใจผิดอยู่ จะอธิบายให้เขา
ทราบความจริงก็เกรงว่าเขาจะไม่เข้าใจ จึงปล่อยไว้อย่างนั้น
อีกประการหนึ่งเขาคิดว่า พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่สูงเกินที่คน
เหล่านั้นจักเข้าใจก็เลยไม่อธิบายกันให้เข้าใจ เขามาขอให้ทำ
พิธีอะไรก็ทำไปเท่านั้น

ขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง เช่น คนๆหนึ่งมาหาพระและ
บอกว่า ตนเคราะห์ร้าย… ขอรดน้ำมนต์สักหน่อย พระก็รดให้โดย
มิได้ไต่ถามว่าเคราะห์ร้ายเรื่องอะไร ไม่ได้แนะแนวทางแก้ทุกข์
ให้แก่เขา การทำพิธีรดน้ำมนต์ช่วยกำลังใจได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น
แต่ถ้าสนทนาให้เขาเข้าใจเหตุผลเขาคงฉลาดขึ้น และเลิกละจาก
การกระทำความทุกข์ใส่ตนก็ได้

ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าไปปาฐกถาที่นครสวรรค์ พอพูดจบก็มีคน
มาหาและขอให้เป่ากระหม่อมให้หน่อย ข้าพเจ้าจึงตอบแก่เขาว่า
เป่าให้ชั่วโมงครึ่งก็ควรจะพอแล้ว ปฏิบัติตามคำสอนนั่นแหละ
คือพรอันประเสริฐ และจะช่วยตัวเขาได้ต่อไป เขาจึงถอยกลับ
ออกไป …น่างสงสารคนประเภทนี้แท้ๆ!!

ในการบำรุงพระพุทธศาสนานั้น ถ้าหากพวกเราไม่รู้ว่า
พระพุทธศาสนาที่แท้เป็นอย่างไร…เราก็บำรุงไม่ถูก กลายเป็น
บำรุงไสยศาสตร์ บำรุงศาสนาพราหมณ์ไปเสีย โดยเข้าใจว่า
นั่นคือ พระพุทธศาสนา

ท่านผู้ใหญ่ในทางโลกบางคน นับถือพระภิกษุบางองค์ว่า
เป็นหลวงพ่อของตน พิจารณาไป…ได้ความว่าเป็นอาจารย์ขลังๆ
เท่านั้น ในบางสมัยได้นิมนต์อาจารย์ขลังๆ มามาก แล้วทำพิธี
ปลุกเสกพระเครื่องกันเป็นการงานใหญ่ จบพิธีแล้วก็เอาไปขาย
เป็นเงินเพื่อสร้างอะไรๆในทางศาสนา การกระทำเช่นนี้เป็นการ
ขายพระพุทธเจ้าเพื่อแลกเอาอิฐปูนเท่านั้น หาได้ทำคนให้ดีขึ้น
ในทางใจไม่ ถ้าหากเราได้ขอร้องให้ท่านอาจารย์ทั้งหลายช่วยกัน
เสกคนเป็นพระขึ้นบ้าง ก็จะเป็นการกระทำที่น่าชมว่าเป็นไหนๆ

เมื่อพูดกันถึงเรื่องพระพุทธศาสนาที่แท้ ท่านก็คงนึกว่า
มีพุทธศาสนาที่ปลอมด้วยหรือ? ความจริงพระพุทธศาสนา
ปลอม…ไม่มี แต่พวกเราที่นับถือนี่แหละ กลับไปทำให้ของจริง
กลายเป็นของปลอมไป ทำไมจึงทำเช่นนั้น? ก็มันมีเหตุการณ์
หลายอย่างที่ทำให้เป็นเช่นนั้น

สมัยนี้เป็นสมัยของการก่อสร้างทางวัตถุ วัดทั่วไปแข่งขัน
สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลา กุฏิ และอะไรต่างๆ บางแห่งสร้างพอดี
กับทุน บางแห่งก็สร้างเกินทุน จึงต้องหาทุนโดยวิธีการแปลกๆ
อันเป็นเรื่องที่ไหลเข้ามาท่วมทับสัจธรรมของพระพุทธศาสนา
ทั้งนั้น ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ เช่นใบเซียมซีเสี่ยงทายกันในโบสถ์
ต่างๆ ที่เข้ามาอยู่ตามโบสถ์ก็เพราะว่าพระอยากได้เงินมาบำรุง
พุทธศาสนา แต่กลายเป็นทำลายพุทธศาสนาไป เพราะคนที่มาลั่น
เกิดเข้าใจผิดคิดว่าหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ ดลบันดาลให้เป็นไปอย่างนี้
ความจริงหลวงพ่อมิได้บันดาลอะไรให้เลย หากแต่แขนของเรา
ทั้งสองนี่เองเป็นตัวการใหญ่ เราไปจับกรบอกสั่น… มันจึงหล่น
ออกมาได้ คนโง่ไม่เข้าใจอะไรจึงถูกพระหลอกลวงให้สั่นเสียจน
เหงื่อไหลไคลย้อย นี่เป็นเพราะเห็นแก่ลาภโดยแท้ พระหลวงพี่
หลวงพ่อนอกคอกทั้งหลายที่ทำพิธีแปลกๆ ต่างๆ นั้น ก็เพราะ
อยากได้อะไรบางอย่าง จึงทำอย่างนั้น

เจ้ามิจฉาทิฐิทั้งหลายนี่ซิ…
เป็นเรื่องน่ากลัวมากจริงๆ เพราะไม่มีใครคอยจับ
บางทีผู้จับเองก็พลอยเห็นผิด เห็นงมงายไปเสียด้วย
จึงน่ากลัวกว่าลัทธิอะไรทั้งสิ้น
ใคร่ขอเตือนพี่น้องทั้งหลายไว้ให้พิจารณาจงดี
จะได้ป้องกันตัวเองให้พ้นจากภัยร้ายคือ ความเห็นผิดได้

พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า…
จิตใจที่บุคคลตั้งไว้ผิด อาจทำอันตรายแต่คน
มากกว่าโจรใจเหี้ยม…
หรือคนจองเวรจักพึงทำให้แก่กันเสียอีก

พระพุทธเจ้าบอกว่า
สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ
ถ้าจะตัดผล ต้องตัดเหตุ
แล้วเหตุนั้นไม่ได้อยู่สิ่งภายนอก
อยู่ในตัวของเราเอง

นี่คือหลักพระพุทธศาสนา

คัดลอกมาบ้างส่วนจาก หนังสือเลิกเชื่อไร้เหตุผล
พึ่งตนและพึ่งธรรมะ… หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ

น้ำมนต์ไม่ใช่สรณะอันเกษม

มนุษย์ทุกคนมีปัญหาเรื่อง ความกลัว เรื่องความทุกข์ที่ไปบีบคั้น แม้ความเจ็บไข้ และความ ตาย ฯลฯ เขาจึงล้วนแต่ต้องการที่พึ่ง ต้องการสรณะ นับตั้งแต่ เด็กทารกก็มีบิดามารดาเป็นสรณะ เป็นต้นสิ่งใดที่ทำให้เบาใจได้ ทำให้หายกลัวได้ ทำให้จิตพ้นจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาได้สิ่งนั้นเรียกว่า สรณะ หรือที่พึ่ง

ที่พึ่งมีได้หลายระดับ มากมาย ตามความโง่หรือความฉลาด ของมนุษย์เอง และมันต้องเป็นที่พึ่งที่เหมาะสมสำหรับคนนั้นๆ เช่น การมีไสยศาสตร์เป็นที่พึ่งของคนที่ยังไม่มีความรู้ทางจิต ส่วนคนที่รู้จัก การทำจิตใจให้ถูกต้อง จนรู้ธรรมะเป็นที่สุด เป็นสรณะที่พึ่งได้

เรื่อง ที่แต่ละคนจะรู้สึกสบายใจ เบาใจอะไรนี้ มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่เขารู้สึกในเวลานั้น ว่ามันเป็นของจริงสำหรับเขาความจริงนั้นมันยืดหยุ่นได้เสมอไป มันจะจริงอยู่เพียงที่ใจเขารู้จัก เท่าที่ความรู้ของเขามีอยู่เพียงไร เท่าไร มันก็จะจริงอยู่เพียงแค่ที่เขาจะเห็นด้วยตนเองได้เท่านั้นเขาไม่อาจจะเห็น ความจริงที่ลึก ที่สูง ที่ไกล ออกไปได้ ฉะนั้นความจริงมันจึงเฉพาะคน เฉพาะเวลา เฉพาะเหตุผล ที่มีอยู่ในเวลานั้น เท่านั้น อย่าไปเข้าใจว่า เป็นจริงที่เด็ดขาดลงไป ดังนั้นสรณะของแต่ละคนจึงแตกต่างกันออกไป

ธรรมะ เป็นยอดสุดของที่พึ่ง เป็นยอดสุดของสรณะ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่ต้องการที่พึ่ง ถ้ายังต้องการที่พึ่งอยู่ก็ยังไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะท่านถึงที่พึ่งอันสูงสุดแล้ว จึงไม่รู้สึกว่าต้องการที่พึ่ง ฉะนั้นจึงไม่ได้มีอะไรเป็นที่ผูกพันกันยุ่งเหยิง เหมือนกับพวกที่ยังไม่หลุดพ้น ยังมีความทุกข์อยู่

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หมายถึงสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ มันมีทั้งศักดิ์สิทธิ์จริง และศักดิ์สิทธิ์มายา แต่ก็ล้วนมีผลทำให้เบาใจได้เป็นระดับๆไป คนโง่อาจใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเพียงมายา เช่น ใช้คาถาปลุกเสก รดน้ำมนต์ เป็นต้น สำหรับคนฉลาดใช้อย่างนี้ไม่ได้ ต้องหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างอื่นแทน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นปัญหา ยุ่งยากที่สุด แม้กระทั่งในสมัยวิทยาศาสตร์ เพราะมันพิสูจน์ยาก แต่โดยหลักเกณฑ์ของมันก็เป็นเพราะความเชื่อของคน ด้วยอำนาจความเชื่อนั่นแหละ ทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ แล้วความเชื่อนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับความโง่ หรือความฉลาดด้วย

เรื่องไปรดน้ำมนต์ เราไม่ได้ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ว่า ไม่มีอะไรเสียเลย มันก็มีไปตาม ข้อเท็จจริงของมัน มีผลไปตามสัดส่วนของความโง่ หรือความเชื่อ คือถ้าเชื่อแล้ว มันก็มีความเบาใจ สบายใจ หายกลัว หายทุกข์ร้อน นี้มันก็มีประโยชน์มาก แต่ถ้าไม่เชื่อแล้ว ก็เป็นเรื่องอาบน้ำธรรมดาไปเสีย นั่นเอง การปัดเป่า เสกเป่า นี้ก็เหมือนกัน ถ้าเชื่อมันก็มีผลในทางใจ รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที ถ้าไม่เชื่อ มันก็ไม่มีอะไร มันอยู่ที่กำลังใจ ที่สูงต่ำกว่ากัน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์มายาเป็นที่พึ่งที่มาจากภายนอก อาจได้มาจาก ภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์บ้าง เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์บ้าง ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สรณะอันเกษม ไม่ใช่สรณะอันสูงสุด ไม่ทำให้เกลี้ยงเกลาไปจากความทุกข์ได้จริง เป็นเพียงที่พึ่งหลอกๆ มีความเบาสบายชั่วคราวเท่านั้น

สิ่งศักดิ์สิทธิ์แท้จริงหมายถึงธรรมะ (รวมทั้ง พระพุทธ พระธรรมะ พระสงฆ์) ที่มีผลกำจัดทุกข์ได้จริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกชนิด ทั้งชนิดที่แท้จริง และชนิดมายา ก็มีผลสมควรแก่กรณี สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนโง่ ก็ต้องใช้กับคนโง่, สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนฉลาด ก็ต้องใช้กับคนฉลาด, สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนครึ่งๆ กลางๆ ก็ต้องใช้กับคนครึ่งๆ กลางๆ, ถ้าผิดฝาผิดตัวแล้ว มันก็ตีกันยุ่ง แล้วจะไม่มีประโยชน์

เราไม่ได้ ปฏิเสธว่า ไม่มีผี ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่มันมีอยู่หลายชนิด ซึ่งคนที่ไม่รู้ก็จะเข้าใจได้ยากสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงอยู่ในฐานะเหนือการ พิสูจน์ เรื่องอย่างนี้เป็นมาแล้วก่อนพุทธกาลนานไกล เป็นมาจนถึงปัจจุบัน

ความ ศักดิ์สิทธิ์นี้มีจริง เพราะเป็นเรื่องทางจิตใจ มันง่ายที่จะมี ถ้าทุกคนเชื่อลงไปในสิ่งนี้ว่าเป็นอย่างนี้ มีผลอย่างนี้ ความเชื่อนั้นแหละเป็นอำนาจอะไรอย่างหนึ่ง ที่ฝังอยู่ในบรรยากาศนั้นๆ พอใครเข้ามาในที่นั้น มันก็ครอบงำ แล้วคนนั้นก็จะรู้สึกเป็นอย่างนั้น รู้สึกเหมือนที่เชื่อกันนั้น ได้จริงๆ เหมือนกันฉะนั้นในเมื่อคนยังโง่มาก มันก็สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันขึ้นมาเอง

สำหรับคนสมัยนี้ เวลานี้เขาศึกษากันแต่ในเรื่องวัตถุ เขาจะแก้ปัญหาต่างๆด้วยเรื่องทางวัตถุก่อนเสมอ เช่นโรคภัยไข้เจ็บก็แก้กันด้วยหยูกยาก่อน หรือเรื่องอะไรต่างๆก็แก้ด้วยเครื่องใช้เครื่องมือ จนกระทั่งไปแก้ปัญหาทางจิตโดยใช้วิทยาศาสตร์ แต่แล้วก็ไม่สำเร็จ พอเผลอเข้านิดเดียว นักวิทยาศาสตร์ที่มีความโง่เขลาในทางวิญญาณ ก็กลายเป็นเหยื่อของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่อธิบายไม่ได้ไปเสียแล้วโดยไม่รู้ตัว อย่างนี้ก็มีอยู่มาก

นัก วิทยาศาสตร์เอกที่ไปเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนาอะไรก็ตาม ก็ยังต้องรดน้ำมนต์ ยังทำอะไรแปลกๆ อย่างนี้ก็มีอยู่มากเหมือนกัน กระทั่งถือฤกษ์ถือยาม ถืออะไรไปตามประสาของความขลาด ซึ่งความขลาดความกลัวนี้มาจากความอยาก และวิทยาศาสตร์ทางวัตถุช่วยเพิ่มความอยาก จนสับสนวนเวียน จนเกิดความกลัวก็ต้องเอาอะไรมาหลอกกัน ด้วยเรื่องศักดิ์สิทธิ์ หรือไสยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์จึงกลายเป็นทาสของไสยาศาสตร์ไปโดยไม่รู้สึกตัว

สรณะที่ แท้จริงนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นอริยสัจสี่ด้วยปัญญา ผู้นั้นได้ชื่อว่า ได้ที่พึ่งอันเกษม ได้ที่พึ่งอันสูงสุด ซึ่งจะให้พ้นทุกข์ทั้งปวงได้”

การถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นหมายความว่า ต้องเห็นอริยสัจสี่ด้วยปัญญาคือเกิด experience อยู่ในใจจริงๆ เป็นความเห็นแจ้งแทงตลอดว่า ทุกข์มีลักษณะอาการอย่างนี้ๆ สมุทัย คือตัณหา เหตุให้เกิดทุกข์ เราก็รู้จักตัวจริง และ รู้ความที่จะกำจัดมันได้, นิโรธ ความดับแห่งทุกข์ ที่มันปรากฏอยู่ในใจเราเสมอๆ ก็ให้แจ่มแจ้งอยู่ในใจของเราเสมอๆ และมรรค ทางแห่งการปฏิบัติก็ต้องทำให้มีอยู่ในเนื้อในตัวเราจริงๆ

ถ้าเห็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง ก็คือเห็นธรรมะที่เป็นที่ดับทุกข์ได้จริง มิฉะนั้นแล้ว จะเป็นการเห็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่เปลือกนอก เช่นเห็นพระพุทธรูป ว่าเป็นพระพุทธ เห็นคัมภีร์ใบลานว่าเป็นพระธรรม เห็นลูกชาวบ้าน นุ่งห่มสีเหลืองว่าเป็นพระสงฆ์ เป็นต้น ซึ่งนั่นไม่เรียกว่าการเห็นที่แท้จริง

ในสมัยพุทธกาลมีคนไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้า ได้มีการสนทนาโต้ตอบกัน จนบุคคลนั้นเห็นธรรม เข้าใจธรรม เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ จนเห็นว่ามันดับทุกข์ได้จริงๆแล้ว จึงได้ออกปาก เปล่งวาจาถึงสรณาคมน์ ว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ฯลฯ ดังนั้นการเข้าถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ จึงเป็นเรื่องจริง ทำครั้งเดียวก็ใช้ได้ตลอดกาลตลอดชีวิต

แต่ เดี๋ยวนี้ คนเรายังไม่ทันรู้อริยสัจสี่ ยังไม่ทันรู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ออกปากว่าสรณาคมน์ไปตามที่เขาบอก โดยทำเป็นพิธี ว่าไปอย่างนกแก้วนกขุนทอง คือต้องพูดซ้ำๆซากๆ เดือนหนึ่งไม่รู้กี่สิบครั้งกี่ร้อยครั้ง มันจึงเป็นสรณาคมน์ที่งมงาย

พระ พุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่แท้จริง ที่ลึกเข้าไปในใจแล้ว ก็เหมือนกันหมด นั่นก็คือ คุณธรรมที่เป็นความดับทุกข์ได้เหมือนกันหมด ซึ่งจะเรียกว่า ความสะอาด ความสว่าง ความสงบ สิ่งนี้จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องทำให้มีขึ้นมาเองในใจของเรา ทำพระพุทธเจ้า ให้มีขึ้นมาเองในจิตในใจของเรา ทำพระธรรมให้มีขึ้นมาเองในใจของเรา ทำพระสงฆ์ให้มีขึ้นมาเองในใจของเรา ทำการรู้อริยสัจสี่ให้มีขึ้นมาเองในใจของเรา อย่างนี้เรียกว่า เป็นการกระทำของตนเอง เพื่อตนเอง และโดยตนเอง

นี่คือสิ่งที่กล่าวกันว่า “มีตนเป็นดวงประทีป มีธรรมเป็นดวงประทีป” “มีตนเป็นสรณะมีธรรมเป็นสรณะ” นั่นก็คือ การได้ถึงสรณาคมน์เป็นความดับทุกข์ หรือเป็นนิพพานอยู่ในตัว

ขอ ให้ทุกคนรีบแก้ไขให้การถึงสรณาคมน์นี้ ด้วยจิตใจจริงๆ โดยไม่ต้องออกปากว่าก็ได้ ถ้าว่าด้วยปากให้เป็นพิธี ซึ่งทำให้มีเหตุผลทางจิตวิทยา ชี้ชวน ชักชวนผู้อื่นให้เข้ามาสนใจ หรือว่าเป็นการย้ำในการถึงแล้วของเราให้แน่นแฟ้นอยู่เสมอ อย่างนี้ก็พอจะไปได้ ถ้ารู้ว่ายังไม่ถึง ก็จงรีบๆทำให้ก้าวหน้า และให้ถึงในที่สุด

ธรรมโฆษณ์ บรมธรรม ภาคปลาย “บรมธรรมกับสรณาคมน์”

รดน้ำมนต์ไม่ใช่ที่พึ่ง

การที่พวกเราได้เข้ามาทำบุญกุศลนั้น เป็นการทำให้จิตใตของเราเข้าใจใน เรื่องการทำบุญมากขึ้น เข้าใจในเรื่องปัญญา ได้รู้เรื่องความสงบของใจ ถ้าคนไม่มีสมาธิ ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ เหมือนคนเรียนดาราศาสตร์ กับโหรา ศาสตร์ อยู่ดีๆ จะไปรู้เรื่องดวงดาวนั้น ดวงดาวนี้ไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ลึกกว่า คนที่ไม่ได้เรียน พุทธศาสตร์ก็เหมือนกันคนที่จะรู้ได้ ก็เป็นคนที่เข้ามาศึกษา เล่าเรียน เพราะพุทธศาสตร์เป็นของที่ละเอียดลึกซึ้ง ยิ่งกว่าดาราศาสตร์ ยิ่งกว่าโหราศาสตร์ เพราะดาราศาสตร์เรียนเรื่องดวงดาวในท้องฟ้า โหราศาสตร์ก็เรียนเรื่องผูกดวงดาว หรือผูกดวงชะตาของคนโน้นคนนี้ แต่พุทธศาสตร์นั้นเรียนของที่มีอยู่ในตัวเรา ที่เราไม่รู้จักตัวเราท่านก็ให้ค้นหาศึกษาตัวเรา

แค่คำว่า ” วิญญาณ ”  วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ โหราหศาสตร์ก็ไม่สามารถจะรู้เรื่องวิญญาณ…เกิดอย่างไร…ดับ อย่างไร แต่พุทธศาสตร์สอนให้รู้จักเรื่องวิญญาณ ว่ามีทั้งดีทั้งร้าย ทั้งบุญทั้งบาป ทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งวิญญาณสัตว์ วิญญาณเทวดา วิญญาณมนุษย์ และในทุกจักรวาลล้วนแต่มีวิญญาณอยู่ทั่วไป แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ไปดู วิญญาณภายนอกอย่างเดียว ท่านต้องการให้ศึกษาวิญญาณภายใน ให้ดูแรงกระทบของวิญญาณวิญญาณที่เกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(จักขุวิญญาณ) หูก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(โสตวิญญาณ) จมูกก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(ฆานวิญญาณ) ลิ้นก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(ชิวหาวิญญาณ) กายก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(กายวิญญาณ) ใจก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(มโนวิญญาณ) ฉะนั้นถ้าเข้าใจวิญญาณหกนี้ ก็เข้าใจธรรมอันลึกซึ้งของพระพุทธเจ้า
การค้นหาวิญญาณท่านบอกว่า…ต้องค้นหาในสติปัฏฐาน 4 นั่งก็ดี เดินก็ดี กินก็ดี คิดก็ดี นึกก็ดี ให้กำหนดเอาสติ เอาสมาธิ เอาปัญญานั่นเข้าไปจับจดจ่ออยู่กับอิริยาบถการเคลื่อนไหวของตัวเองจึงจะจับวิญญาณ ได้ ถ้าคนไหนจับวิญญาณได้ก็เป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามีเป็นอรหันต์ เป็นผู้วิเศษในธรรมทั้งหลาย สิ่งที่ไม่รู้ไม่มีเลย จากคนโง่กลายเป็นคนฉลาด จากคนหลงกลายเป็นคนไม่หลง จากผู้ไม่รู้กลายเป็นผู้รู้ เช่นพระพุทธ เจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นหาวิญญาณที่โคนโพธิ์ เพียงคืนหนึ่งท่านค้นพบวิญญาณ แล้วสามารถรู้จักการเกิดและการดับ ของวิญญาณได้ ท่านรู้ตั้งแต่หัวค่ำไปถึงเที่ยงคืน ท่านค้นในอายตนะทั้ง 6 นี่เอง พอท่านสำเร็จแล้วท่านก็สอนปัญจวัคคีย์ให้รู้จักจับวิญญาณ ที่เราหลงท่องเทียวไปในสังสารวัฎ เมื่อดับวิญญาณได้แล้วจึงจะไปถึงนิพพาน
พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงวิธีการจับวิญญาณ เช่น เวลาตาเห็นรูป ตานั้นเป็นอายตนะภายใน รูปเป็นอายตนะ ภายนอก เมื่อตากับรูปกระทบกันเขาเรียกว่าเกิดจักขุวิญญาณ เมื่อกระทบกันแล้วก็เกิดผัสสะ เมื่อเกิดผัสสะก็เกิด เวทนา คือเกิดความชอบใจความไม่ชอบใจ ก็เกิดตัณหาอุปาทาน เกิดกรรมเกิดวิบาก เกิดการยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา แล้ว ก็ส่งไปถึงใจ ดังนั้นที่ดีที่ชั่วได้ทุกวันนี้เพราะได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้กระทบสัมผัส เราไม่รู้สิ่งที่มันเกิด กับตา กับหู กับจมูก กับลิ้น กับกาย กับใจ เราไม่รู้ทันอารมณ์ก็กลายเป็นทาสของอารมณ์ ก็ปล่อยให้มันเกิดจนเป็น โทษเป็นทุกข์ไป เป็นอุปาทานเป็นการยึดติดไปหมด เรื่องสิ่งเหล่านี้เป็นของละเอียดอ่อนทั้งหมดเลย ธรรมของพระ พุทธเจ้าจึงต้องรู้ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ต้องมีสมาธิในการฟัง มีสมาธิในการจำ มีสมาธิในการปฏิบัติ มีสมาธิ ในการพิจารณาให้เห็นให้เข้าใจในเรื่องการประพฤติธรรมตรงนี้

ที่เรามาเรียนเรื่องสติปัฏฐาน ๔ มาเรียนวิธีจับวิญญาณด้วยการเห็นสุข เห็นทุกข์ เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นใจตัวเอง เอาจิตเข้าไปจดจ่ออยู่กับการประพฤติปฏิบัติ เราก็จะรู้ได้ และก็จะเกิดความสบายอกสบายใจรื่นเริง บันเทิงใจเบิกบานสว่างไสวในจิตใจของเรา แต่ถ้าเราไม่รู้ เราก็ถูกอวิชาปิดบัง มันก็ไม่เข้าใจ คนที่อึดอัด หงุดหงิด ฟุ้งซ่านรำคาญใจมีอารมณ์ไม่สบายอกไม่สบายใจอยู่ตลอดวันตลอดคืนหรือตลอดชีวิต ดีใจก็ดีใจมาก เสียใจก็เสีย ใจมาก เพราะยังไม่รู้จักการเกิดและการดับของวิญญาณ คือยังไม่ได้ปฎิบัติธรรมนั้นเองจึงไม่รู้วิธีดับทุกข์ของตัวเอง พระพุทธเจ้าจึงสอนวิธีการทำบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ ด้วยวิธีการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน คือการเข้าไปดูจิตดูวิญญาณของตัวเองให้ได้ เอาศีล สมาธิ ปัญญา ไปส่องสว่างดูว่า…วิญญาณที่พาเกิดพาตาย พาเวียนว่ายไปเป็นมนุษย์ ไปเป็น เทวดา ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปนรกนี่มันอยู่ที่ไหน ถ้าใครตามเจอตามพบก็เป็นอันจบวิญญาณ คือจบจิตก็ไม่ต้องไป เกิดอีกแล้ว ไม่ต้องไปร้องให้ ไม่ต้องไปเสียใจ ไม่ต้องไปทุกข์โศกความผิดหวังต่างๆก็หมดกัน แต่ตราบใดที่เรายังตามหาวิญญาณไม่เจอ ดับวิญญาณชั่วร้ายไม่ได้ เราก็ยังต้องทุกข์ ต้องโศกต้องมีโรคมีภัย มีความผิดหวังทั้งหลาย ทุกข์จะเข้ามาอยู่ในชีวิตของเราทั้งหมดเลย ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายที่ทำบุญกุศลกันก็ต้องพยายามเข้าใจเรื่องธรรมของ พระพุทธเจ้า

ถ้าเราฟังธรรมก็ไม่รู้เรื่อง นั่งสมาธิก็ไม่เข้าใจ พระอธิบายเรื่องรูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ ก็ฟังไม่รู้เรื่องอาจจะเข้าใจว่า …ทำไมคนอื่นเขาจึงทำกันได้ …ทำไมเขาจึงเข้าใจเรื่องนั้นได้ …แล้วเราเป็นใคร …มาจากไหน ก็ต้องไปหาครูบาอาจารย์เพื่อขอวิธีการปฏิบัติเปิดใจตัวเอง ด้วยการหัดเดินจงกรม ด้วยการหัดนั้งสมาธิ จับลมหายใจก็ได้ แล้วพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนังของตัวเราให้มากๆ คิดถึงตัวเราให้มากๆ แล้วก็เลิกคิดถึงคนอื่น ความสงบก็เกิดขึ้น ความหลงก็น้อยลง อันนี้ก็ช่วยเราให้เกิดปัญญาได้ เรายังมีโอกาส ยังมีเวลาอยู่นะ

เรายังมีพระไตรปิฎกอยู่ในตัวเรา แต่เรายังไม่ได้เปิดอ่านเท่านั้นเอง เราต้องรู้จักเหตุของการเกิดความทุกข์ใจ และหาวิธีดับทุกข์ใจให้สู่ความสงบให้ได้ เมื่อทุกคนเข้าถึงความดับ ความว่างเปล่าได้แล้ว บุคคลนั้นจึงค่อยเข้าใจแก่นธรรมของพระพุทธเจ้า จึงจะค้นหาแก่นธรรมของพระพุทธเจ้า โดยเปิดใจตัวเอง ดูวิญญาณตัวเอง แล้วจบตรงที่รู้จักวิญญาณตัวเอง ก็ไม่มีอะไรมาปิดบังปัญญาเราได้ แล้ว เราก็สามารถที่จะรู้แจ้งเห็นจริงตามธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน ก็หายหลง หายโง่ได้ น่าเสียดายที่คนไทยชาวพุทธไทยยังไม่เป็นนักฟังที่ดี ยังไม่เป็นนักปฎิบัติที่ดี ยังไม่เป็นนักอ่านที่ดี ยังไม่รู้จักทุกข์ที่เกิดกับใจ ยังไม่รู้จักวิธีการดับทุกข์ที่ใจ ยังไม่รู้จักมรรคที่เกิดกับใจ ยังไม่รู้จักนิโรธ์ที่เกิดกับใจ แต่คนไทยเราชอบให้ทาน ชอบพิธีกรรม ชอบจะไปสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ชอบจะไปรดน้ำมนต์ ชอบไป หาหมอดู ชอบจะไปทอดกฐินทอดผ้าป่า ชอบปิดทองหล่อพระ คนไทยจึงได้แต่เปลือกพุทธศาสนา ไม่มีวิธีปฎิบัติสติปัฏฐาน 4 ไม่รู้วิธีเจริญกรรมฐาน ถ้าคนไทยเราเอาธรรมล้วนๆ มาปฎิบัติกันหมดทั้งประเทศ ประเทศเราจะมีความเจริญมากกว่านี้ คนเราจะมีความสบายกายสบายใจจะมีความสุขมากกว่านี้ ความเจริญอย่างอื่นเท่ากับความสุขทางใจ ทุกคนก็จะมี ความหวังในพระพุทธศาสนาว่าเป็นที่พึ่งของเราในบั้นปลายสุดท้ายได้แน่นอนเลย

หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ
http://www.vimokkha.com/dhamlife.htm