ตกนรกทั้งเป็น

ในวันนี้จะได้กล่าวถึงสิ่งที่เป็นอุปสรรค และยิ่งไปกว่าอุปสรรคคือเป็นความเสื่อม และนำไปสู่ความวิบัติในที่สุด สิ่งนี้ถ้าเรียกโดยภาษาบาลีก็เรียกว่า “หายนธรรม” สำหรับบางคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่า ทำไมจึงเรียกว่า ธรรมชนิดหนึ่งด้วย? ในกรณีอย่างนี้ ขอให้เข้าใจไว้ว่า คำว่า “ธรรม” เป็นคำกลาง ๆ จะใช้แก่ฝ่ายดี หรือฝ่ายชั่วก็ได้ จะต้องมีคำคุณศัพท์ประกอบเข้าข้างหน้าเป็นหายนธรรม หรือวัฒนธรรม เป็นต้น ถ้าเป็นวัฒนธรรมก็คือว่า ธรรมฝ่ายเจริญ, หายนธรรม ก็คือ ธรรมฝ่ายเสื่อม แล้วพึงเข้าใจไว้ด้วยว่า แม้แต่สิ่งที่เรียกว่า อธรรม ก็หมายถึงธรรมฝ่ายหนึ่ง คือธรรมฝ่ายเสื่อม หรือ ธรรมฝ่ายที่ทำลาย ความประสงค์ของสิ่งที่เรียกว่า ธรรมฝ่ายเจริญ แล้วคำว่า “ธรรม” หมายถึง รูปธรรม ก็ได้, นามธรรม ก็ได้, เจือกัน ก็ได้, กระทั่งถึงสิ่งที่ไม่ใช่รูปและไม่ใช่นาม เมื่อเป็นดังนี้ คำว่า “ธรรม” ก็หมายถึงทุกสิ่ง เราจึงแปลคำว่า ธรรม นี้ว่า สิ่ง เพื่อจะได้หมายถึงทุกสิ่ง มีชีวิตก็ได้ ไม่มีชีวิตก็ได้

หายนธรรมของโลกฆราวาส ก็หมายความว่า ฆราวาสนี้มีแบบการเป็นอยู่ หรือวัตถุประสงค์มุ่งหมาย หรือทุก ๆ อย่างเป็นที่รับรองต้องกันว่าเป็นอย่างไร, มีลักษณะเป็นสถาบันอันหนึ่ง ซึ่งเป็นสถาบันที่ใหญ่ที่สุด คือสถาบันของฆราวาสต่างจากสถาบันของบรรพชิต มีอะไรที่ไม่เหมือนกันอยู่หลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะการเป็นอยู่ ทั้ง ๆ ที่วัตถุประสงค์มุ่งหมายก็เป็นอย่างเดียวกัน คือ จะไปถึงจุดหมายปลายทางของมนุษย์ทั้งนั้น แต่สถาบันของฆราวาสมีการประพฤติ หรือเป็นอยู่ อย่างที่จัดไว้เป็นระเบียบเฉพาะ ฉะนั้นจึงเรียกว่า “สถาบันของฆราวาส” หรือ “โลกของฆราวาส” ซึ่งเป็นของสิ่งเดียวกัน แล้วที่พูดว่า “ในยุคปัจจุบัน” โดยเฉพาะนั้น ก็เพราะว่าเป็นยุคที่แตกต่างจากยุคที่แล้ว ๆ มายิ่งขึ้นทุกที เมื่อมันแตกต่างยิ่งขึ้นทุกที ก็หมายความว่า มันจะใกล้หรือไกลต่อจุดหมายปลายทางยิ่งขึ้นทุกทีด้วยเหมือนกัน แต่ในที่นี้มองเห็นเป็นความเลื่อม คือไกลจากวัตถุประสงค์มุ่งหมายของฆราวาส หรือสถาบันของฆราวาสก็ตาม ยิ่งขึ้นทุกที

พิจารณากันถึงลักษณะของความเสื่อม ที่เรียกว่า “หายนะ” หรือความเสื่อมนี้ ที่เห็นอยู่ชัดก็คือว่า มันเสื่อมไปจากการก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางของฆราวาสนั่นเอง คือก้าวไปในลักษณะที่ไม่เป็นความเจริญตามหลักแห่งอาศรม ๔ ประการ แต่แล้วก็มาจมอยู่ในลักษณะของความทนทรมานชนิดหนึ่ง เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นโดยไม่รู้สึก คำว่า “ความเสื่อม” ในที่นี้จึงมี ๒ ปริยายคือเสื่อมจากการก้าวไปตามหลักของอาศรม ๔ แล้วเลื่อนลงไปสู่ความทรมานโดยไม่รู้สึกตัว

โลก ของฆราวาสแห่งยุคปัจจุบันย่อมละเลย หรือเหินห่าง จากการที่จะก้าวไปตามหลักแห่งอาศรม ๔ คือเป็นพรหมจารี ก็เละเทะหมด เป็นฆราวาสที่ถูกต้องหรือบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่ได้ มันก็เละเทะอีกเหมือนกัน จึงไม่นำไปสู่วนปรัสถ์ คือมีชั่วโมงแห่งความสงบ หรือศึกษาค้นคว้าในภายใน เมื่อเป็นอย่างนี้มันก็ไม่มีอะไรที่จะไปสอนใครในลักษณะของสันยาสี นี่พอจะเห็นได้ง่าย ๆว่า มันไม่เป็นไปตามหลักของอาศรม ๔ เพราะมันเป็นไปในลักษณะที่เรียกกันว่าเละเทะ นี่เป็นภาษาสามัญหรือค่อนข้างโสกโดก มันก็เป็นอย่างนั้น นี่เพราะความที่เละเทะไปเสียทุกอาศรม มันก็เลยผิดพลาดเป้าหมาย ดังนั้นชีวิตจึงเป็นชีวิตที่เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นโดยไม่รู้สึกตัว

ตกนรกทั้งเป็น นี้ก็หมายถึงความทนทรมานอย่างชื่นตา คือรู้สึกอยู่ เห็นอยู่ก็มี แต่ส่วนมากหรือส่วนใหญ่นั้นมันไม่รู้สึก เพราะว่าถ้ารู้สึกมันก็ไม่ตก หรือพยายามดิ้นรนที่จะออกมาเสีย เพราะฉะนั้น การตกนรกทั้งเป็น ย่อมเป็นเรื่องไม่รู้สึกตัว รู้สึกแต่ความอึดอัด หรือความกระวนกระวาย หรือความเร่าร้อนบ้าง ก็จริง แต่ว่ามันเห็นเป็นความสนุกสนาน ชนิดที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัวไปเสีย เช่น คนหนุ่ม-สาว เห็นความสำมะเลเทเมาเป็นเรื่องประเสริฐ วิเศษไปเสีย ทั้งที่มันเป็นการทรมานจิตใจอย่างยิ่งอยู่ตลอดเวลา เขาแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้กับมันเสียในส่วนนั้น หรือไปหาอะไรมากิน มาดื่ม มากลบเกลื่อนในส่วนนั้น แล้วก็มองแต่ส่วนสำมะเลเทเมา ซึ่งมีรสชาติเป็นความเพลิดเพลิน ขอให้ระวังนรกทั้งเป็นนี้ให้มาก ๆ มันไม่ได้แสดงอาการชนิดที่น่ากลัว น่าวิ่งหนี แต่มันแสดงอาการที่ดึงดูด ลึงลงไปทุกที-ลึกลงไปทุกที

ลองสังเกตดูให้ละเอียด เรื่องอบายมุขต่าง ๆ เช่นไปดูหนัง โดยเฉพาะที่มันเป็นเรื่องที่ทำลายศีลธรรม หรือว่าไปเที่ยวที่สำมะเลเทเมา ซึ่งสมัยนี้มีเต็มไปทั่วทุกหัวระแหง เรียกชื่อต่าง ๆ กัน มีลักษณะต่าง ๆ กัน เวทนาที่เกิดขึ้นจากการดู การดื่ม การสัมผัส อะไรเหล่านี้ เป็นของร้อน แต่กลับรู้สึกเป็นของเอร็ดอร่อย สนุกสนาน จะว่าเย็น มันก็ไม่ถูก มันกระตุ้นให้ฟุ้งซ่านให้รำคาญ ให้กระวนกระวาย แต่มันมีรสอร่อยฉาบทาไว้ คนก็เห็นเป็นของน่าปรารถนา แล้วก็ทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมโบราณของตน มันก็ยิ่งเห็นเป็นของที่น่ากลัวมากขึ้น หรือมีทางที่จะทำให้ลืมตัว จมลงไปลึกมากขึ้น แล้วก็เป็นกันมากขึ้นทั่ว ๆ ไปทั้งโลก

เราต้องใช้สติปัญญา หรือใช้วิจารณญาณ หรือที่เรียกว่า “ดวงตาภายใน” คือหลับตาดู ก็เรียกว่าดวงตาข้างใน มองดูโลกให้กว้างออกไปให้ทั่ว ๆ มันมองได้จากข่าวคราว หรือจากรายงาน สถานการณ์อะไรต่าง ๆ ที่เขาโฆษณารายงานกันอยู่ กระทั่งที่มาพบเข้าได้ด้วยตนเอง ว่าคนมีอาการเหมือนสุนัขถูกราดด้วยน้ำเดือด คือมันดิ้นรนกระวนกระวายอย่างไร ไม่รู้ว่าตัวต้องการอะไร มีชาวต่างประเทศออกจากประเทศของตัวมาสู่ประเทศอื่น ๆ มากขึ้น ที่ออกมาเพื่อธุระการงาน หรือเพื่อความประสงค์เป็นผลได้เป็นประโยชน์ เป็นกำไรของเขานั้น ไม่พูดถึงก็ได้ แต่มีชาวต่างประเทศที่เขาออกมาค้นคว้าหาสิ่งที่เขารู้สึกว่าเขาต้องการ แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร เพราะเขารู้สึกแต่ความเดือดร้อนกระวนกระวายใจ จนสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในประเทศเขาแก้ไม่ได้ช่วยไม่ได้ จึงออกมาเที่ยวแสวงหาสิ่งที่มันอาจจะแก้ได้ สำหรับความกระวนกระวายใจ ความไม่เป็นสุขใจ ที่เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุอะไรนั้นก็มี คนชนิดนี้มีมากขึ้นทุกที กระทั่งมาถึงที่นี่ สอบสวน สอบถามดู มันก็เป็นเรื่องของความมืดมน มืดมนในลักษณะที่ไม่รู้ว่าชีวิตนี้คืออะไร เกิดมาทำไมนั่นเอง ไม่รู้ว่า อะไรเป็นต้นเหตุให้เกิดความกระวนกระวาย ไม่รู้เรื่องกิเลสตัณหา ไม่รู้เรื่องความยึดมั่นถือมั่น อย่างนี้มีมากขึ้น ๆ พล่านไปทั้งโลก แล้วส่วนใหญ่ก็พล่านมาทางโลกซีกตะวันออกของเรา ซึ่งเคยเป็นดินแดนแห่งความสว่างไสวในทางวิญญาณ นี้มันเป็นเครื่องบอกความที่ถูกนรกทั้งเป็นบีบคั้นโดยไม่รู้สึกตัว รู้สึกแต่เพียงว่า ไม่มีความสุข แล้วก็กระวนกระวาย ทางฝ่ายตะวันตก ทางฝ่ายที่เราเรียกกันว่า “เมืองนอก” นั้น ไม่มีอะไรจะระงับสิ่งเหล่านี้ได้ มีแต่จะยิ่งส่งเสริมให้มากขึ้น จนมัวเมาจนเรียกว่า ตามืด อีกทางหนึ่งก็ดิ้นไปในทางเสรีภาพที่เกินขอบเขต เสรีภาพที่ผิดทาง เช่นวิญญาณของฮิปปี้ ซึ่งกำลังมีระบาดมากขึ้น และไปทั่วโลกด้วยเหมือนกัน ประเทศที่ไม่น่าจะมีฮิปปี้ก็พลอยมีกับเขา ตาม ๆ กันไปมากขึ้น นี้แหละคือหายนะทางฝ่ายวิญญาณของโลกฆราวาสแห่งยุคปัจจุบัน ขอให้สังเกตดูข้อนี้ให้มาก สำหรับผู้ที่อยู่ในสถาบันฆราวาส

ทีนี้ จะได้พิจารณากันดูเป็นเรื่อง ๆ ไปให้ชัดเจนสักหน่อย มูลเหตุอันสำคัญ หรือข้อใหญ่ใจความของเรื่องนี้ ก็คือการที่โลกแห่งยุคปัจจุบันนี้มีความโง่เขลาชนิดที่แสงสว่างบังลูกตา จนย้อนกลับไปสู่ความเป็นป่าเถื่อน นี่ฟังดูแล้วก็ฟังยากหรือน่าฉงน ว่าโลกสมัยนี้ เจริญด้วยการศึกษาทุกอย่างทุกแขนงจนไม่รู้จะศึกษากันอย่างไรไหว แต่แล้วก็ยิ่งโง่ลง เพราะแสงสว่างนั้นบังลูกตา แสงสว่างบังลูกตาหรือตาพร่าเพราะแสงสว่างที่มันมากมายหลายสิบชนิด ประดังประดากันเข้ามาทุกทิศทุกทาง ไม่เป็นทิศ ไม่เป็นทาง จนตาพร่า แล้วความตาพร่านั้น มันก็เดินอย่างละเมอ ๆ ไปสู่ความเป็นป่าเถื่อน ของยุคป่าเถื่อนโน้น

ดูที่ผล หรือปรากฏการณ์ ก็เห็นได้ง่าย คือเบียดเบียนกันยิ่งกว่าสัตว์เดียรัจฉาน ในการแสวงหาก็แสวงหา อย่างที่เรียกว่าเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน คือไม่ต้องไปดูกันแล้วว่า ดีชั่ว ผิดถูก เป็นธรรม ไม่เป็นธรรม ถือเอาแต่ได้เข้าว่าอย่างเดียว นี้แหละคือความป่าเถื่อน แล้วเมื่อต่างคนต่างแสวงหากันในลักษณะอย่างนี้ มันก็มีการแย่งชิง คือรบราฆ่าฟันกันโดยปริยายต่าง ๆ และเลวร้ายยิ่งกว่าสมัยป่าเถื่อน คือในสมัยป่าเถื่อนเขาไม่ได้ฆ่ากันมากมายเหมือนสมัยนี้ แล้วก็ไม่มีความอำมหิตทารุณเหมือนสมัยนี้ ที่จะทิ้งระเบิดลงไปคราวเดียว ให้มันตายเป็นแสน ๆ ได้เหมือนเดี๋ยวนี้ โลกอย่างป่าเถื่อนก็ดูภาพอย่างที่เขาเขียนไว้ในตึกนั้นว่า

“สมัยนี้โลกกล้าอย่างป่าเถื่อน
จะรวบเดือนดาวใส่ในกระเป๋า
ศิวิไลซ์ มีความหมายว่าจะเอา
โลกของเราย้อนกลับหลังยังป่าเอย (คือป่าเถื่อน)

คำ ว่า “ศิวิไลซ์” ของโลก หรือในโลกนี้ หมายแต่จะเอาให้เอร็ดอร่อย สนุกสนานมากมายไม่มีขอบเขต กระทั่งจะเอาดาวเอาเดือนเอาดวงจันทร์ หรืออะไรก็ตามมาอยู่ในอำนาจ จะเก็บเอาดวงเดือนทั้งหมด มาใส่ไว้ในกระเป๋าของตัว มันก็เป็นเรื่องบ้าพลัง กลายเป็นเรื่องป่าเถื่อนที่สุด คือไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วก็หมดเปลือยอย่างเหลือประมาณ เป็นอันตราย หรือเสี่ยงอันตรายอย่างเหลือประมาณ จึงเรียกว่ามันมุทะลุดุดันอย่างป่าเถื่อน นี้คือความที่โลกแห่งยุคปัจจุบันรุดหน้าแต่ในลักษณะอย่างนี้ อย่างหลับหูหลับตา อย่างมัวเมากันไปทั้งโลก มองเห็นเป็นความเจริญ ซึ่งที่แท้เป็นหายนะ คือสิ่งที่นำมาซึ่งความฉิบหาย ล่มจมของโลกนี้

ข้อ ถัดไปก็คือว่า มันก็นำผลมาให้เป็นการกระทำที่สมกัน คือเช่นจัดการศึกษาชนิดที่เป็นทาสของวัตถุ อย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ไม่มีการจัดการศึกษาเพื่อความรุ่งเรือง สว่างไสวแห่งวิญญาณเสียเลย การศึกษาของโลกในโลกปัจจุบันกำลังเป็นอย่างนี้ หัวข้อนี้ก็ชัดเจนพอ ที่คุณจะไปมองเห็นได้เอง เพราะเราได้พูดถึงเรื่องวัตถุนิยมกันมามากแล้วข้างต้น นี้เป็นทาสของวัตถุนิยม บูชาวัตถุเป็นพระเจ้า หรือแม้จะแก้ปัญหาความทุกข์ร้อนของความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็มุ่งจะแก้โดยวัตถุ อาศัยวัตถุอย่างเดียว เป็น dialectic materialism ไปหมด จนเอาจิตไว้เป็น by product ของวัตถุเท่านั้น

การศึกษาชนิดไหน ก็ตามถูกจัดไปในลักษณะที่เป็นทาสวัตถุ การศึกษาพื้นฐานไม่ต้องพูดถึง มันก็เพื่อประโยชน์แก่เทคโนโลยี่ ในเบื้องปลาย เทคโนโลยี่ก็นำมาซึ่งผลเป็นวัตถุ ทีนี้การศึกษาประเภทที่เป็นจิตใจ เป็นเรื่องปรัชญา เป็นเรื่องศาสนา ก็พลอยถูกจัดให้เป็นทาส เป็นบริวารของวัตถุไปเสียหมด ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์เป็นวัตถุในที่สุด ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า งานมิชชันนารี่ของบางศาสนาซึ่งมีอยู่มากไม่น้อย นั้นเพื่อประโยชน์แก่การเมือง การเมืองก็เป็นเรื่องของวัตถุ

ที่เหลือ อยู่กลุ่มใหญ่ ก็คือพวกปัรชญาเพ้อเจ้อ ปรัชญาซึ่งแตกแขนงออกไปมากมาย หลายสิบหลายร้อยแขนง แต่ก็ไม่ทำความสว่างไสวทางวิญญาณ กลับทำความปนกันยุ่ง แล้วแต่ละแขนงก็จะหยิบมาใช้เป็นประโยชน์ ก็เพื่อประโยชน์ทางการเมือง เพื่อประโยชน์ทางกระตุ้นจิตใจบุคคลให้มัวเมาในทางการเมือง หรือเป็นความสามารถที่จะเดินแผนการเมือง ให้เป็นไปตามที่ตัวประสงค์ เมื่อเป็นการเมืองก็คือเรื่องผลเป็นวัตถุ ฉะนั้น เราเรียกว่า เขาจัดการศึกษาทุกแขนงนี้ไปในทางที่มันจะเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ทางวัตถุ เพราะจิตใจมันเป็นทาสของวัตถุ

คำว่า “วัตถุ” ในที่อย่างนี้ หมายถึงความเอร็ดอร่อย ที่จะได้มาจากวัตถุ ซึ่งเขาเรียกกันอย่างไพเราะเพราะพริ้งว่า “การกินดีอยู่ดี” ที่ไม่มีขอบเขต เสียดายที่ว่าคุณมีอายุเพียง ๒๐-๓๐ ปี คุณก็เห็นความแตกต่างระหว่างยุคได้น้อย ไม่เหมือนคนที่มีอายุหลาย ๆ สิบปี หรือตั้งร้อยปี เมื่อสมัย ๗๐-๘๐ ปีมาแล้ว เขากินอยู่กันอย่างไร สมัยนี้กินอยู่อย่างไร สมัยโน้นเล่นหัวอย่างไร สมัยนี้เล่นหัวอย่างไร มากมายหลาย ๆ แขนง นี้มันต่างกันแทบจะเป็นหน้ามือหลังมืออยู่แล้ว ถ้าเลยต่อไปตั้งหลายร้อยปี ก็ยิ่งมีความแตกต่างมาก ถ้าคุณจะศึกษาประวัติศาสตร์บ้าง โบราณคดีบ้าง ก็ขอให้ศึกษาเพื่อให้รู้สิ่งเหล่านี้

ตัวอย่างง่าย ๆ เช่นว่า ทำไมวัดวาอาราม พระวิหารเจดีย์อะไรที่สวยงามใหญ่โตโหฬาร เกิดขึ้นในรูปอย่างที่เราเห็น เหลืออยู่เดี๋ยวนี้ ซึ่งในสมัยนี้ไม่เกิดอย่างนั้น หรือจะไม่เกิดเลย เพราะว่าในสมัยโบราณนั้น เขาบูชาความสุขทางวิญญาณ รู้สึกเป็นสุขใจเมื่อได้ทำบุญ ทำกุศล หรือมีความสงบเย็นในทางวิญญาณ ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้นในรูปหนึ่ง พอมาถึงสมัยนี้ คนต้องการความสุขทางเนื้อหนัง เพราะฉะนั้นอะไรเกิดขึ้น คุณก็ไปดูซิ มันอาจจะมีโรง สถานที่ที่ให้ความเพลิดเพลิน เช่นโรงละครเป็นต้น แม้ที่สุดแต่อนุสาวรีย์ที่ยั่วยุให้รักชาติ รักประเทศ ก็มีมากมาย หนาขึ้น ไม่เหมือนกับสมัยก่อน ซึ่งอยากจะให้มันเลือนไปเสีย ให้มันลบเลือนไปเสีย ให้อภัยกันเสีย ไม่เอามานึกคิด สมัยนี้เราจะมายั่วยุ ให้โกรธชังกันตลอดกัลปาวสานเป็นต้น นี่เป็นเรื่องทางวัตถุ ไม่ใช่เรื่องทางวิญญาณ แม้จะเป็นที่ระลึกทางจิตใจ แต่ก็เป็นเรื่องทางวัตถุ

ทีนี้ มาดูถึงเรื่องการกินอยู่ในบ้านในเรือน การมีบ้าน มีเรือนอะไรต่าง ๆ แล้ว ก็ผิดกันไกล ล้วนแต่แสดงว่า เห็นแต่วัตถุอย่างเดียว มีลูกมีหลาน ก็อยากให้มันมีหน้ามีตา มีเกียรติ มีอะไร ประกวดความงาม อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อจะขายได้แพง ๆ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งสมัยก่อนเห็นเป็นอัปรีย์จัญไรในการทำอย่างนี้ ที่จะเอาเด็กรุ่นสาวมาแสดงอะไร ชนิดที่แสดงกันอยู่อย่างนี้ เขาเรียกกันว่า ลามกอนาจาร อัปรีย์จัญไร คนแก่มาก ๆ เห็นลูกหลานไปยกแข้งยกขาสูง ๆ อยู่ในจอโทรทัศน์ เขาจะเป็นลม อย่างนี้เป็นต้น นี่ลองเปรียบเทียบความต่างกันของจิตใจอย่างนี้ดู

ทั้งหมดนี้เป็นผลของ การศึกษาที่เป็นทาสของวัตถุทั้งนั้น ที่มันเกิดความนิยมอย่างนี้ขึ้นมาได้ มันไม่มีการศึกษาแขนงไหน ที่เป็นไปเพื่อความสว่างไสวทางวิญญาณ ผมเคยเสนอในที่ประชุมบางแห่งในเรื่องอย่างนี้ ก็ถูกหัวเราะเยอะอยู่ในใจ แล้วก็ถูกคัดค้านเสียงแข็งเกินร้อยเปอร์เซนต์ ในทำนองที่ว่า มันไม่มีที่ว่าง มันไม่มีช่อง ไม่มีโอกาส ไม่มีความเหมาะสมที่จะเอาเรื่องอย่างนี้ใส่เข้าไปในระบบการศึกษาสมัยนี้ ไปคิดอย่างนี้ และนี้แหละคือหายนะของสถาบันฆราวาสในโลกทั่งโลก คือจัดการศึกษาให้เป็นทาสของวัตถุ

มองดูต่อไป ถึงการกระทำที่กระทำอยู่ในปัจจุบัน เป็นการเร่งระดมช่วยกันล้างผลาญทรัพยากรของพระเป็นเจ้า หรือของธรรมชาติอย่างด่วนจี๋ที่สุด ช่วยกันล้างผลาญทรัพยการของธรรมชาติ หรือของพระเจ้า อย่างเร่งระดมมือกันทุกมือในโลกนี้ เพื่อทำลายให้มันหมดไปโดยเร็วอย่างด่วยจี๋ ที่คุณเรียกกันว่า “วิศวกรรม” หรือ “เทคโนโลยี่” หรืออะไรที่บูชากันนักนั้นแหละ นั่นคือเครื่องมือที่จะล้างผลาญทรัพยากรของพระเจ้า ประเทศที่เจริญมากเพียงประเทศเดียวในตะวันตก ตามสถิติที่ประกาศออกมา ใช้น้ำมัน ๕๘๐ ล้านแกลลอนต่อหนึ่งวัน สำหรับใช้เรื่องรถรา เรื่องอะไรต่าง ๆ ที่ต้องใช้น้ำมันนั่นแหละ หนึ่งวันยังใช้เท่านี้ หนึ่งเดือน หนึ่งปี หลายสิบปีมันจะเท่าไร แล้วก็ประเทศเดียวเท่านั้น มันยังมีอีกกี่สิบประเทศ กี่ร้อยประเทศ

ที่ผมเรียกว่าผลาญทรัพยากรของพระเจ้า ก็เพราะว่า ๙๕ เปอร์เซนต์ที่ใช้ไปนั้น เพื่อประโยชน์ทางวัตถุที่ไม่จำเป็น นี่ผมก็กลายเป็นคนบ้าบอที่มองเห็นความจำเป็น หรือไม่จำเป็น ผิดแปลกแตกต่างจากที่เขามองกัน รถยนต์ รถไฟ เรือบินหรืออะไรต่าง ๆ ที่มากไปกว่าเรือบินนั้น ใช้น้ำมันทั้งนั้น แล้วก็เป็นสิ่งที่มนุษย์จำเป็นจะต้องทำ นั่นก็ยังนิดเดียว ถ้ามาดูถึงว่า ที่เขาบินไปบินมา ว่อนอยู่ในโลกเวลานี้ใช้น้ำมันมากที่สุด หรือขับรถเร็วจี๋อยู่ตลอดวันตลอดคืน ในโลกเวลานี้ ใช้น้ำมันมากที่สุดนี้ มันเป็นเรื่องไม่จำเป็น มันเป็นเรื่องที่บ้าสร้างมันขึ้นมาให้จำเป็น

คุณ ไปคิดดูให้เห็นความจริง หรือความลับในข้อนี้ อย่างคุณอยู่ในกรุงเทพฯ คุณนั่งดูเถิด ขับรถไปบางแสนนั้น มันจำเป็นหรือไม่จำเป็น หรือไปหาความสำราญอย่างอื่น จะเห็นได้ว่าไม่จำเป็น นี้จะเข้าไปตั้งครึ่งหนึ่งของน้ำมันที่ใช้ไปเสียแล้ว แล้วที่เขาเรียกว่าธุระการงานนั้น เป็นธุระการแกล้งว่าทั้งนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องทำ มันก็กลายเป็นธุระการงานขึ้นมา ผมพลอยรู้สึกละอายตัวเองอย่างแรง เมื่อนั่งรถไปดู หรือไปเที่ยวตามสถานที่เหล่านั้นบ้าง เนื่องจากมีคนคะยั้นคะยอให้ไปดู กลัวว่าผมจะโง่ ให้ไปดูที่อย่างนั้นเสียบ้าง ผมก็ไป แล้วมันก็มีแต่ความเศร้า สลด สังเวช ที่ว่าเราก็มาพลอยถลุงน้ำมันส่วนหนึ่งของพระเจ้าไปกับเขาด้วยเหมือนกัน ทั้งที่มันนิดเดียว

เขาถลุงน้ำมันกันอย่างมากมายมหาศาล ในประเทศไทยเรานี้ คุณลองทำจิตใจให้เป็นธรรม คิดดูซิว่า เผาน้ำมันกันในลักษณะอย่างไร? ยิ่งคนที่มีเงินเหลือใช้ด้วยแล้ว เขาเผากันในลักษณะอย่างไร? นี่เขาคิดว่า เขาหาความเพลิดเพลินใส่ตัวเขามันคุ้มกันแล้ว แล้วเขาไปเอาเงินมากมายนั้นมาจากไหน แล้วมาทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำอย่างนี้ มันเป็นอย่างไร ผมเรียกว่าเป็นการช่วยกันล้างผลาญทรัพยากรธรรมชาติ หรือของพระเจ้า นี่เราพูดกันแต่เพียงน้ำมันอย่างเดียว สินแร่อื่น ๆ กระทั่งไม้ไร่ กระทั่งสัตว์ที่มีชีวิต เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในโลกนี้ จนที่สุดกระทั่งคนกันเอง มันก็ช่วยกันล้างผลาญให้หมดไป พร้อมที่จะล้างผลาญกันด้วยอาวุธที่ร้ายแรง ล้างผลาญคนกันเอง นับตั้งแต่ สินแร่ขึ้นมา ถึงพืชพันธุ์ธัญญาหาร กระทั่งขึ้นมาถึงมนุษย์นี้ เราเรียกว่าทรัพยากรของพระเจ้า คือธรรมชาติ เราช่วยกันล้างผลาญอย่างมุทะลุดุดัน

เอาละเราจะไม่ต้องจาระไนให้เสีย เวลา ขอให้ไปดู จนมองเห็นว่ามันเป็นการล้างผลาญโดยไม่จำเป็นวันหนึ่ง ๆ เท่าไร แล้วนี่แหละคือ หายนะอย่างหนึ่ง อย่างที่น่าหวาดเสียว เพราะปัญหาจะเกิดขึ้นจากการไม่พอกิน ไม่พอใช้นี้ เร็วเกินไป หรือถ้าน้ำมันหมดไปจากโลก จะต้องแสวงหากำลังทางอื่นเช่นกำลังปรมาณูเป็นต้น มันก็ยิ่งยุ่งใหญ่ไปกว่าเดิม สมัยที่เขาไม่รู้จักน้ำมัน สมัยคนป่า ที่ยังไม่รู้จักใช้น้ำมัน หรือปู่ย่า ตายายของเรา เมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ ก็ไม่รู้จักใช้น้ำมันตามตะเกียง ใช้ของอย่างอื่นทั้งนั้น ใช้ของโบราณตามมีตามได้ เช่นไต้อย่างนี้ ไม่ได้ใช้น้ำมันดิบเติมเครื่องทำไฟฟ้าอย่างนี้ คนก็อยู่ด้วยความผาสุกสงบเย็น ไม่ผลาญสมบัติของพระเจ้าหรือของธรรมชาติ ธรรมชาติเลยรุ่มรวยอยู่ในแผ่นดิน แล้วเอามาให้ลูกหลานสมัยนี้ ถลุงกันให้หมด ภายในเวลาอันสั้นไม่ชั่วกี่กระพริบตานี้ มันก็จะหมดไปได้ ปัญหาเกิดขึ้นรอบด้าน ซึ่งนำไปสู่การแข่งขัน แย่งชิง เบียดเบียนหรือสงครามทั้งนั้น

นี้เป็นตัวอย่างที่เรียกว่าเป็น “ความหายนะทางฝ่ายวิญญาณ” มากขึ้น ๆ เป็นความรกหนา หรือเจริญทางฝ่ายวัตถุมากขึ้น ๆ เพราะฉะนั้นฆราวาส หรือโลกของฆราวาสเป็นผู้รับบาปอันนี้ รับผลอันนี้

ทีนี้ มาถึงข้อที่แรงร้ายก็คือว่า ยุคปัจจุบันนี้ เอาศาสนาลงมาเป็นทาสรับใช้การเมือง เอาศาสนาลงมาเป็นทาสตนเองเพื่อเป็นทาสการเมืองคือรับใช้การเมือง คนต้องการประโยชน์ทางวัตถุอย่างหลับหูหลับตาที่สุดแล้ว หาอะไรที่จะเอามาใช้เป็นเครื่องมือได้ ก็เอามาใช้หมด กระทั่งเอาศาสนามาใช้เพื่อประโยชน์แก่การเมือง ยกตัวอย่างเช่น คำสั่งสอนในศาสนา ก็เลือกเอามาแต่แง่หรือส่วน ที่จะใช้เป็นเครื่องมือทางวัตถุ จะพูดเรื่องศาสนากันแต่เรื่องที่ช่วยกันหาวัตถุ ช่วยกันสร้างวัตถุ ธรรมะข้อไหนจะมาช่วยให้เกิดความเข้มแข็งในทางหาวัตถุนั้น เขาเอามาพูด นอกนั้นปิดเสีย

เอาศาสนามาพูดเป็นเครื่องกระตุ้นใจ ในทำนองปรัชญา ให้เกิดรักชาติ รักพวก เห็นแก่พวกอย่างนี้ก็มี ทุกอย่างทุกประการเอาศาสนามาใช้เป็นเครื่องมือของการเมือง แม้ในลักษณะที่เป็นพิธีรีตอง หรือแม้ในการสงครามเขาก็ทำพิธีในศาสนา บางทีก็จะอ้างว่า เพื่อความอยู่รอดของศาสนา เราต้องไปฆ่าคนอื่นให้ตาย อันนี้ถ้าทำถูกตามหลัก ก็ยังพอเป็นสิ่งที่งดงามหรือดูได้ ถ้าเรารบเพื่อการเป็นอยู่ของธรรมะในโลกจริง ๆ มันก็ดี ยังถูกต้องอยู่ แต่เดี๋ยวนี้รบเพื่อตัวกู-ของกู แล้วก็อ้างว่ารบเพื่อศาสนาหรือเพื่อนั่นเพื่อนี่ ก็เลยเอาศาสนามาใช้เป็นบริวารแก่การรบ การฆ่าผู้อื่นเสียด้วย

คุณมี ปัญญาพิจารณาดูจะเห็นได้ว่า มีมากมายหลายแขนงที่เอาศาสนามาเป็นทาสของการเมือง เป็นทาสของวัตถุ เป็นทาสของการแสวงหาวัตถุ จนกระทั่งว่ายอมให้พระเจ้าตายไปเสีย ศาสนาที่เขาถือพระเจ้านี้ เขาว่าพระเจ้าตายแล้ว เราไม่ต้องคำนึงถึงพระเจ้า เรามีพระเจ้าใหม่คือประโยชน์ที่เราต้องการ พระเจ้าอย่างที่ในพระคัมภีร์กล่าวไว้นั้นน่ะตายไปแล้ว แต่พอกลัวขึ้นมาก็ทำพิธีศาสนา อ้อนวอนพระเจ้าลม ๆ แล้ว ๆ นั้น เขามีพระเจ้าจริง คือประโยชน์ที่จะได้จากวัตถุ หรือการฆ่าผู้อื่น เอาวัตถุมาเป็นประโยชน์ทางเนื้อหนัง แต่เนื่องจากว่า คนยังมีเชื้อของพระเจ้าทางศาสนาเหลืออยู่ในใจบ้าง ก็กระทำพิธีทางศาสนา อย่างนี้มันเป็นการทำไปด้วยความโง่ ความหลง ความโง่ทำให้เข้าใจว่า พระเจ้าตายแล้ว ธรรมะไม่จำเป็น ทีนี้ความโลภ โลภมากจนหน้ามืดมันก็ยอมเหยียบย่ำ หรือข้ามศาสนาไปหาวัตถุ เอาศาสนามาเป็นทาสของวัตถุนี้เพราะความโลภ

ทีนี้มันร้ายกาจอยู่อัน หนึ่งก็คือความกลัว ความกลัวนี้ถ้ามันลงครอบงำใครแล้ว มันก็ทำอะไรได้ทุกอย่าง เมื่อกลัวขึ้นมามันก็ทำของถูกให้เป็นของผิด พระพุทธเจ้าถูกเอามาใช้เป็นเครื่องมือ เครื่องราง สำหรับป้องกันความตาย ในลักษณะที่เราเรียกกันว่า “พระเครื่องราง” นี่ก็เพราะความกลัว ไม่ใช่เพราะอะไรอื่น มีความกลัวเป็นเบื้องหน้า มีความเขลาเข้าผสมโรงบ้าง เป็นความขลาดและความเขลา แล้วมันก็เปลี่ยนแปลงอะไรต่าง ๆ ได้มาก พระพุทธรูปแทนที่จะเป็นอนุสรณ์ หรือว่าเป็นเครื่องมือแห่งพุทธานุสติ กลายมาเป็นเครื่องราง ป้องกันสิ่งที่เขากลัวหรืออยากที่จะให้ร่ำรวย อยากที่จะให้มีเสน่ห์มีอะไร ก็ใช้อาศัยพระพุทธรูปเป็นเครื่องรางอย่างนั้น อย่างนี้ ก็เรียกว่าลดศาสนาลงมาเป็นทาสของวัตถุด้วยเหมือนกัน แล้วกำลังเป็นมาก ๆ ขึ้น กว่าจะถึงจุดอิ่มตัวก็คงยังอีกนาน

ความขลาด ความเขลานี้ ถ้ามันถึงจุดอิ่มตัวแล้ว มันก็ละลายตัวลงมาทีละน้อย ๆ ได้เหมือนกัน ก็เปลี่ยนเป็นยุค ๆ ไป เดี๋ยวนี้ก็กำลังอยู่ในยุคที่เรียกว่า กำลังขึ้น กว่าจะถึงจุดอิ่มตัวจึงจะลง น่าหัวที่ฝรั่งที่ไม่เคยมีพระเครื่องรางก็พลอยมีกระเขาด้วย แล้วก็ซื้อแพงที่สุดด้วย ถ้าฝรั่งเกิดชอบพระเครื่ององค์ไหนขึ้นมา ก็ซื้อแพงที่สุด ได้ยินว่าอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งเมื่อก่อนนี้ไม่เคยมี เราเคยบูชาฝรั่งว่าเป็นคนฉลาด แต่แล้วก็มาเป็นลูกน้องของคนขลาดคนเขลาก็ได้เหมือนกัน เพราะฝรั่งนั้นขี้ขลาดมากกว่าคนไทยเสียอีก ถึงบทเขลามันก็เขลามากกว่า นี้เลยชวนกันลดศาสนาลงมาเป็นทาสรับใช้การเมือง รับใช้ทางวัตถุ ให้พระเจ้าตายไปเสีย ให้ธรรมะตายไปเสีย เอาแต่พิธีรีตองไว้ อย่างนี้เราเรียกว่า มันเป็น “หายนะทางวิญญาณ” อย่างยิ่งของมนุษย์โลก

พุทธทาสภิกขุ
๖ พฤษภาคม ๒๕๑๓
ฆราวาสธรรม

ใส่ความเห็น