Category Archives: วิทยาศาสตร์ พลังจิต

ยุคมืดในทางวิญญาณ

จิตทรามในแง่ของโทหะ สำหรับคำว่าโมหะ มีชื่อเรียกได้หลายชื่อ มันแปลว่า มืด. คำแทนชื่อ หรือไวพจน์ของโมหะมีว่า อันธการ. อันธะ – แปลว่า มืด การะ – แปลว่า การกระทำ อันธการ – แปลว่า กระทำความมืด เหมือนตาบอด กระทำความมืดเหมือนกับตาบอด สมกับที่เราจะเรียกยุคนี้ว่า “ยุคมืดในทางวิญญาณ”

ยุคมืดในทางวิญญาณ คือ ลูกตาของเรานี้ไม่ได้บอด และมนุษย์เรามีความก้าวหน้าในทางการแพทย์ อาจจะเปลี่ยนลูกตาได้ อย่างนี้เป็นต้น ลูกตานี้ไม่ได้บอด แต่แล้วมันบอดในฝ่ายวิญญาณ ในทางดวงตาฝ่ายวิญญาณ หรือบอดในตัววิญญาณเอง มันมืดในทางวิญญาณ นี่คือโลกในยุคมืด มันมืดอย่างนี้ เพราะอำนาจโมหะ ซึ่งเป็นอันธการ คือการกระทำที่เป็นความมืด เหมือนกับตาบอด โมหะ หรือ อันธการนั้น คือสิ่งเดียวกัน ทีนี้เมื่อมืดแล้วมันก็เป็นพาลไปได้ทุกอย่างทุกประการ พาละ หรือเป็นพาลนั่นแหละ มันจะมีความเป็นพาลได้ทุกอย่าง ทุกประการ ในเมื่อเรามืด มันมีวิญญาณมืด

คำว่า “พาล” นี้คุณเรียนแต่หนังสือไทย คุณไม่รู้ว่าคำว่า “พาล” นี้ เขาแปลว่าอ่อน แปลว่าโง่ ไม่ใช่แปลว่าอันธพาลรังแกผู้อื่น เขาแปลว่ามันอ่อนยังอ่อนอยู่ แล้วก็โง่ พอมันโง่ แล้วก็รังแกผู้อื่น นั้นเป็นธรรมดา ตัวหนังสือแท้ ๆ มันแปลว่า อ่อน หรือโง่ เด็กคลอดออกมาจากท้องแม่ ยังเล็ก ๆ เป็นทารก นี้เรียกว่าเป็น “พาละ” เหมือนกัน เป็นพาลทั้งที่มันไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ได้รังแกใครสักที แต่ภาษาบาลีก็เรียกว่า “พาละ” ทีนี้สูงขึ้นมาจนโตแล้ว ความเป็นพาลนั้นมันไปอยู่ที่ความโง่ เราอาจพูดได้ว่าเด็ก ๆ พึ่งคลอดออกมานี้ ยังไม่รู้อะไรก็เหมือนกับโง่ คือยังไม่รู้อะไร หรือว่าปัญญายังไม่ develop ออกมา นี้ก็ยังถือว่าโง่

ความเป็นพาลก็คือ ความอ่อน อ่อนต่อทุกสิ่ง อ่อนต่อวิชาความรู้ อ่อนต่อความเจริญทางร่างกาย อะไรก็อ่อนไปทั้งนั้นแหละ แล้วมันก็มีความหมายเป็นความไม่รู้ ยังไม่รู้ นี้เรียกว่า “โมหะพื้นฐาน” เรามีความเป็นพาลเป็นโมหะพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว คนพาล หรือ คนโง่ หรือคนอ่อน แล้วจะทำอะไรได้บ้าง มันก็ทำผิดหมด ทำผิดหมดเลยทุกอย่างที่มันจะผิดได้สำหรับคนอ่อนและคนโง่ ทีนี้สำหรับยุคปัจจุบันนี้ โลกในอารยธรรมเทคโนโลยี่อะไรนี่มันยิ่งเป็นพาลมากขึ้น คุณจะฟังถูกหรือฟังไม่ถูก มันเฉลียวฉลาดที่สุดในเทคโนโลยี่ หรืออุตสาหกรรม แต่มันมีความเป็นพาลมากขึ้น เป็นคนอ่อน หรือคนโง่ ไม่ประสีประสาต่อพระเจ้า หรือต่อสิ่งสูงสุดมากขึ้นจะกระทั่งไม่รู้ว่า เกิดมาทำไม มันหลับหูหลับตาด้วยเรื่องวัตถุนิยม แล้วมันก็ไม่ต้องรู้ว่าเกิดมาทำไม

คุณดูให้ดี ๆ ว่ายุคนี้ ยุคอารยธรรมแผนใหม่นี้ เป็นยุคที่มนุษย์ไม่มีบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ไม่มีพระเจ้า ไม่มีศาสนา ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์นะ แต่ในโบราณเขามีแต่ความคิดเรื่องที่จะมี หรือเคารพบิดามารดา ครูบาอาจารย์คนเฒ่าคนแก่ กลุ่มนี้เอาเป็นกลุ่มหนึ่งก่อน คือบิดามารดา ครูบาอาจารย์ คนเฒ่าคนแก่ เอาละ ผมไม่อยากจะพูดดูถูกคุณอีกตามเคยว่า คุณมีอายุน้อย ไม่ทันเห็นสมัยที่คนเรานี้เคารพคนเฒ่าคนแก่อย่างยิ่ง เหมือนในสมัยโบราณเมื่อ ๕๐ – ๖๐ ปี ๗๐ – ๘๐ ปี

ผมเมื่อเด็ก ๆ เป็นเด็กวัด อยู่วัด ไหว้คนแก่ไม่รู้กี่ร้อยกี่พ้นครั้งเพราะอาจารย์บังคับ เราวิ่งเล่นอยู่กลางสนามหญ้ากลางลานวัด ถ้าคนแก่เดินผ่านวัดไปธุระ ก็ต้องไหว้ ไม่ไหว้ก็ถูกเฆี่ยน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ทำงายอยู่แท้ ๆ มีคนแก่มา ต้องทิ้งจอบไหว้ คุกเขาไหว้ คนแก่ในทีนี้ไม่จำเพาะว่าเป็นคนดี คนไม่ดี คนบ้าคนบออะไร ไม่ต้องวินิจฉัย เพราะเราไม่อาจจะวินิจฉัยได้ว่า เป็นคนแก่ที่ดีหรือไม่ดี ถ้าเห็นคนแก่แล้วไม่ไหว้ละก็ถูกเฆี่ยน คนแก่ที่ดี ที่มีเกียรตินั้นก็รู้กันอยู่แล้ว ก็ไหว้ด้วยความเต็มใจ แต่ที่ไหว้คนแก่ที่ไม่รู้จักนี้มันกระอักกระอ่วน แล้วบางคนก็เหมากันเอาเองว่า เป็นคน บ้า ๆ บอ ๆ แต่ทีนี้หัวของเขาหงอกขาวก็ต้องไหว้ นี้สมัยผมเป็นเด็ก สมัยคุณคงจะไม่ได้เห็นกระมัง คือเป็นอะไรกันไปตั้งแต่เด็กเสียแล้ว ทีนี้โดยทั่วไปประชาชนพลเมืองนี้ก็เคารพคนเฒ่าคนแก่ หมู่บ้านหนึ่งก็ต้องมีคนเฒ่าคนแก่ ถ้าจะวานขนทราย ไปบอกคนแก่ประจำหมู่บ้านคนเดียว ลูกหลานมาทั้งบ้านเป็นหางไปเลย ขนทรายพักเดียวก็ได้กองเบ้อเร่อ เดี๋ยวนี้ทำได้ที่ไหน ในสวนโมกข์เวลานี้ทรายกองนั้นตั้ง ๕๐๐๐ บาท ต้องซื้อ รุ่นนี้รุ่นหลังนี้ ทั้งหมดที่เราซื้อ ถ้าเป็นสมัยก่อนอำนาจของคนแก่ดึงดูดลูกหลานมาเป็นหาง – เป็นพวง ขนทรายได้ไม่ต้องเสียสตางค์ นี่มันเนื่องกันอยู่อย่างนี้

ความไม่มีคนเฒ่าคนแก่ กับมีคนเฒ่าคนแก่ มันผิดกันลิบลับเลย สมัยนั้นคนเฒ่าคนแก่ห้ามกันทีเดียวมันหยุดหมด อันธพาลไม่มี ดังนั้นคนสมัยนั้นจึงนอนบนแคร่ใต้ถุนเรือน ตากลมได้จนสว่างอย่างสบาย เดี๋ยวนี้ไปนอนอย่างนั้นเข้า ถูกยิงตาย เพราะว่าวัฒนธรรมที่มีจิตใจอ่อนโยนสุภาพมันหมดไปเพราะไม่มีคนเฒ่าคนแก่ เพราะฉะนั้นการเคารพคนเฒ่าคนแก่นั้น มันเป็นอะไรที่วิเศษสูงสุด แม้จะรวมคนแก่โง่ ๆ บ้า ๆ บอ ๆ เข้าไว้ในกลุ่มนั้นด้วย ก็ยังดี คือมันทำให้เด็ก ๆ มีจิตใจอ่อนโยน

การเคารพบิดามารดาก็ไม่เหมือนสมัยโน้น ซึ่งต้องกราบเท้าพ่อแม่ทุกคืน เดี๋ยวนี้ก็ไม่ทำกัน ครูบาอาจารย์สมัยนี้ก็เป็นของสำหรับล้อเล่น เรียกอ้ายเรียกอะไรเหมือนกับศัตรู อย่างนี้ก็มี ครูบาอาจารย์ในระเบียบมหาวิทยาลัยที่เมืองนอก ผมไม่เคยไปเรียน แต่ได้ยินได้ฟังเขาเล่ามาว่า ไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีความรู้สึกเคารพอย่างครูบาอาจารย์ หลอกล้อเล่นเหมือนเพื่อนกัน ครูบาอาจารย์ต้องทำเฉย เพราะเป็นประชาธิปไตย ลูกศิษย์อยากจุดประทัดโยนใส่ตีนครูบาอาจารย์ก็ทำได้ ไม่ถือว่าผิดอะไร ไม่ถือว่าเสียหายอะไร มันเกิดเป็นความไม่มีครูบาอาจารย์ไปโดยไม่รู้สึกตัว ความหมายของบิดามารดา ครูบาอาจารย์ คนเฒ่าคนแก่หายหมด ในโลกสมัยปัจจุบันอารยธรรมแผนปัจจุบันมันนำผลมาอย่างนี้ เพราะทุกคนมันบูชาเนื้อหนัง

ทีนี้ก็มองต่อไปถึงพระเจ้า ถึงศาสนา ซึ่งสูงไปกว่า มันก็ไม่มีอีก พระเจ้าตายแล้ว ศาสนาก็ไม่จำเป็น เอาไว้เพียงเป็นเครื่องมือการเมือง พวกหนุ่ม ๆ ชาวต่างประเทศที่เราเรียกว่า ฝรั่ง ชาติไหนบ้างผมก็ไม่ทราบ พวก Peace Corp โดยมากที่มาที่นี่ เราถามว่า นับถือศาสนาอะไร? ส่วนมากตั้ง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ เฉลี่ยแล้วราว ๆ นั้นตอบว่า “ผมไม่มีศาสนา” ด้วยความภาคภูมิใจที่ตอบอย่างนี้ว่า “ผมไม่มีศาสนา” แล้วเลือดเนื้อของคุณเป็นศาสนาอะไร? ทดลองถามอย่างนี้ หมายถึงบิดามารดาเป็นคริสเตียน เป็นอะไร? เขาตอบว่า “ผมเป็นคนไม่มีศาสนา, กำลังเป็นคนไม่มีศาสนา, ไม่อยากมีศาสนา” “แล้วมาที่นี่ทำไม?” “เพื่อศึกษาวิชาสำหรับแก้ปัญหาชีวิต” นี่แหละคือโง่ที่สุดเลย นั่นแหละคือศาสนา เครื่องแก้ปัญหาในชีวิตนั้นแหละคือศาสนาแล้ว แต่เขาปฏิเสธ เป็นคนไม่มีศาสนา ทั้ง ๆ ที่กำลังมาหาสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา เขาถูกสอนให้มองอะไรไปในแง่วิทยาศาสตร์ หรือกฏของธรรมชาติ เรื่องวิทยาศาสตร์ไปหมด ไม่มองไปในลักษณะที่จะเรียกว่าศาสนา แต่นั่นแหละคือศาสนา การทำตนให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ นั้นแหละคือศาสนาอย่างยิ่ง มันดับทุกข์ได้สิ้นเชิง

นี่ เขามองข้ามศาสนา จนสมัครเป็นผู้ไม่มีศาสนา ไม่มีพระเจ้า พระเจ้าตายแล้วทั้งนั้น ทีนี้มันก็พลอยไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ไปเลย บุญบาป ไม่รู้ไม่ชี้ จะรู้จะชี้แต่ประโยชน์ที่ตนจะได้ มันจะเป็นเรื่องบุญ หรือเรื่องบาป ไม่รับรู้ ต้องการแต่ประโยชน์เป็นวัตถุ ถ้าจะให้เรียกว่าบุญ ก็ว่า นั่นแหละคือบุญละ คือได้นั่นแหละดี ส่วนนรกสวรรค์ไม่ต้องพูดถึงกัน ที่เขียนไว้ในคัมภีร์หรือฝาผนังโบสถ์ ถือว่าเป็นเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ไม่ต้องพูดกัน ประโยชน์นั่นแหละคือสวรรค์ นรกก็ไม่ต้องกลัว เพราะว่าประโยชน์นั้นมันเป็นสวรรค์เสียแล้ว

เดี๋ยวนี้ ถ้าจะถามว่าเขามีศาสนาอะไรกัน? มันก็คือสิ่งที่เขาบูชาสูงสุด เป็นสิ่งสูงสุด มันก็ ศาสนาเงิน ศาสนาวัตถุ บูชาวัตถุ บูชาความเพลิดเพลินทางเนื้อหนัง ในที่สุดก็ไปบูชาเครื่องมือ ที่จะให้ได้สิ่งเหล่านี้มามันก็บูชา เทคโนโลยี่ หายใจเป็นเทคโนโลยีทั้งเข้าทั้งออก หายใจออกก็เทคโนโลยี่ หายใจเข้าก็เทคโนโลยี่ เพราะมันเป็นเครื่องช่วยให้เราได้ในสิ่งที่เราอยาก กระหาย คอแห้งอยู่ตลอดเวลา นี้ก็เรียกว่าโลกปัจจุบันนี้ถือศาสนาเทคโนโลยี่ ผมว่าเป็นโรคจิตทรามไปบูชาเครื่องมือที่จะได้ความเอร็ดอร่อยทางวัตถุแทนพระเจ้า แทนศาสนานี้เป็นโรคจิตทราม เป็นโมหะ ประเภทโมหะ เป็นโรคจิตทราม เพราะฉะนั้นจึงเป็นการกระทำสิ่งที่เป็นโมหะ ที่ว่าเป็นพาลนั้นคืออ่อนปัญญา อ่อนกำลัง อ่อนความคิด อ่อนไปทุกอย่าง ไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ควรทำ

เหมือนที่เคยพูดว่า ให้คุณไปเดินสำรวจตลาดที่กรุงเทพฯ ตลอดย่านการค้าทั้งหมด ไปดูว่าอะไรจำเป็นแก่ชีวิตที่มีขายอยู่ในร้าน ในห้างในอะไรเหล่านั้น จะพบว่าตั้วง ๙๕ เปอร์เซนต์ ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิต แต่ทำไมมันจึงมีได้ตั้ง ๙๕ เปอร์เซนต์? นี่เพราะมันเป็นความโง่ ความเป็นพาลของมนุษย์เหล่านั้น สิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิตมีสัก ๕ เปอร์เซนต์เท่านั้น ๙๕ เปอร์เซนต์ไม่จำเป็นเลย และยิ่งแพง – ยิ่งแพง ๆ ขึ้นไป ก็ล้วนแต่สิ่งที่ไม่จำเป็นแก่ชีวิตทั้งนั้น ทีนี้ความโง่ความเป็นพาลนั้น มันเห็นว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิต นี่ช่วยกันระวังให้ดี รวมทั้งตัวคุณเองด้วย จะไปเห็นสิ่งที่ไม่จำเป็นแก่ชีวิต กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดแก่ชีวิตไปได้ ถ้าความเป็นพาลมันยังมีอยู่มาก มัวไปทำสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำ ไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ นั้นมันเบาไป สิ่งที่ไม่ต้องการกระทำเลย ๑๐๐ เปอร์เซนต์ นี่มันก็ไปทำ แล้วมันก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรทำและมีเกียรติที่สุด

ผมมีความเห็นอย่างนี้ รู้สึกอย่างนี้ มันก็อาจจะเป็นเพราะความเมาในศาสนา ในพระเจ้าอะไรไปมากก็ได้ แต่ผมรู้สึกอย่างนี้ ผมก็พูดอย่างนี้ว่าเดี๋ยวนี้กำลังทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำนี้มากขึ้น

จะยกตัวอย่างเช่นการที่กำลังนิยมกันว่าวิเศษที่สุด มีฝีไม้ลายมือสูงสุดเช่นการเปลี่ยนหัวใจมนุษย์ หรือเปลี่ยนอะไรก็ตามในระดับนั้น ความรู้ความสามารถในระดับนั้น ผมว่าไม่จำเป็นจะต้องทำ ถ้าทำก็เป็นเรื่องทำด้วยความโง่ คือหลงไปว่า มันประเสริฐ มันวิเศษ มันยาก มันมีเกียรติ แล้วเราจะต้องทำให้ได้ แม้การกระทำถึงขนาดนี้ ถึงขนาดที่เปลี่ยนหัวใจนี้ มันโง่, พระเจ้าไม่ต้องการให้ทำ เพราะมันไม่ได้ผลคุ้มค่า การที่ลงทุนทำนั้น มันก็ยุ่งยากลำบากกระทั่งเสียเวลา เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ถ้าถึงขนาดที่จะต้องเปลี่ยนหัวใจแล้วก็ไม่ต้องทำ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า การปลี่ยนหัวใจหรือทำอะไรขนาดนั้น มันจะได้ผลชั่วขณะเล็กน้อยเท่านั้น มันให้ผลชั่วขณะเล็กน้อยเท่านั้น เพราะมันฝืนธรรมชาติมากเกินไป มันจะมีผลให้ใช้ได้เพียงชั่วเวลาเล็กน้อยเท่านั้น ไม่คุ้มค่าทำ แล้วมันเป็นการฝืนความประสงค์ของพระเจ้านั้นก็หมายความว่า มันทำความยุ่งยากมากเกินกว่าเหตุ โดยเหตุผลแล้วไม่ควรทำ ไม่คุ้มค่ากัน ที่ไปอ้างว่าเพื่อเมตตากรุณาเพื่ออะไรนี้ มันกลายเป็นเพื่อทรมาณมากกว่า, เพื่อทำให้ได้รับความทรมานมากขึ้นไปกว่าที่ควร แม้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกก็คล้าย ๆ กับเป็นคนพิการ เป็นคนครึ่งพิการไปเท่านั้นแหละ นี่แหละไปทำในสิ่งที่ไม่ต้องทำ ที่พระเจ้าบัญญัติไว้ว่าไม่ต้องทำ ไม่ใช่ไม่ควรทำ มันยิ่งกว่าไม่ควรทำ คือไม่ต้องทำ อย่างนี้ต่อไปจะมีมากขึ้น จะไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ ในสักษณะอย่างนึ้มีอีกหลาย ๆ อย่าง จะมากขึ้น

กิจการ อวกาศ จะไปโลกพระจันทร์ โลกอังคารนี้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้อทำ ฝืนความประสงค์ของพระเจ้า เป็นเรื่องบ้าเรื่อบอ ในโลกนี้ก็จัดให้มีสันติภาพก่อนเถิด นี้แหละพระเจ้าต้องการ ทีนี้ไปทำอย่างนั้นมันไม่ต้องทำมันไม่คุ้มค่าเหมือนกับการเปลี่ยนหัวใจเหมือนกัน มันจะต้องลงทุนด้วยความอยากลำบาก หมดเปลืองด้วยอะไรต่าง ๆ แล้วก็ได้ผลนิดเดียว ชั่วเวลาอันสั้นนิดเดียว หรือว่าความรู้นี้เป็นความรู้ที่ไม่จำเป็นจะต้องรู้ ยังไม่เกี่ยวกันสันติภาพในโลก ความรู้ที่จำเป็นจะต้องรู้คือ ต้องเกี่ยวกับสันติภาพในโลก ดังนั้นถ้าจะเอาเวลา เรี่ยวแรง ความคิด หัวสมอง หรือเงินทอง ที่ใช้ไปเพื่อการไม่ควรทำนั้นไม่ต้องทำ มาทำในสิ่งที่ต้องทำนี้ โลกจะดีกว่านี้ ดังนั้นเมื่อทำไขว้กันเสียอย่างนี้ ก็จัดเป็นโมหะ

โครงการอวกาศของชาติหนึ่ง ๆ มันเป็นแสน ๆ ล้านบาททั้งนั้น เอาเงินนั้นมาจัดให้โลกดีขึ้นกว่านี้ก็ยังทำได้ แล้วก็ยังได้ผล ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย เป็นชิ้นเป็นอันในระยะยาว ฉะนั้นสิ่งที่ยังไม่ต้องทำก็ไม่ต้องทำ ไปทำเข้า นี้เป็นโมหะ เป็นจิตทรามคือ ไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ แล้วสิ่งที่ควรทำแท้ ๆ ต้องทำแท้ ๆ กลับไม่ทำ เพราะไปหวังที่จะได้เกียรติ หรืออะไรแปลก ๆ ออกไป เป็นความเห็นแก่ตัว แต่ว่าโครงการอวกาศนี้เขาถือกันว่า เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสงคราม อย่างนี้มันก็ยิ่งเลวร้ายไปใหญ่ เพื่อจะเป็นโอกาส เป็นเครื่องมือ สำหรับทำลายผู้อื่น ด้วยความรู้ด้านอวกาศ อย่างนี้มันยิ่งเลวร้ายไปใหญ่ แม้แต่จะค้นคว้าเพื่อหลักวิชาแท้ ๆ มันก็ยังเป็นความโง่ ไปทำสิ่งที่ยังไม่ต้องทำ ยังไม่ควรจะทำ แล้วละเลยสิ่งที่ต้องทำ จึงถือว่าเป็นโรคจิตทราม

เรื่องเบ็ตเตล็ดแต่ว่ามันก็โด่งดังอยู่ในโลก เช่นเรื่องคุมกำเนิดโดยทางฟิสิคส์ ว่าพลเมืองจะล้นโลก จะต้องคุมกำเนิด แล้วก็ใช้วิธีทางฟิสิคส์ ไม่เกี่ยวกับทางจิตใจ นี่คือความโง่ ไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำเหมือนกัน แล้วก็ได้ผลร้ายแทนผลดี ควบคุมกำเนิดทางฟิสิคส์ คือหมายความว่าใช้ยา ใช้วัตถุ ใช้วิธีการทางเนื้อหนัง มันก็เลยเป็นของง่าย จนกระทั่งเด็ก ๆ ก็ทำได้ ทีนี้ไม่เท่าไร ในกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกงของเด็ก ๆ รุ่นสาว รุ่นหนุ่มนี้ก็จะเต็มไปด้วยเครื่องมือคุมกำเนิด แล้วศีลธรรมของมนุษย์จะเป็นอย่างไร นี่ขอให้มองกันในแง่นี้ ว่าเมื่อการคุมกำเนิดทางฟิสิคส์มันแพร่หลายอยู่อย่างนี้ ศีลธรรมของคนในโลกจะเป็นอย่างไร? มันไม่มีศีลธรรมประเภทที่เกี่ยวกับ กาเมสุมิจฉาจารหรือว่าศีลธรรมทางเพศเหลืออยู่เลย แล้วมันก็จะบูชาเนื้อหนังมากขึ้น ๆ กระทั่งเป็นมนุษย์ที่บูชาเนื้อหนังเป็นพระเจ้ามากขึ้น ก็เลยเป็นโลกของมนุษย์ที่เลวกว่าเดิม มีจิตทรามกว่าเดิม

การคุมกำเนิดจะต้องคุมทางวิญญาณ คือเหมือนกับที่สมัยโบราณเขาได้ใช้มาแล้ว หรือสั่งสอนอยู่ คือการบังคับทางจิตใจ อย่าไปทำทางฟิสิคส์ ทำทางจิตใจ ตามระเบียบของศาสนา วัฒนธรรมอะไรต่าง ๆ ที่เขาวางไว้ จนเป็นของทำได้ตามธรรมดา วัฒนธรรมโบราณของชนชาติยิว หรือชนชาติฮิบรูอะไรอย่างนั้น ผมมานับดูแล้ว ในหนึ่งเดือนไปสุ่ห้องนอนของภรรยาได้สัก ๓ – ๔ วันเท่านั้น เพราะมีระเบียบชัดเป็นกฏตายตัวชัดเจน วันพระไปไม่ได้ เดือนหนึ่งก็เป็นวันพระเข้าไปหลายวันอยู่แล้ว วันสะบาธ วันนักขัตฤกษ์เข้าไปไม่ได้ ในระยะมีโลหิตระดูก็เข้าไปไม่ได้ เจ็บป่วยเข้าไปไม่ได้ มันก็เหลืออยู่สัก ๓ – ๔ วันต่อหนึ่งเดือน แล้วยังมีบัญญัติว่า อยู่ในห้องภรรยาได้ไม่เกินสามชั่วโมง ไม่นอนอยู่ในห้องภรรยาตลอดคืน เหมือนคนเดี๋ยวนี้ แล้วก็ต้องเข้าไปอย่างมีระเบียบ แต่งตัวตามระเบียบ จะไปนอนเปลือยกันอยู่ในห้องด้วยกันตลอดวันตลอดคืน ทั้งเดือนทั้งปี นี้ทำไม่ได้ มันมีห้ามไว้ชัด นี้คือการคุมกำเนิดทางวิญญาณ มันก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องพลเมืองล้นโลกได้ง่าย ๆ นัก

ถ้าสมมติว่า พลเมืองมันจะมากขึ้น ก็ต้องหาทางออกอย่างอื่น ไม่ใช่ให้หาทางควบคุมกำเนิดทางฟิสิคส์ ซึ่งทำลายศีลธรรมในจิตใจของคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวเสียหมด นี้ผมถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ต้องทำ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ก็มาทำมาหลงว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ หรือต้องทำ แล้วโลกนี้ก็จะเป็นโลกที่ไม่มีศีลธรรมเพราะเหตุนี้ นี่แหละคือความเสื่อมทางวิญญาณ ที่เกิดมาจากการคุมกำเนิดทางฟิสิคส์ พระเจ้าไม่เห็นด้วย ธรรมชาติไม่เห็นด้วย พระธรรมก็ไม่เห็นด้วย ลองปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดตามกฏเกณฑ์ของพระเจ้า ของพระธรรม ของธรรมชาติ แล้วปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น หรือว่าจะเกิดขึ้นในลักษณะที่พอจะแก้ไขได้ ควบคุมได้

นี้เราก็พูดกันมามากพอแล้ว เป็นตัวอย่างเท่านั้น ว่าความมีจิตทรามทางฝ่ายโมหะในโลกนี้ได้เจริญหนาแน่นขึ้นอย่างไร

ดูต่อไปอีกสักข้อหนึ่ง ชิ้นสุดท้าย คือการศึกษาของโลกสมัยปัจจุบันนี้กำลังเป็นโมหะอย่างยิ่ง ยิ่งเรียนมากขึ้นยิ่งเป็นโมหะ ยิ่งเรียนมากยิ่งเป็นโมหะ คือไปรู้ในสิ่งที่ไม่ต้องรู้ แล้วไม่รู้ในสิ่งที่ต้องรู้ ก็เกิดความมืด ความเป็นอันธพาลทางวิญญาณขึ้นในจิตใจของคนหนุ่มสาวในโลก เพราะฉะนั้นการศึกษาที่จัดตามแผนปัจจุบันนี้ จึงมีผลนำไปสู่ความเป็นฮิปปี้เต็มโลก ไม่ใช่เฉพาะมีที่จะจุดนั้นจุดนี้ ความเป็นฮิปปี้จะเต็มโลกยิ่งขึ้นทุกที ดังนั้น ถือว่าการศึกษาแผนปัจจุบัน หรือปรัชญาแผนปัจจุบัน หรืออะไรแผนปัจจุบันนี้ เป็นการกระทำที่นำไปสู่ความมีฮิปปี้เต็มโลก มีความมืดบอดทางวิญญาณสูงสุด

สรุปแล้วก็ว่าอารยธรรมแผนใหม่คือเทคโนโลยี่นี้ นำไปสู่ความมี โลภะ โทสะ โมหะ มากขึ้น ส่วนอารยธรรมดั้งเดิมคือ spiritual enlightenment นั้น มันป้องกันหรือปราบปราม โลภะ โทสะ โมหะ ตลอดเวลา ฉะนั้นความมีจิตทรามในอารยธรรมแผนใหม่ ก็คือมันเพิ่ม โลภะ โทสะ โมหะ มากขึ้น ตามรายละเอียดเท่าที่ยกมาพอเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด เท่าที่เราพูดกันแล้ว เป็นเพียงตัวอย่าง ทางโลภะ อย่างนั้น, ทางโทสะ อย่างนั้น, ทางโมหะ อย่างนั้น, เหลือนอกนั้นคุณไปคิดดูเอง.

พุทธทาสภิกขุ
ฆราวาสธรรม
๘ พฤษภาคม ๒๕๑๓

จิตตานุภาพ

ท่าน อาจารย์ฝั้นนี้ชุ่มเย็นมาก ท่านอาจารย์ฝั้นเป็นพระที่ชุ่มเย็นมากทีเดียว เป็นฝ่ายเรานะโจมตีท่าน ท่านไม่ว่าอะไรเราแหละ เห็นเรามานี้ ท่านกำลังแจกเหรียญอะไรให้เขาอยู่ พอเห็นเราไป หยุด จะพูดธรรมะ ปิดทันทีเลย ไม่ให้เราเห็นนะ จะถูกโจมตีใช่ไหมล่ะ แจกของขลังน่ะ ขลังตั้งแต่ภายนอกภายในไม่ได้ขลัง นั่น จะเอากันตรงนั้น ท่านเห็นเรา มีแต่เราละเป็นฝ่ายโจมตี ไปหาครูบาอาจารย์องค์ไหนก็เหมือนกัน เพราะเรามันนิสัยอย่างนี้ ว่ากล้าก็กล้าจริงๆ กล้าโดยอรรถโดยธรรม กลัวโดยอรรถโดยธรรมละเรา

บรรดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็มีแต่เราละเป็นฝ่ายโจมตี ค้านไม่ได้นะ เพราะฉะนั้นท่านอาจารย์ฝั้นท่านกำลังแจกของขลังเหรียญอะไรๆ พอเห็นเราโผล่เข้ามานี้ หยุดๆ จะพูดธรรมะ หยุดทันทีเลย ปิดปุ๊บเลยทันที ไม่งั้นเอาจริงๆ นะนั่น นี่หรือของขลัง จะซัดกันเลยนะนั่น เห็นท่านเราก็ไม่ว่า แต่ท่านเป็นฝ่ายระวังเรา เราเป็นฝ่ายโจมตีท่าน กับเรานี้สนิทกันมากนะ ท่านอาจารย์ฝั้น ท่านกลัวเราก็จริงแต่กลัวเป็นธรรมนะ เพราะเราเอาจริงนี่ กำลังแจกของขลังอยู่ เหรียญนั้นเหรียญนี้ แจกนั้นแจกนี้ พอเห็นเราโผล่เข้าไป หยุดๆ จะพูดธรรมะ หยุดทันทีเลย ไม่ให้ออกเลย ไม่งั้นจะถูกโจมตี เราก็ไม่ว่าอะไร รู้แล้วว่าท่านระวัง ท่านอาจารย์ฝั้น

แต่ กับเรานี่เป็นยังไงไม่รู้นะ เจดีย์ของท่านก็เรานั่นละสร้างให้ ๑๒ ล้านนะ เจดีย์ของท่านอาจารย์ฝั้น เราละเป็นคนสร้างให้ พอท่านมรณภาพก็ประกาศลั่นกันขึ้นเลยว่าจะสร้างเจดีย์ เราก็ประกาศทันทีเลยว่าสร้างก็สร้าง แต่อย่าให้เราเข้าไปเกี่ยวข้องนะ เราทำมีแต่ทำให้หลวงปู่มั่นเรียบร้อยแล้ว นี่เราแก่แล้ว เราไม่เป็นประธานละ เขามาให้เราไปเกี่ยวข้องก็คือเป็นประธาน เป็นประธานมันหนักมาก ไม่ใช่เล่นๆ ทีนี้ทำไงมันก็ไม่ขึ้นน่ะซี ฟาดเสีย ๓ ปี นู่นน่ะเห็นไหมล่ะ ประชุมกันแล้วประชุมกันเล่า ปีที่สามนี้มาประชุมกันมีคณะกรรมการมา ๕ คน หมดหวังละ

ก็ ท่านสุวัจน์กับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้กำกับการตำรวจสกลนครมาเลย กับพวกญาติโยมผู้มีเกียรติแห่กันมาเลย ไปกุฏิเรา เพราะเราปัดแล้วตั้งแต่ต้น เราไม่เอา มาก็มาพูดเรื่องสุดๆ สิ้นๆ ให้ฟัง แล้วเราเคารพท่านอาจารย์ฝั้น เคารพมากนะ ทั้งรักทั้งเคารพ แต่โจมตีเป็นฝ่ายเรา รักและเคารพ ท่านก็ระวัง แต่ท่านก็เมตตาเรามากนะ ท่านอาจารย์ฝั้นน่ะ ท่านเมตตาเรามากอยู่ ทีนี้ถึงวาระนั้นสุดท้าย ๓ ปียังไม่ขึ้น มีคณะกรรมการมาประชุมเพียง ๕ คน เป็นอันว่าล้มเหลว ท่านสุวัจน์นั่นละเป็นหัวหน้า ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้กำกับการตำรวจพากันมา พวกประชาชนญาติโยมผู้มีเกียรติละมา แห่กันมา ก็มาพูดเรื่องความสุดๆ สิ้นๆ เรื่องเจดีย์ท่านอาจารย์ฝั้นให้ฟัง แล้วก็ไม่มีที่ไหน ก็มองเห็นแต่ท่านอาจารย์เท่านั้นละ ถ้าท่านอาจารย์หยุดเสียเลยอย่างเดียวแล้วก็เป็นอันว่าล้มไปเลย

ทีนี้ ความเคารพท่านก็เต็มหัวใจเรา ท่านอาจารย์ฝั้นเราเคารพมากนะ แต่โจมตีเป็นฝ่ายเราโจมตีท่าน แล้วท่านก็เมตตาเรามากอยู่นะ แปลกอยู่ มาเล่าให้ฟังสุดสิ้นแล้ว ไม่มีทางแล้ว ตกลงเราก็เลยรับเป็นประธานให้ พอเรารับเท่านั้น ออกไปก็ไปประกาศกันลั่นเลย ขึ้นทันทีเลย เจดีย์ ๑๒ ล้านนะ เราหาเงินให้ทั้งหมดเลย เจดีย์ท่านอาจารย์ฝั้น ๑๒ ล้าน เราเป็นประธาน แล้วก็หาเงินให้ด้วย ๑๒ ล้าน พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว เงิน ๑๒ ล้านเศษไปแปดแสน ยังเหลือแปดแสน แปดแสนนี่ก็มอบให้วัดอุดมสมพร วัดอุดมสมพรนี่รับเป็นรับตายอยู่นี้หมดละ บรรดาเรื่องของท่านอาจารย์ฝั้นจะอยู่ที่วัดอุดมสมพร อันนี้เงินมันเหลืออยู่สร้างเจดีย์แปดแสน มอบให้วัดอุดมสมพรเลย คณะกรรมการว่าไง พวกคณะกรรมการก็ยอมรับตามเรา ก็มอบเงินแปดแสนให้วัดอุดมสมพร ๑๒ ล้านเป็นเจดีย์ทั้งหมด แล้วก็เรียบร้อยมาเลยอย่างงั้นแหละ

ทีนี้ เวลาท่านมรณภาพ ท่านเกี่ยวกับเราตั้งแต่วันท่านมรณภาพนะ ท่านอาจารย์ฝั้น รู้สึกเมตตามาเกี่ยวข้องกับเรา เราไปอยู่ที่วัดดงศรีชมภู คือเราจะออกเดินทาง อย่างพรุ่งนี้ละ กลางคืนนี่ท่านเสียแล้ว พอท่านเสียก็ฝนตกทั้งคืนละวันนั้น เราจะออกเดินทางไป ขัดข้องทั้งหมดเลย นี่อำนาจเมตตาธรรมของท่านมาเกี่ยวโยงกับเรา ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะออกเดินทางขัดไปหมดเลย จนกระทั่งเราได้ออกพูดเสียงลั่นโก้กขึ้นมาเลย วันนี้จะมีเหตุการณ์อะไรแน่นอนนะคอยดู สะเทือนใจมา ๓ หน นี้หนที่สาม ทีนี้พูดได้ละคอยดูก็แล้วกัน อะไรมันขัดไปหมดเลย เรื่องของเราที่จะกลับวัดอุดมสมพร

เริ่มแรก ตั้งแต่ไปรถเขา มันพลิกตาลปัตรไปเลย จะว่าเป็นธรรมไม่เป็นธรรมก็ตาม แต่ความดลบันดาลจิตใจของท่านมาเกี่ยวกับเรา เราจะมาวันนั้นก็รถติดขัดไปหมดเลย รถที่จะไปรับเราไปไม่ได้ น้ำท่วมหมดตามทุ่งนา ตกลงเขาก็ต้องเดินทางไปเองไปหาเรา เดินทางไปจากบ้านนาขามไปวัด เดินทางไปเอง คือรถไปไม่ได้

นั่น ก็ท่านทุยเป็นผู้จัดการให้เราทุกอย่าง ขัดไปหมดเลย มันแปลกอยู่นะ รถที่จะมารับท่านพลิกตาลปัตร ท่านทุยไปสั่งว่า รถที่จะมารับท่านอาจารย์วันนี้เป็นรถเก๋งนะ มานี้จะเข้าไม่ได้รถเก๋ง ข้ามทุ่งนาไม่ได้ ให้เอารถที่บ้านเราว่างั้นนะ ท่านไปบอกเองท่านทุย ที่บ้านเราคือบ้านโยมอุปัฏฐากท่าน มีรถอยู่สองคัน ให้เอารถที่บ้านเราไปรับท่านอาจารย์มาขึ้นรถเก๋งคันนี้กลับอุดรว่างั้นนะ ท่านทุยสั่งเรียบร้อยแล้ว พอรถมาก็พลิกตาลปัตร บอกว่ารถมานี้ให้รออยู่นี้ รถเก๋งมาก็ให้รออยู่นี้ ท่านจะเดินทางมาเอง ดูซิน่ะ

บ้าน ที่ท่านทุยไปสั่ง เขามีรถอยู่สองคัน ให้เอารถที่บ้านไปรับท่านอาจารย์มา เพราะรถนี่มันบุกน้ำได้ว่างั้นเถอะ ครั้นมานี้ก็บอกรถคันนี้ว่าท่านอาจารย์จะเดินทางมาเอง ดูซิน่ะเดินทางมาเอง แน่ะมันขัดขนาดไหน ตกลงก็เลยไม่ได้ จนสายคนขับรถเก๋งเขาก็เดินทางไปหาเรา เขาดูทางไป พอเล่าให้ฟังอย่างนั้นแล้ว อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ ก็เราสั่งอย่างนั้นๆ ทำไมเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ทราบเหมือนกันมันหากเป็นอย่างนี้ ตายๆ ท่านทุยก็เดินจีวรปลิวมาเลยละ จะมาเอารถที่ท่านสั่งไว้เรียบร้อยแล้ว มันไม่ได้อย่างนั้นซิ

ครั้น มาบ้านนี่แล้วรถในบ้านไม่มีสักคันเดียว จนกระทั่งบ่ายสองโมงรถจึงไปจากปากคาด รถสองแถวคันหนึ่ง มาก็ลากเอารถสองแถวไปรับเรา นี่ก็คิดดูซิ ตั้งบ่ายสองโมงแล้ว เราจะมาอุดรมาไม่ได้รถติดขัด ครั้นไม่ได้รถนี่แล้วท่านกลับไปอีก พอมาถึงบ้านนาขาม รอรถอีกตั้งบ่ายสองโมงไม่มีรถคันไหนเข้ามาเลย รถที่ว่าเหลวไปหมดเลยจะทำไง พอบ่ายสองโมงมีรถสองแถวคันหนึ่งเข้าไป แต่เข้าไปแล้วติดเครื่องยังไงก็ไม่ติด นั่นเห็นไหมล่ะ เห็นชัดเจนมาก เราเป็นคนนั่งรถอยู่ ติดเครื่องยังไงมันก็ไม่ติด ดับปุ๊บๆ อยู่อย่างนั้น มันสะเทือนใจเรื่อย ถึงหนที่สามเลยพูดป้างออกมา วันนี้จะมีเหตุการณ์นะ มีแน่ๆ กระเทือนใจถึงสามหนแล้ว คอยฟังก็แล้วกันนะวันนี้จะมีเหตุละ

รถ นี่มันไปไม่ได้อย่างนี้ ขึ้นนั่งรถแล้วติดเครื่องไม่ติด พอดีท่านเอียนก็ไปจากอุดร ไปฉันจังหันบ้านตังล้ง ได้ทราบข่าวท่านอาจารย์ฝั้นมรณภาพจากนั้นท่านเอียนก็ไปหาเรา นี่ละรอข่าวท่านเอียนเอาข่าวท่านอาจารย์ฝั้นไปหาเรา เห็นไหมติดขัดตลอด พอเราพูดอย่างนั้นแล้วมันจะมีเหตุอะไรแน่นอนวันนี้คอยดูก็แล้วกัน พอท่านเอียนได้ข่าวนี้เรียบร้อยแล้วก็ไป เอาข่าวนี้ไปหาเรา เราต้องรอข่าวนี้ตลอด นั่นน่ะอำนาจท่านอาจารย์ฝั้นนะเกี่ยวกับเรา พูดง่ายๆ ว่าเกี่ยวกับเรา จะไม่ให้เรากลับอุดร จะให้ไปอุดมสมพรก่อนท่า

พอ ท่านเอียนไปจากอุดร ท่านลงรถปั๊บวิ่งมาหาเรา รถกำลังจะไปติดเครื่องไม่ได้อยู่นั่นละ พอท่านเอียนวิ่งมาปั๊บก็มากระซิบว่า ท่านอาจารย์ฝั้นเสียแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ดูว่า ๖ โมง ๕๐ นาที ท่านเสียแล้วเมื่อวานนี้ นี่ละเรื่องราว พอว่างั้น เออ เอาละเข้าใจ เอาไม่ต้องติดเครื่องก็ได้ที่นี่เราว่างั้นเลย เหยียบคันเร่งเลยเราบอก ก็มันมีเรื่องอันเดียวนี่เข้าใจไหม บอกว่าไม่ต้องติดเครื่องรถนี่น่ะ เหยียบคันเร่งไปเลย พอติดเครื่องปุ๊บผึงไปเลยจริงๆ ออกไปนี้ นู่นฟาดไปวัดอุดมสมพร แทนที่จะมาอุดรไม่มานะ ไปวัดอุดมสมพร ทางนู้นก็รอเราอยู่แล้วเอาอีกแหละ นั่นละเรื่องราวท่านอาจารย์ฝั้น พลิกตาลปัตรกับเรานะ เราเลยต้องไปวัดอุดมสมพร ทางโน้นก็รอเราอยู่แล้ว

ไป เราก็สั่งเสียเรื่องนั้นเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราถึงได้มาจากวัดอุดมสมพรตรงมาอุดรทีเดียว เราไปวัดหนองกอง จะไปทอดผ้าป่าไปไม่ได้ ท่านอาจารย์ฝั้นขวางตลอดเลย เราเลยว่าจะเกิดเหตุอะไรวันนี้คอยดูก็แล้วกัน เป็นจริงๆ พอทราบว่าท่านอาจารย์ฝั้นเสียแล้วเมื่อวานเวลาเท่านั้น เออ ไปได้ รถนี้ไม่ต้องติดเครื่อง เหยียบคันเร่งเลยคราวนี้ ไปได้เลย ติดเครื่องปึ๊งก็ไปเลย ก็เลยถาม รถนั้นมันเป็นยังไงแต่ก่อน ก็ดีๆ ธรรมดา แต่วันนี้เป็นอย่างนี้ นั่นละเรื่องราวท่านอาจารย์ฝั้นน่ะ

จึง ได้ไปโน้นกลับมาจึงได้ไปหนองกอง จากนั้นแล้วก็เป็นภาระของเราทั้งหมดเลย สุดท้ายสร้างเจดีย์ขึ้นมาก็เป็นเราหาเงินให้ด้วย ๑๒ ล้าน เจดีย์ก็เราเป็นประธาน หาที่ไหนไม่ได้ๆ สุดท้ายมีผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้กำกับการตำรวจและประชาชนชาวสกลนครแห่ไปหาเรา ไปพูดถึงเรื่องจะล้มเหลวเรื่องการสร้างเจดีย์ เราเคารพท่านมาก ตกลงเราก็ เลยรับให้ พอรับให้ปั๊บก็ขึ้นเลยทันที เป็นอย่างนั้นละ เรื่องท่านอาจารย์ฝั้นเกี่ยวข้องกับเรานี้เกี่ยวจริงๆ เกี่ยวอย่างเห็นได้ชัดเลย

รถ ติดเครื่องจะติดไม่ติด อะไรมันก็ไม่ติด จนร้องโก้กขึ้นเลยมันจะมีเรื่องวันนี้คอยดู พอทราบข่าวท่านอาจารย์ฝั้น ท่านเอียนไปเล่าให้ฟังเท่านั้น เอ้า ทีนี้เหยียบคันเร่งเลยไม่ต้องติดเครื่อง ไปเลย เป็นอย่างนั้นนะ เรื่องธรรมใครคาดไม่ถึง อย่าไปคาดนะเรื่องธรรม ยกตัวอย่างท่านอาจารย์ฝั้นกับเรานี่แหละ คือท่านเกี่ยวข้องกับเรา ท่านเมตตาให้เราเป็นภาระ ความหมายว่างั้น พอทราบเรื่องของท่านแล้วก็เป็นเราทั้งหมด จนกระทั่งก่อเจดงเจดีย์ เราทำให้ท่านทั้งหมดเลย นี่พูดถึงเรื่องธรรมบันดาล ใครไปคาดไม่ได้นะคาดธรรม ยกตัวอย่างอย่างท่านอาจารย์ฝั้นเสียนี่ อำนาจธรรมของท่านอำนาจใจของท่านมาเกี่ยวข้องกับเรา บังคับไว้หมด ไปไม่ได้เลย

พอ ทราบเรื่องของท่านเท่านั้น เอ้าที่นี่ไม่ต้องติดเครื่อง เหยียบคันเร่งเลย ปึ๋งเลยไปเลย ก็อย่างนั้นแหละ มันไปไม่ได้ ติดแล้วมันดับๆ อยู่งั้น มันไปไม่ได้ พอทราบท่านอาจารย์ฝั้นเท่านั้นปั๊บ เอ้า เหยียบคันเร่งเลยที่นี่ไม่ต้องติดเครื่อง เราว่างั้น มันมีอันเดียวนี้ละที่เป็นเหตุ ที่เราบอกว่าวันนี้จะมีเหตุอะไรแน่นอนคอยฟังนะ มีแล้วนี่น่ะ ทราบแล้วที่นี่ เอ้าเหยียบคันเร่งเลยไม่ต้องติดเครื่อง พอติดเครื่องปึ๊งก็ไปเลย อย่างนั้นแหละอำนาจธรรมของท่าน

ท่านอาจารย์ฝั้นท่านมีนิสัยทางด้านจิตตานุภาพนะ อานุภาพของใจท่านเก่งมาก รถวิ่งไปนี้ให้หยุดหยุดเลย ไม่ให้ไปก็ไปไม่ได้แหละ ท่านอาจารย์ฝั้น กับท่านอาจารย์ลีพอๆ กันอำนาจของใจ ท่านอาจารย์ลี วัดอโศการามหนึ่ง ท่านอาจารย์ฝั้นหนึ่ง พอๆ กัน ท่านอาจารย์ลีก็เหมือนกัน แต่ทั้งสองนี้จะเมตตาเรามากทั้งสองนะ อย่างวัดอโศการามมีงานขึ้นสองอาทิตย์ยังไม่ถึงไหนเกิดเรื่องขึ้นแล้วในงาน วัดอโศการาม นี่ก็ท่านพ่อลีละสั่งไปเลยว่า ให้มหาบัวไประงับเหตุในครัว ห้ามใครไปแทนเป็นอันขาด บอกให้ท่านอาจารย์เจี๊ยะไปหาเรา ให้เราไประงับเหตุการณ์ในครัว

เรา บอกไปหาองค์อื่นไม่ได้หรือ ท่านห้ามเด็ดขาด ให้ท่านอาจารย์เท่านั้นไประงับเหตุการณ์ในครัว ตกลงเราก็เลยไป ครัวก็มีแต่เขาโค้งๆ พูดให้มันชัดๆ เสีย โอ้โหย ไม่ใช่เล่นๆ นะ นั่นก็เอาอีกแหละ เข้าไปก็ใส่เปรี้ยงเลยเทียว ในครัวเรียบวุธเลย เห็นโทษของตัวเองหมด ยอมรับตามเหตุผลของเราทุกอย่าง เรื่องก็ขึ้นเลย ท่านเลยขยายงานออกไปอีกเป็นสามอาทิตย์ ทีแรกสองอาทิตย์ เห็นว่าเรียบร้อยแล้วทุกอย่างก็ให้เลื่อนงานออกไปอีกเป็นสามอาทิตย์ แต่เราไปไหนไม่ได้นะ ท่านเห็นหน้าเราก็ว่า มหาบัวไปไหนไม่ได้นะ ท่านอาจารย์ลี เรามักจะเป็นอย่างนั้นละ ก็เดชะอยู่ไประงับที่ไหนเรียบทุกแห่ง ไม่เคยเหยียบหัวเราไปด้วยงานไม่สงบไม่เรียบร้อยไม่มี ไปทีไรก็เรียบร้อยทุกอย่าง อย่างวัดอโศการามก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย อันนั้นก็เรียบไปเลย เป็นอย่างนั้น

หลวงปู่หลุยนี่ยกให้เป็นพระที่ปรารถนาน้อยที่สุด มีความมักน้อยมาก แต่กับเรานี่ก็คุ้นกันมาก อันนี้ก็แบบเดียวกัน ขบขันจะตายไป เราเดินจงกรมอยู่ในป่าลึกๆ หนองผือ ท่านไปหาเรา ไปหาที่กุฏิไม่เจอ ถามพระว่าท่านมหาไปไหน ท่านเดินจงกรมอยู่ในป่า ทางเข้าไปนี่ในป่า ท่านก็ไปเลยไปหาเรา นี่ละมันขบขัน ที่ว่าท่านสนิทกับเรามากนะ พอเข้าไปเสียงกุบกับๆ กลางคืน ก็ไม่มีไฟนี่ ไปก็โดนนั้นโดนนี้ไปเสียงกุบกับๆ เราก็เดินจงกรมไม่มีไฟอีกแหละเราก็ดี พอไปก็ประมาณต้นเสานี่ละ กุบกับๆ เข้าไป เราวิตกถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่นนะ เอ๊ พ่อแม่ครูจารย์เป็นอะไรน้า มีใครมาหาเราละนี่ เกี่ยวกับท่านแน่ๆ

พอไป เราก็เลยถามใครมานี่ ผมเองท่านว่า ท่านก็รู้ทิศทางของเราว่าอยู่ตรงไหนเข้าใจไหม กุบกับๆ เข้ามา ใครมานี่ ผมเอง ท่านว่าอย่างนั้นนะ พอท่านรู้ทิศทางแล้วท่านก็ตรงเข้ามาเลย มาก็คว้าแขนเรา จูงเลย ดึงจากนั้นมา เอ้า จะเอาไปไหนอีก ไปหาท่านอาจารย์ละซี ไปหาอะไร ไปฟังเทศน์ อ้าวเมื่อคืนนี้ผมก็ไป ทำไมท่านอาจารย์ไม่ไป เราว่า ก็นั่นนะซีขึ้นเลย ถ้าไปแต่ท่านไม่ได้ โอ๊ย ถูกเขกไล่ลงๆ เราไปท่านไม่ว่าอะไร ก็นิสัยต่างกัน นั่นท่านเมตตาแบบหนึ่งนะ

ท่านอาจารย์หลุยขึ้นไปนี่ มาอะไรหลุย ขึ้นเลยนะ ไล่ บางทีก็ไล่ลงไป ไปนะ ไล่ นี่คือเมตตาแบบหนึ่ง เข้าใจไหม ใช้ต่อลูกศิษย์นี่คนละแบบๆ ไม่ซ้ำกันนะ กับท่านอาจารย์หลุยนี้แบบนี้ กับท่านอาจารย์หลุยท่านใช้เมตตาแบบนั้น กับลูกศิษย์คนนี้ใช้เมตตาแบบนี้กับลูกศิษย์คนนี้ ไม่ได้ซ้ำกันนะพ่อแม่ครูจารย์มั่น เรื่องความมักน้อยนี่ยกให้ท่านอาจารย์หลุย ไม่มีใครสู้ มีอะไรๆ ไม่เอา ใช้ของใหม่ๆ ไม่ใช้ ใช้แต่ของเก่าๆ ทั้งนั้นละ นี่อัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุแล้วพูดถึงเรื่องความสนิทกัน ท่านสนิทมากกับเรา ท่านอาจารย์หลุย คิดดูซิเข้าไป ไปจับแขนจูงมาเลย มืดๆ นะ จูงมาจากทางจงกรมในป่า เอ้าจะเอาไปไหนนี่ ไปฟังเทศน์ละซี จูงไม่ถอยนะนั่น จูงมาเรื่อย บุกออกมาจากป่า จนกระทั่งมาถึงที่โล่งแจ้งถึงปล่อยมือ แล้วก็เดินไปด้วยกัน

เป็นอย่างนั้นละท่านอาจารย์หลุย ท่านนิสัยชอบพูดเล่น ไม่ถือเนื้อถือตัว การถือเนื้อถือตัว ไม่มี สำหรับท่านอาจารย์หลุย แต่ท่านมักน้อยมาก บรรดาลูกศิษย์หลวงปู่มั่นไม่มี มีท่านอาจารย์หลุยองค์เดียวเป็นผู้มักน้อยมากทีเดียว วันนี้หมดแล้ว จะเลิกและให้พร จะไปละสายแล้ว

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
http://www.luangta.com

สุดยอดคนที่เกิดมาพร้อมพลังเหนือมนุษย์

เราเคยดูในภาพยนตร์หรือหนังสือการ์ตูนที่เหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ทั้งหลายจะมี พลังพิเศษเหนือมนุษย์ ต่อกรกับเหล่าร้าย ซึ่งก็เป็นแค่เรื่องแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่คุณรู้หรือไม่ว่า จริงๆ แล้วโลกของเราก็มีเหล่าคนที่เกิดมาพร้อมพลังพิเศษ ที่น่าทึ่ง และไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่จริง

Ma Xiangang

พลังพิเศษ : ต้านทานกระแสไฟฟ้า

Xiangang ค้นพบพลังพิเศษของตัวเองด้วยความบังเอิญแบบที่ถ้าเป็นคนปกติคงจะตายไปแล้ว วันหนึ่ง โทรทัศน์ของ Xiangang เกิดพังขึ้นมา เขาเลยพยายามซ่อมกล่องฟิวส์และบังเอิญไปโดนสายไฟที่ยังมีไฟฟ้าเลี้ยงอยู่ เข้า แต่แทนที่เขาจะถูกช็อตไหม้เกรียมแบบคนทั่วๆ ไป เขากลับพบว่าเขาไม่มีความรู้สึกเจ็บเลยสักนิด ด้วยความสงสัย เขาเลยลองทดสอบ ด้วยการจับสายไฟดูอีกครั้ง ผลที่ได้ทำให้เขาประหลาดใจมาก เพราะนอกจากจะไม่ถูกไฟฟ้าช็อตแล้วเขายังไม่รู้สึกเจ็บ และไม่เกิดผลอะไรขึ้นทั้งนั้น

สำหรับมนุษย์ทั่วไปแล้ว เราจะสามารถต้านทางกระแสไฟฟ้าได้ต่างกันเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับความหนาของผิว ความชื้นของผิว และการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในร่างกาย ในกรณีของ Xiangang พบว่าค่าต่างๆ ที่ช่วยในการต้านทานอยู่ในระดับสูงมาก ทำให้เขาสามารถต้านทานกระแสไฟฟ้าได้มากกว่าคนทั่วไป 7-8 เท่า

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า นอกจาก Xiangang แล้ว ยังมีคนอีกมากซึ่งมีความสามารถแบบเขาอยู่ แต่เจ้าตัวเองก็อาจจะไม่รู้เพราะไม่เคยได้ทดสอบ ถ้าใครสงสัยว่าตัวเองมีพลังพิเศษแบบ Xiangang แล้ว ลองไปจับสายไฟดูได้ ถ้าเกิดไม่ตายแล้ว คุณก็อาจจะเป็นหนึ่งในนมุษย์ที่มีพลังพิเศษเช่นเดียวกัน

Dean Karnazes

พลังพิเศษ : ไม่มีวันเหนื่อย

Dean Karnazes เป็นนักวิ่งทางไกลชาวอเมริกัน ซึ่งเหมาะมากกับพลังพิเศษที่เขามี นั่นคือ เขาสามารถวิ่งมาราธอนได้ 50 รายการ ใน 50 รัฐ ในเวลา 50 วัน นอกจากนั้น เขายังวิ่งเป็นระยะทาง 350 ไมล์ (563 กิโลเมตร) ในเวลา 3 วัน ติดต่อกันโดยไม่นอนหลับหรือหยุดพักเลย

ความสามารถของ Dean Karnazes ทำให้ผู้คนชาวอเมริกันประทับใจมาก และทำให้เขาติดอันดับในรายการ 100 บุคคลผู้มีอิทธิพลที่สุด ในนิตยสาร Times ปี ค.ศ.2007 และต่อมาในปี ค.ศ.2010 เขาก็ได้วิ่งตั้งแต่ Disneyland ไปจนถึงเมือง New York โดยใช้เวลา 75 วัน ระยะทางรวม 3,000 ไมล์ (4,800 กิโลเมตร)

มีการทำทดสอบกับ Dean เพื่อหาว่า เหตุใดร่างกายเขาจึงสามารถทนทานการออกกำลังกายได้มากกว่ามนุษย์ทั่วๆ ไป ผลการทดสอบพบว่า ในคนปกติแล้ว หลังการวิ่งมาราธอนกล้ามเนื้อจะได้รับความเสียหายประมาณ 2,400 CPK แต่สำหรับ Dean แล้ว พบค่าความเสียหายเพียง 447 CPK หลังจากผ่านการวิ่งมาราธอนมา 25 รายการ การทดสอบยังพบอีกว่า นอกจากกล้ามเนื้อของเขาจะเสียหายน้อยกว่าคนปกติแล้ว มันยังปรับตัวให้เคยชินกับการวิ่ง จนในที่สุดก็ไม่เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นอีก และนอกจากนั้น ยังพบว่าเขามีปริมาณเลือดในร่างกายมากกว่าคนปกติ

สำหรับผลสรุปการทดสอบ ได้ออกมาว่า ถ้าเขายังคงอยู่ในสภาพนี้ต่อไปเรื่อยๆ เขาจะสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 7-10 นาที ต่อไมล์ ไปได้เรื่อยๆ ตลอดกาล

Stephen Wiltshire

พลังพิเศษ : ไม่มีวันลืมสิ่งที่เห็น

ถ้าใครได้ดูช่อง Discovery Channel อาจจะเคยเห็นโฆษณาที่เฮลิคอปเตอร์พาชายคนหนึ่งขึ้นไปดูทิวทัศน์จากด้านบนของ เมือง New York หลังจากกลับลงมา ชายคนนั้นก็วาดภาพเมือง New York ขนาดใหญ่ที่มีความสมบูรณ์และรายละเอียดถูกต้อง 100 เปอร์เซ็น โดยอาศัยความทรงจำเท่านั้น

ชายคนนั้น คือ Stephen Wiltshire ผู้ซึ่งเดินทางไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลกมาเป็นเวลา 25 ปีแล้ว เพื่อวาดภาพทิวทัศน์ของประเทศ และเมืองต่างๆ โดยภาพวาดของเขาจะวาดขึ้นจากความทรงจำเท่านั้น เขาสามารถจดจำทุกๆ รายละเอียดได้แม้จะได้ดูแค่เพียงแว้บเดียว จนถึงทุกวันนี้ เขายังจดจำภาพที่เขาเคยเห็นได้ทุกภาพ สามารถเข้าไปดูผลงานของเขาได้ ที่นี่

Stephen Wiltshire เป็นคนที่มีอาการของโรคออทิสติก ซึ่งมีผลทำให้เขามีปัญหาในการเข้าสังคม และปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกัน แต่ก็ทำให้เขามีความสามารถพิเศษในการจดจำ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่เป็นโรคออทิสติกทุกคนจะมีความสามารถพิเศษเช่นนี้ มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่พบว่าจะมีความสามารถพิเศษ หรือเป็นอัจฉริยะในทางด้านใดด้านหนึ่งทดแทนความสามารถในการดำเนินชีวิต เหมือนคนปกติที่สูญเสียไป

ในคนปกติแล้ว เมื่อถูกพาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ขึ้นไปเหนือเมือง เราจะถูกรบกวนจะดึงความสนใจด้วยสิ่งแวดล้อมรอบๆ ข้าง แต่สำหรับ Stephen แล้ว สมองของเขาจะเพ่งความสนใจไปยังรายละเอียดของเมืองเพียงอย่างเดียว และจดจำทุกรายละเอียด รวมถึงความสัมพันธ์ของแต่ละสิ่งก่อสร้างที่ก่อให้เกิดเป็นเมืองขึ้นมา ทำให้เขาสามารถจดจำได้ทุกรายละเอียดและนำมาใช้ในการวาดภาพต่อได้

ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว สุดยอดคนที่เกิดมาพร้อมพลังเหนือมนุษย์ Part.1 เรายังมีบทความเกี่ยวกับบุคคลที่มีอยู่จริงในโลก ซึ่งมีความสามารถที่น่าทึ่ง และน่าสนใจ ไม่แพ้คนจากในตอนที่แล้วอยู่อีก ลองอ่านกันดูแล้วคุณจะทึ่ง ว่ามีคนแบบนี้อยู่ในโลกจริงๆ ด้วยหรือนี่

Kim Peek

พลังพิเศษ : จดจำทุกสิ่งทุกอย่างได้

Kim Peek เสียชีวิตไปแล้วในปี ค.ศ.2009 ซึ่งในขณะที่เขาเสียชีวิตนั้น เขาสามารถจดจำเนื้อหาในหนังสือทั้งหมดที่เขาเคยอ่าน จำนวน 12,000 เล่ม และที่เขาอ่านหนังสือได้เยอะแบบนี้ ก็เพราะว่าเขาจะอ่านทีละ 2 หน้าพร้อมๆ กัน (ตาซ้ายอ่านหน้าซ้าย ตาขวาอ่านหน้าขวา)

นอกจากความสามารถในการจดจำหนังสือแล้ว เขายังสามารถจดจำทุกสิ่งที่เคยได้พบเจอมาตลอดชีวิตด้วยรายละเอียดที่ถูกต้อง ถึง 98 เปอร์เซ็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถิติต่างๆ ถนนทุกเส้น ที่อยู่ในเมือง รหัสไปรษณีย์ เบอร์โทรศัพท์ หรือแม้แต่สภาพอากาศในแต่ละวันย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว

เรื่องราวของ Kim เป็นแรงบันดาลใจให้หนังเรื่อง Rain Man ซึ่งมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับชายผู้เป็นออทิสติก และถูกน้องชายนำความสามารถในการจดจำของเขามาใช้ในการโกงเกมไพ่ในคาสิโน อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนขอให้ Kim ใช้ความสามารถของเขาในการเล่นการพนัน เขาก็จะปฏิเสธว่า การพนันเป็น เรื่องผิดศีลธรรม

สาเหตุที่ทำให้ Kim มีความสามารถนี้ ในตอนแรกเชื่อกันว่าเกิดจากโรคออทิสติก เหมือนในกรณีของ Stephen Wiltshire ในบทความที่แล้ว แต่ความจริงแล้ว ความสามารถของเขาเกิดขึ้นจากความผิดปกติแต่กำเนิดชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้พื้นที่ความจำของเขามีขนาดใหญ่กว่าคนปกติ

ถึงแม้ว่า Kim จะชอบพบปะผู้คน และชอบแสดงความสามารถของตนให้คนอื่นได้รับรู้ พ่อของเขาซึ่งเป็นผู้ดูแลก็ไม่เคยหาผลประโยชน์จากความสามารถของลูกชาย เขาไปปรากฏตัวตามที่ต่างๆ โดยไม่รับเงินค่าตอบแทน นอกเหนือจากความสุขที่ได้รับจากการพบปะผู้คนเท่านั้น

Wim Hof

พลังพิเศษ : ต้านทานความเย็น

Wim Hof เป็นชาวดัตช์โดยกำเนิด เขามีความสามารถพิเศษในการต้านทานความหนาวเย็น ไม่ใช่ในแบบอดทนต่อความเย็นแบบที่นักมายากล หรือนักแสดงเสี่ยงตายทำ แต่ความเย็นไม่สามารถทำอะไรร่างกายเขาได้เลย เคยมีการทดลองให้เขาดำน้ำเย็น จัด ซึ่งสามารถฆ่าคนปกติได้ในเวลาไม่กี่นาที ผลปรากฏคือ อุณหภูมิในร่างกายของเขาแทบจะไม่ลดลงเลย เขาทำได้แม้กระทั่งปีนเทือกเขาเอเวอร์เรสโดยใส่กางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว ได้แบบสบายๆ

Wim Hof บอกไว้ว่า ความสามารถของเขาได้มาจากการทำสมาธิ ซึ่งได้มีการทำทดลองกับตัวเขาแล้วได้ผลออกมาว่า เป็นความจริง เขาสามารถควบคุมระบบประสาทของตัวเองให้สามารถทนทานต่อสิ่งแวดล้อมได้ ด้วยการตั้งสมาธิ ซึ่งผลการวิจัยยังบอกอีกว่า กรณีของเขาเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งในคนปกติถึงแม้จะนั่งสมาธิมากขนาดไหนก็อาจจะทำไม่ได้ขนาดนี้ ถือว่า เป็นมนุษย์พิเศษจริงๆ

Isao Machii

พลังพิเศษ : สุดยอดปฏิกิริยารีเฟล็กซ์

Isao Machii คือชายชาวญี่ปุ่นที่มีรีเฟล็กซ์ (ปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้สมองสั่ง) ยอดเยี่ยม และเขาก็ใช้ความสามารถนั้นในการตัดสิ่งของต่างๆ ด้วยดาบซามูไร

เขาสามารถตัดสิ่งของเล็กๆ ให้ขาดครึ่งได้ ทำได้แม้กระทั่งตัดลูกกระสุนปืนลมที่ถูกยิงออกมาให้ขาดครึ่ง ซึ่งทำให้คนที่ได้รับชมการแสดงของเขาทึ่งมาก เพราะเป็นความสามารถเหลือเชื่อที่น่าจะมีแต่ในภาพยนตร์เท่านั้น แต่ชายคนนี้สามารถทำได้จริง ลองดูได้จากคลิปวิดีโอนี้

ความ สามารถของ Isao Machii ถูกอธิบายไว้ว่า เขาสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวได้ของสิ่งที่พุ่งมาหาได้ เช่น ลูกปืนที่พุ่งเข้ามาหา โดยการใช้สัมผัสแบบอื่นนอกเหนือจากการมองเห็น ซึ่งเป็นการประมวผลการรับรู้ที่อยู่ในระดับสูงขึ้นไปกว่าในมนุษย์ปกติ หมายความได้ว่า สมองของเขาประมวลผลต่างจากของคนธรรมดา ทำให้เขาสามารถตัดสิ่งของที่พุ่งมาโดยเร็วได้โดยใช้ ความรู้สึก ไม่ใช่ การมองเห็นสรุปคือ Isao Machii ไม่ใช่แค่ซามูไรธรรมดาที่ฝึกฝนมาอย่างดีเท่านั้น แต่เขาคือซามูไรพลังจิตแบบที่หลุดออกมาจากการ์ตูนญี่ปุ่นของจริง

ที่มา http://www.everyday-readers.com

พญานาคให้น้ำที่วัดญาณสังวรารามฯ

อันความพิเศษยิ่งใหญ่แห่งพระอรหันตเจ้าในพระพุทธศาสนานั้น น่าจะมีหลายท่านเคยรู้เคยเห็นมาแล้ว จึงมีความเชื่อมั่นในความพิเศษสุดแห่งธัมมะในพระพุทธศาสนา ที่สามารถทำความพิเศษไม่มีเสมอเหมือนแก่ผู้ปฏิบัติเกิดผลแล้ว มีหลายท่านเคยฟังท่านพระอาจารย์ชอบ ฐานสโม หรือที่หลายคนสมัยนี้เรียกท่านว่าหลวงปู่ชอบ เล่าให้ฟังว่าท่านเคยเกิดเป็นราชาแห่งพญานาค คือเป็นพญานาคราชใหญ่ มีบริษัทบริวารมาก และจนมาถึงปัจจุบันชาติ แม้ท่านจะได้เป็นมนุษย์แล้ว พ้นจากความเป็นพญานาคราช แต่ท่านก็ยังมีความสำคัญแก่พญานาคมากหลาย ท่านเล่าไว้ว่าเคยมีผู้ขอให้ท่านช่วยทำให้ฝนตกเพื่อให้เกิดน้ำยามแล้งจัด เมื่อท่านรับอาราธนาไปสู่ที่นั้น พญานาคจำนวนมากก็จะไปด้วย ท่านเล่าว่า พญานาคจะไปกันทั้งครอบครัว ช่วยกันพ่นน้ำฟู่ฟู่ เป็นเหตุให้เป็นฝนตกหนักทั่วบริเวณนั้น สิ้นแล้วอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์นี้เกิดได้แม้เมื่อท่านพระอาจารย์ท่านที่ท่านว่าเคยเป็นพญานาคราชในอดีตชาติ พระพุทธศาสนาไม่น่าได้รับการเทิดทูนอย่างยิ่งหรือในด้านของอิทธิปาฏิหาริย์ ที่ชอบกันในบุคคลหมู่คณะหนึ่ง

ญาติโยมวัดบวรนิเวศวิหารและวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ในพระบรมราชูปถัมถ์ เล่าว่าเคยได้ประจักษ์ในอิทธิฤทธิของการปฏิบัติพระพุทธศาสนา ที่เกี่ยวกับท่านพระอาจารย์ชอบ ฐานสโม และเคยเล่าให้ฟังด้วยความปิติ โสมนัสอัศจรรรย์ในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ขอนำมาบันทึกไว้ เพื่อให้บรรดาผู้สนใจในเรื่องของอิทธิฤทธิปาฏิหาริย์ได้ซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา ที่เป็นเพียงจะเล็กน้อยนักเมื่อเปรียบเทียบกับความยิ่งใหญ่แห่งพระธรรมคำสอนที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงนำให้มีผู้รู้ตามเสด็จ ได้พ้นทุกข์ของความเกิดแก่เจ็บตาย ได้เป็นผู้ชนะที่ไม่กลับมาแพ้อีกต่อไป

เรื่องที่ปรากฏประจักษ์แก่ญาติโยมวัดญาณสังวรารามฯ เมื่อ ๒๐-๓๐ ปีมาแล้ว เมื่อท่านพร่ะอาจารย์หลวงปู่ชอบท่านยังมีชีวิตอยู่ มิได้ละสังขารไปเช่นขณะนี้ ครั้งนั้นเกิดฝนแล้ง น้ำตามอ่างตามห้วยในบริเวณวัดญาณสังวรารามฯ แห้งขอด ผู้คนเดือดร้อน ญาติโยมผู้หนึ่งนึกขึ้นได้ถึงเรื่องการที่หลวงปู่ท่านเคยเป็นพญานาคราช ที่ได้ยินผู้เล่าให้ฟัง โดยไม่เคยได้ฟังโดยตรงจากหลวงปู่ท่าน เพราะไม่เคยรู้จักท่าน เรื่องที่ได้ยินก็คือที่ใดน้ำแล้ง และหลวงปู่ได้รับอารธนาไปโปรด พญานาคจะตามท่านไปทั้งครอบครัว ช่วยให้น้ำฟู่ฟู่ เต็มไปทุกแห่ง ช่วงที่น้ำแห้งทั่ววัดญาณฯ นั้น หลวงปู่ท่านไปโปรดผู้คนตามคำอาราธนาที่อเมริกา เป็นเหตุให้ลังเลกันอยู่เหมือนกัน ว่าหลวงปู่ท่านจะได้รับทราบคำขอร้องให้ท่านช่วยแก้ความเดือดร้อนเรื่องขาดน้ำหรือไม่ เพราะท่านไปอยู่ไกลถึงต่างประเทศ แต่ด้วยความเดือนร้อนจริงๆ จึงตัดสินใจขอท่าน โดยรวมกันอ่านคำขอพร้อมกัน เป็นความจริงที่เล่ากันว่า เพียงผู้เขียนคำขอหลวงปู่จรดปากกาลงกระดาษเท่านั้น ฟ้าก็ลั่นสนั่นไปแล้ว เป็นสิ่งที่เหลือเชื่ออย่างยิ่งในหมู่ผู้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งเล่าต่อไป ว่าเมื่อเขียนคำอ้อนวอนขอน้ำหลวงปู่จบก็พร้อมกันอ่าน เพียงสั้นๆ ฝนก็กระหน่ำหนักทันที ลูกเห็บตกเกรียวกราว เป็นที่รู้เห็นกันทุกทั่วหน้า ความปิติความตื่นเต้นยินดีพ้นจะพรรณนา ไม่กี่นาทีน้ำในบริเวณวัดญาณสังวรารามฯ ก็เต็มทั่ว เป็นความกรุณายิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้ของหลวงปู่ท่าน ทุกคนซาบซึ้งเช่นนี้ และมีผู้หนึ่งเล่าในภายหลังว่าได้ตั้งใจไปกราบขอบพระคุณหลวงปู่ท่าน ทั้งที่ไม่เคยรู้จักท่านเลย รู้แต่ว่าขณะนั้นท่านอยู่อเมริกา ความตื่นเต้นซาบซึ้งในพระเดชพระคุณท่าวท้นจริงใจทำให้น้อมใจส่งไปสัญญากับหลวงปู่ท่าน ว่าท่านกลับจากอเมริกาเมื่อใด ท่านอยู่ที่ไหน จะไปกราบสนองความเมตตายิ่งใหญ่ของท่านให้ได้ ไม่ว่าจะไปยากลำบากเพียงไหนก็จะไป เพื่อได้กราบท่าน ได้แสดงความสำนึกในพระเดชพระคุณความมีเมตตาอย่างไม่น่าเป็นไปได้ของท่าน บรรดาผู้กราบขอรบกวนท่านนั้น ไม่มีผู้ใดรู้จักท่านมาก่อนเลย เพียงได้ยินชื่อเสียงและกิตติศัพท์ความเคยเป็นพญานาคราชในอดีตของท่านเท่านั้น และเป็นยิ่งกว่าความอัศจรรย์ หลังจากเหตุการณ์ที่ฝนตกตามคำขอของญาติโยมวัดญาณฯ มาแล้วไม่นานว้น ขณะที่ญาติโยมพวกนั้นกลับจากวัดญาณฯ ไปรวมอยู่ใน “ห้องกระจก” วัดบวรนิเวศวิหาร มีสุภาพสตรีผู้หนึ่งเปิดประตูเข้าไปยืน พร้อมกับพูดขึ้นมาลอยๆ ไม่เจาะจงว่าพูดกับผู้ใด เธอพูดว่า “หลวงปู่ชอบท่านให้มาบอกห้องกระจกว่าท่านมาแล้ว จะให้ท่านพักที่ไหน” สุภาพสตรีผู้นั้นพูดเช่นนั้นจริงๆ ไม่มีผู้ใดเคยพบเธอมาก่อน ว่าเป็นใครมาจากไหน เธอไม่เคยเข้าไปใน “ห้องกระจก” เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเธอ แต่เธอก็เป็นผู้นำคำบอกเล่าที่ตื่นเต้นแปลกใจที่สุดสำหรับพวกเรา ทุกคนไม่ถามอะไรทั้งสิ้น ลุกขึ้นพร้อมกันและเดินตามเธอออกประตู “ห้องกระจก” ทันที และที่หน้าห้อง ตรงทางไปสู่ศาลา ๑๕๐ ปี ทุกคนก็ได้เห็นท่านพระอาจารย์ชอบ ฐานสโม นั่งหน้าสงบเฉยอยู่ในเก้าอี้เข็นที่ท่านนั่งประจำ เพราะท่านไม่เดินมานานปีแล้ว เมื่อพวกญาติโยมจาก “ห้องกระจก” เห็นตื่นเต้นเข้าไปกราท่าน ท่านก็มองเฉยๆ มิได้แสดงอะไรทั้งสิ้น เพราะท่านก็มิได้รู้จักญาติโยมเหล่านั้นสักคนเดียว การที่สุภาพสตรีผู้นั้นบอกเมื่อเข้าไปใน “ห้องกระจก” เป็นที่อัศจรรย์ใจผู้ได้รับฟังทุกคน “หลวงปูชองท่านให้มาบอกห้องกระจกว่าท่านมาแล้ว จะให้ท่านพักที่ไหน” เป็นไปได้อย่างไร ราวกับว่าท่านได้รับคำบอกกล่าวจากพวกห้องกระจกว่ามุ่งมั่นจะได้กราบท่านด้วยความสำนึกในพระเดชพระคุณอย่างจริงใจที่ท่านกรุณาให้น้ำตามคำขอ ทั้งที่ขณะนั้นท่านก็อยู่ถึงอเมริกา แสดงว่าหลวงปู่ท่านได้ทราบถึงใจกตัญญูรู้คุณของผู้ที่ซาบซึ้งพระคุณของท่านที่สุด จึงได้ตั้งใจจริงว่าจะไปกราบสำนึกพระคุณของท่านที่เมตตาให้น้ำตามคำขอ และที่ท่านอุตส่าห์ไปถึงวัดบวรนิเวศวิหาร ไปถึงผู้อธิษฐานจิต ที่เพียงคิดในใจ และมิได้บอกกล่าวผู้ใดก่อนนั้นเลย ท่านมา และตรงไป “ห้องกระจก” ทั้งยังบอกให้รู้ ว่าท่านมาแล้ว ใครฟังก็เหมือนมีผู้ไปอาราธนาท่านมา ท่านจึงมา เป็นความชื่นใจของผู้ได้รับพ้นพรรณนา หลวงปู่ท่านเมตตาอะไรเพียงนั้น ไม่ทำให้ต้องลำบากไปหาท่าน ท่านสู้มาหาถึงที่ทีเดียว ไม่ให้ซาบซึ้งไม่ให้ตื่นเต้นไม่ได้แล้ว หลวงปู่ท่านต้องรู้ ต้องเห็นจิตใจของผู้สำนึกในพระเดชพระคุณท่านแน่ จึงเมตตามาอนุโมทนา

ผู้คิดในแง่ดีเพื่ออบรมใจของตนให้มีความกตัญญูกตเวที ก็คิดว่าหลวงปู่ท่านรับรู้ความมีกตัญญูกตเวทีของผู้ได้รับเมตตาจากท่านที่ช่วยให้มีน้ำ และท่านได้แสดงให้ปรากฏว่าท่านทราบและอนุโมทนาชื่นชอบความมีจิตใจรู้บุญคุณที่ได้รับแล้ว สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงแสดงให้ปรากฏในพระพุทธศาสนาว่า “ความมีกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดีที่หาได้ยากยิ่ง” ผู้มีปัญญามีสัมมาทิฐิย่อมเห็นความสูงส่งมีค่าลำเลิศของคำทรงสอนนี้ ย่อมไม่ละเลยไม่แยแส หลวงปู่ชอบท่านพักอยู่ที่ศาลา ๑๕๐ ปี วัดบวรนิเวศวิหารคืนเดียว รุ่งขึ้นท่านก็กลับจังหวัดเลยวัดของท่าน ทิ้งความชื่นใจและกำลังใจไว้ให้ผู้มีโชคดีมีบุญได้ประจักษ์ชัดเจนในความมหัศจรรย์ของพระพุทธศาสนา ทำให้เกิดความมั่นใจ ว่าความรู้สึกนึกคิดหรือความมุ่งมาดปรารถนาในใจจริงของทุกผู้ทุกคนเป็นที่รู้แจ้งแก่ใจท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเกิดผลแล้วในพระพุทธศาสนา ความปรารถนาที่ปรากฏขึ้นในใจแต่ละผู้แต่ละคนจะเกิดผลสำเร็จเพียงใด มากหรือน้อยเพียงใด สำคัญที่ผู้ปรารถนาจะมีธรรมมีความดีในจิตใจเพียงใด

แสงส่องใจ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.
๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๗

พลังจิตหักกิ่งไม้

หลวงพ่อเคยใช้พลังจิตเพ่งหลอดไฟแตก นึกให้ต้นมะพร้าวหักมันก็หัก นึกให้กิ่งพะยอมหักมันก็หัก ในขณะ ที่เพ่งดูนี่ เราก็ไม่ได้ใช้พลังจิตอะไรทั้งนั้นแหละ เพียงแค่นึกว่าต้นมะพร้าวต้นนี้น่ะมันบังจั่วศาลา มองไม่เห็นเทพพนม เทวดาช่วยตัดออกให้ด้วย พอเสร็จแล้ว โอ๊ย! มันจะหักทับหัว ก็เดินหนีไป พอไปพ้น พอเดินไปห่างจากที่ยืนอยู่นี่ประมาณสัก ๒ วาเศษๆ ต้นมะพร้าวมันก็หักลงมาทับ ตรงทะลายมัน ทะลายผลมะพร้าว ทับตรงที่ยืน รอยเท้ายืนพอดี

ครั้งที่ ๒ ยายพวงไปได้กลดซึ่งเป็นมรดกของหลวงปู่พระครู วิโรจน์รัตโนบล (บุญรอด นนฺตโร) วัดทุ่งศรีเมือง ก็เอามาให้ ทีนี้เราก็ชื่นชมยินดีกับมรดกของครูบาอาจารย์ ก็เอากลดไปห้อยกับกิ่งพะยอม ไปนั่งสมาธิอยู่ นั่งได้ชั่วโมงเศษๆ พอเลิกนั่งสมาธิ มองดูกลด โอ๊ย! กิ่งพะยอมมันจะหัก ก็หุบเอากลดแล้วเดินขึ้นบนกุฏิซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ ๔-๕ วา พอไปเหยียบบันไดขั้นแรก กิ่งพะยอม ก็หักโครมลงมา

หลวงปู่ฝั้นท่านตำหนิ ท่านว่า “พระอะไรไปเที่ยวหาหักกิ่งไม้”
“อ้าว นึกเฉยๆ มันจะเป็นอาบัติอยู่หรือ”
“มันก็เป็นน่ะซิ มันมีเจตนา”

อภินิหารของการปฏิบัติธรรมนี่ เวลามันเกิด มันน่าหลงจริงๆ นะ นอกจากมันจะเกิดอะไรแปลกๆ ขึ้นมาให้เราหลงมัน แล้ว มันยังมีอีกสิ่งหนึ่ง มันอันตรายมากที่สุด คือเพศตรงข้าม พูดกับใครไม่ได้เลยทีเดียว ภายหลังมานี่ นึกว่าถ้าขืนเล่นต่อไป มันอันตราย ก็เลยห่างๆ หน่อย

อาจารย์ที่สอนสะกดจิตท่านก็เตือนว่า มาเรียนฝึกสะกดจิตแล้ว ทำให้เพศตรงข้ามติดอกติดใจนะ แล้วไม่เฉพาะ แต่เรียนสะกดจิต พระธุดงคกรรมฐานนี่ ถ้าใครภาวนาเก่งๆ มีภูมิจิตภูมิใจ สาวๆมันติดใจนะ มันอันตราย ลูกสาวพญามาร นางตัณหา นางราคา นางอรดี พระพุทธเจ้าจะเสด็จออกผนวช พวกนี้มันจะไปสกัดกั้น ไปพูดยั่วยวน ชวนให้หลงผิด คือกิเลสในใจนั่นแหละมันปรุงแต่งขึ้นมาเองด้วย แล้วมันก็เป็นธรรมชาติของสมาธิ สมาธินี่มันมีพลังอันหนึ่งคือความเมตตา ความเมตตานี่มีพลังสูง

ฐานิยปูชา ๒๕๕๑ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
http://www.palungdham.com

โลกอยู่ที่ไหนของจักวาล

พลังสะกดจิต

บางทีมีผู้สอนพลังจักรวาล หรือพลังแห่งการสะกดจิต พลังจักรวาลนี้มีแนวโน้มไปในทางสะกดจิต การสะกดจิต เท่าที่หลวงพ่อได้ศึกษามาด้วยตนเอง พอใครมาเรียนสะกดจิต พออาจารย์มอบอำนาจมอบพลังจิตให้ ออกจากอาจารย์ไปไม่ถึงชั่วโมง สามารถที่จะทำการสะกดได้ทันที อันนี้คือ การสะกดจิต

ทีนี้การสะกดจิตนี่ก็มีอำนาจ มีพลังมากเหมือนกัน เช่นอย่าง นักสะกดจิตเขาจะไปแสดงอิทธิฤทธิ์ของเขาที่ไหน เช่น มีผู้มาเชิญไปบรรยายหรือไปปาฐกถา เขาจะเอาคนในบ้านของเขาซึ่งเขาฝึกสะกดเอาไว้อย่างดีแล้ว เอามาสะกด พอสะกดให้หลับแล้วเขาจะสั่ง

“ฉันจะปลุกเสกเจ้าให้เป็นผู้ที่มีสมาธิ มีอิทธิพล มีอำนาจ เจ้าสามารถสะกดใครต่อใครให้นอนหลับก็ได้ วันพรุ่งนี้เวลา ๙ นาฬิกา ฉันจะไปปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยนั้น เวลาฉันไปถึงห้องประชุม ฉันกวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง ให้เจ้าไปสะกดคนในห้องประชุมให้นอนหลับให้หมด ใครปลุกก็ไม่ตื่น”

พอเขาสั่งเสร็จแล้ว เขาก็จะปลุกคนที่ถูกสะกดให้ตื่น ตื่นแล้ว เขาบอกว่าให้ลืมความหลังเสีย พอถึงเวลาเขาก็ไปตามนัด พอเขาโผล่หน้าเข้าไปในห้องประชุม กวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง คนในห้อง ๒๐๐ คนจะนอนหลับหมดทุกคน ใครปลุกก็ไม่ตื่นนอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น เวลาเขาจะปาฐกถา พอเขาประกาศว่า

“ทุกคนจงตื่นจากหลับ มาเตรียมฟัง ข้าพเจ้าจะปาฐกถา” คนเหล่านั้นจึงจะงัวเงียตื่นขึ้นมา

มหาวิทยาลัย… เจอมาแล้ว เขาก็มาเล่าให้หลวงพ่อฟัง เขาบอกว่า “ทำไมนักสะกดจิตเขาถึงได้เก่งนัก” “เขาเก่งอย่างไร” “เขาเดินไปในห้องประชุมของผม เขากวาดสายตาไปรอบๆ เด็กของ ผม ๒๐๐ คนนี่นอนหลับหมด ใครปลุกก็ไม่ตื่น”

หลวงพ่อก็บอกว่า ถ้าเราไม่รู้เรื่อง เรายอมรับว่าเขาเก่ง มันดีแล้ว หลวงพ่อก็เลยอธิบายให้เขาฟังอย่างนี้ตามที่ศึกษามา หลวงพ่อเรียนสะกดจิตจาก ดร. ไมเคิล แฟรงฟอร์ด ซึ่งเป็นหมอเภสัชกรรมสมัยโน้น ท่านผู้นี้เรียนเภสัชกรรม จบจากทางมหาวิทยาลัยอังกฤษ ระดับดอกเตอร์ ภายหลังมาเป็นโยมอุปัฏฐาก ก็มาเคี่ยวเข็ญให้หลวงพ่อเรียนสะกดจิต หลวงพ่อเห็นว่ามันอาจจะเป็นประโยชน์บ้าง หลวงพ่อก็เรียน ในขณะที่ปฏิบัติเคร่งๆ อยู่ มันมักจะเกิดอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ บางทีเดินไปเห็นต้นมะพร้าวมันขวางหูขวางตา ชี้มือ “หักลงเดี๋ยวนี้” มันจะหักโครมลงทันที กิ่งไม้ที่มันเกะกะบอกให้มันหัก มันก็หัก

อันนี้คืออำนาจของการสะกดจิต มันก็เป็นสมาธิอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน แต่ผู้ปฏิบัติผู้เรียนมุ่งที่จะให้เป็นประโยชน์ในปัจจุบัน เพื่อให้เป็นหมอดูบ้าง เป็นหมอรักษาคนไข้บ้าง อะไรทำนองนี้ อันนี้เป็นวิถีทางการสร้างพลังจิต

ฐานิยปูชา ๒๕๕๑ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
http://www.palungdham.com

ย่นระยะทางแบบไอน์สไตน์

เรื่องการย่นระยะทางนี้ พุทธศาสนิกชนในเมืองไทยคงได้รับรู้กันมาบ้างไม่มากก็น้อย

ในกรณีที่ว่านี้ ถ้าเป็นพุทธทั่วไปกับพุทธปฏิบัติธรรมก็จะมีความเชื่อว่า การย่นระยะทางพระอรหันต์ พระเกจิอาจารย์ หรือผู้ทรงวิทยาคุณสามารถทำได้จริงๆ

กลุ่มที่เป็นพุทธวิชาการซึ่งเรียนมาก และหลงเชื่อวิทยาการสมัยใหม่มากตามไปด้วย ซึ่งส่งผลให้เลือกเชื่อพระไตรปิฎกในบางส่วนเท่านั้น จึงมักจะไม่เชื่อเรื่องการย่นระยะทาง

พุทธวิชาการเหล่านี้ ไม่เชื่อและไม่ยอมรับว่า การย่นระยะทางสามารถทำกันได้

แต่อย่างไรก็ดี ปัจจุบันนี้ ความรู้ที่ว่าฟิสิกส์ใหม่ โค่นทฤษฎี (theory) หรือกฎ (law) ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนไปหมดแล้ว

เริ่มส่งผลในวงวิชาการของไทย คือ ในต่างประเทศเขารู้กันมานานแล้ว ว่า ทฤษฎี (theory) หรือกฎ (law) ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเป็นความรู้แคบๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่เคยหลงเชื่อกัน
ไอส์สไตน์ผู้บุกเบิกฟิสิกส์ใหม่

ความรู้ที่ว่านี้ เริ่มมาส่งผลในเมืองไทย คือ มาช้าหน่อย ก็ดีกว่าไม่มา

องค์ความรู้ของฟิสิกส์ใหม่ที่ยอมรับกันในปัจจุบัน มีลักษณะที่เหมือนกันกับองค์ความรู้ในศาสนาพุทธหลายอย่างหลายประการ

ที่สอดคล้องกับมากที่สุดก็คือ ความจริงของฟิสิกส์ใหม่กับความจริงของศาสนาพุทธขัดแย้งกับสามัญสำนึก (common sense) ของมนุษย์

เรื่องของการย่นระยะทางนี่ก็เช่นเดียวกัน นักฟิสิกส์รุ่นใหม่เชื่อว่าทำได้จริง และสามารถพิสูจน์ได้ให้เห็นแบบจะจะ โดยทฤษฎีสัมพัทธภาพ (relative theory) ของไอน์สไตน์

ก่อนที่จะอธิบายถึงการย่นระยะทางแบบฟิสิกส์ใหม่ ต้องขออธิบายเรื่องความหมายของคำว่า “ย่นระยะทาง” เสียก่อน เพราะ คนจำนวนมากที่คิดว่า การย่นระยะทางเป็นไปไม่ได้เนื่องจากว่า เข้าใจความหมายของคำศัพท์แตกต่างกัน

คำว่า ย่นระยะทางนี่ไม่ได้หมายถึง การทำให้หนทางหดสั้นลง หรือย่อโลกให้หดสั้นลง แต่หมายถึงว่า ใช้เวลาในการเดินทางน้อยลงกว่าเดิมที่เคยทำกันมา

คือ ย่นเวลา ไม่ใช่ย่นทาง

ตัวอย่างที่ 1
ในสมัยที่ผมเป็นเด็กๆ การจะเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดชัยนาทบ้านเกิดของผมนี่ จะต้องใช้ถนนพหลโยธิน

ออกจากกรุงเทพฯ ก็ไปสระบุรี ลพบุรี โคกสำโรง ตากฟ้า ตาคลี ถึงจะไปชัยนาทได้ แต่เมื่อมีการตัดถนนสายเอเชียขึ้น ทำให้เป็นการย่นระยะทางได้มาก

จากกรุงเทพฯไปชัยนาทปัจจุบันใช้เวลาประมาณ 2 -3 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ถ้าเป็นสมัยก่อนต้องใช้เวลาเป็นวันๆ

นี่ก็หมายถึงว่า การย่นระยะทางไม่ได้เป็นการทำให้ถนนพหลโยธินมันหดสั้นลง แบบย่นย่อโลกแบบนั้น แต่มีการทำทางใหม่

การเดินทางด้วยถนนเส้นใหม่นั้น ใช้เวลาน้อยลงจากเดิม จึงเรียกว่าการย่นระยะทาง

ตัวอย่างที่ 2

null

เอาตัวอย่างทางน้ำบ้าง ผมนี่เรียนปริญญาโทกับปริญญาเอกอยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงคุ้นกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี

แม่น้ำเจ้าพระยาจากปากคลองบางกอกน้อยตรงข้างสถานีรถไฟบางกอกน้อย ซึ่งตรงข้ามกับธรรมศาสตร์ ไปจนถึงปากคลองบางกอกใหญ่ข้างๆ วัดอรุณฯ นี่เมื่อก่อนเป็นพื้นดินนะครับ ไม่ได้เป็นแม่น้ำเจ้าพระยาเหมือนปัจจุบัน

แม่น้ำเจ้าพระยาตัวจริงเสียงจริง เลี้ยวเข้าคลองบางกอกน้อยโค้งเป็นรูปเกือกม้าแล้วมาวกมาออกที่ปากคลอง บางกอกใหญ่ แถวๆ กรมอู่ทหารเรือ ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชแห่งกรุงศรีอยุธยา (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2077-2089) มีการขุดคลองลัดตรงนี้

พอมีการขุดคลองลัดให้น้ำไหลตรงๆ จากคลองที่เล็กๆ แคบๆ จึงถูกน้ำกัดเซาะใหญ่ขึ้นมาเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาตัวจริงเสียงจริงในปัจจุบัน

ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมก็กลายเป็นคลองบางกอกน้อยกับคลองบางกอกใหญ่ไป

การขุดคลองลัดนี่ก็ทำให้ย่นระยะทางได้มากอีกเช่นเดียวกัน

จะเห็นได้ว่า การย่นระยะทางที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นการใช้เวลาเดินทางในเวลาที่น้อยลงกว่าเดิม ไม่ได้หมายถึงว่า จะทำให้ผิวโลกย่นสั้นลง ถ้าทำแบบนั้น บ้านช่องของคน ฯลฯ ตรงส่วนรอยย่นจะไปอยู่ที่ไหน คงจะถูกบีบอัดตายไปกันหมด

โดยสรุป..
การย่นระยะทางไม่ได้หมายถึงทำให้ระยะทางสั้นลง แต่หมายถึงการใช้ระยะเวลาในการเดินทางน้อยลงไป การย่นระยะทางนี้ นักปริยัติ/พุทธวิชาการไม่เชื่อว่า “สามารถทำได้จริง..

การย่นระยะทางของเกจิอาจารย์

โดยปกติ บุคคลที่เราคิดว่า สามารถย่นระยะทางได้นั้น ควรจะเป็นระดับพระอรหันต์ แต่ในปัจจุบันนี้ เราไม่ทราบว่า พระอรหันต์ที่สามารถย่นระยะทางมีอยู่หรือไม่

พระอรหันต์ที่นับถือกันในปัจจุบันนี้ ก็เห็นเดินทางกันโดยรถยนต์เป็นส่วนใหญ่ เลยไม่รู้ว่าท่านย่นระยะทางได้หรือไม่

เท่าที่ได้รับฟังในปัจจุบันนี้ จะได้รับฟังแต่เพียงว่า มีเกจิอาจารย์ท่านนั้น ท่านนี้ สามารถย่นระยะทางได้ เท่านั้น

ดังนั้น ก็จะยกตัวอย่างสัก 2-3 ตัวอย่างจากการย่นระยะทางของเกจิอาจารย์ ดังนี้

null

ตัวอย่างที่ 1 การย่นระยะทางของหลวงพ่อกลั่น

หลวงพ่อกลั่นท่านสังกัดวัดพระญาติการาม จังหวัดอยุธยา ครั้งหนึ่งเจ้าภาพที่อยู่บ้านม้านิมนต์ท่านไปเป็นพระคู่สวด โดยนิมนต์พระญาณไตรโลก (ฉาย คงฺคสุวณฺโณ) เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิง และเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นพระอุปัชฌาย์

การเดินทางสมัยนั้นต้องใช้รถไฟเป็นหลัก สถานีบ้านม้านี่ห่างจากสถานีรถไฟพระนครศรีอยุธยาไปเพียงสถานีเดียว

สถานีบ้านม้านี่แหละทำให้เกิดสำนวนที่ว่า “บ้านม้ากับภาชีก็คือกัน”

ที่อยุธยานี่มีทั้งสถานีบ้านม้าที่จะเล่าในเรื่องนี้ กับสถานีชุมทางบ้านภาชี ซึ่งห่างกันพอสมควร สถานีชุมทางบ้านภาชีนี่ รถไฟที่จะไปสายอีสานจะมาแยกตรงนี้

มีเรื่องเล่ากันว่า มีคนอีสานจะไปสถานีบ้านภาชี คนนี้แกเก่งภาษาพอตัวเหมือนกัน แต่ไม่ได้เก่งเรื่องอื่นๆ ด้วย พอรถไฟวิ่งมาถึงสถานีบ้านม้า ก็หลุดปากออกมาว่า “บ้านม้ากับภาชีก็คือกัน” แล้วก็ชวนเพื่อนๆ ลงที่สถานีบ้านม้ากันหมด

แต่ถึงแม้ว่า “ภาชี” จะแปลว่า “ม้า” แต่มันก็เป็นคนละสถานีกัน

สรุปว่า ทั้งผู้ที่เก่งภาษากับเพื่อนๆ ก็ต้องเดินจนเหงื่อตก พร้อมถูกพรรคพวกด่าไปอีกนานกว่าจะถึงสถานีบ้านภาชี

กลับมาเข้าเรื่อง
คณะของพระญาณไตรโลก (ฉาย) รอหลวงพ่อกลั่นที่สถานีพระนครศรี อยุธยาจนรถไฟออกก็ยังไม่เห็นหลวงพ่อกลั่น เมื่อรถไฟแล่นออกจากสถานีแล้ว จึงเห็นหลวงพ่อกลั่นเดินดุ่มๆ อยู่แต่ไกล

ในเรื่องเล่าไม่ได้บอกว่า เดินอยู่เหนือสถานีรถไฟหรือใต้สถานีรถไฟ คือ ยังเดินมาไม่ถึง หรือไม่สนรถไฟคือ ท่านจะเดินไปทำนองนั้น

เมื่อพระญาณไตรโลก (ฉาย) เห็นเช่นนั้น ก็กล่าวขึ้นว่า “เออ…อาจารย์กลั่น มั่วงกๆ เงิ่นๆ อยู่นั่นแหละ วันนี้ไม่ต้องฉันเพลกันล่ะ”

แต่เมื่อพระญาณไตรโลก (ฉาย) มาถึงวัดที่จัดงานบวช ก็เห็นหลวงพ่อกลั่นนั่งเอกเขนกเหงื่อชุ่มกายอยู่บนบ้านเรียบร้อยแล้ว คือ คนเดินมาน่าจะถึงช้ากว่าคนที่มารถไฟ แต่ปรากฏว่า คนเดินมา มาถึงก่อน

สอบถามได้ความว่า หลวงพ่อกลั่นเดินทางมาถึงได้สักครู่หนึ่งแล้ว

พระญาณไตรโลก (ฉาย) เห็นดังนั้น จึงรู้ว่า หลวงพ่อกลั่นสามารถย่นระยะทางได้ มีบุญบารมีมากว่าตัวเอง จึงได้อาราธนาให้หลวงพ่อกลั่นนั่งเป็นพระอุปัชฌาย์แทนท่าน ส่วนท่านก็ลดตำแหน่งมานั่งเป็นพระคู่สวด
เรื่องนี้ถ้าให้พุทธวิชาการลงความเห็น ท่านก็คงว่า มีคนรับหลวงพ่อกลั่นมา อาจจะเป็นขี่ม้า ขี่ช้าง ฯลฯ ท่านก็จะเดามั่วตามหลักของท่านไป

แต่ท่านมีการศึกษาสูง การเดามั่วของท่านจึงได้รับการยอมรับอยู่ในยุคของท่าน แต่สมัยนี้ คนไม่เชื่อท่านแล้ว ดังที่จะพิสูจน์ต่อไปข้างหน้า

null

ตัวอย่างที่ 2 การย่นระยะทางของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท

เรื่อง นี้ก็ยังคงเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อกลั่น ซึ่งเรื่องนี้ต้องเรียกหลวงปู่กลั่น กล่าวคือ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ และหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติการาม จังหวัดอยุธยา ทั้ง 3 รูปท่านเป็นเพื่อนกัน ไปมาหาสู่กันเสมอๆ

แต่เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ มีตัวละครแค่หลวงปู่ศุขกับหลวงปู่สี

กล่าวคือ ครั้งหนึ่งหลวงปู่สีไปเยี่ยมหลวงปู่ศุขที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า และอยู่สนทนาธรรมกัน

เมื่อเยี่ยมเยียนกันพอสมควรแล้ว หลวงปู่สีก็ดำริว่าจะออกเดินธุดงค์ต่อไป แต่หลวงปู่ศุขก็ขอร้องให้หลวงปู่สีรออยู่ที่วัดก่อน

เช้าวันนั้นหลวงปู่ศุขออกไปบิณฑบาตตามปกติ ฝ่ายหลวงปู่สี พอเห็นหลวงปู่ศุขไปแล้วท่านก็เก็บของของท่านที่จำเป็น แล้วออกเดินทางไป

เมื่อหลวงปู่ศุขกลับจากบิณฑบาต ทราบจากพระในวัดว่าหลวงปู่สีท่านไปแล้ว หลวงปู่ศุขจึงให้พระเณรฉันข้าวก่อน เดี๋ยวจะกลับมาฉันด้วย

ต่อจากนั้นท่านก็เข้ากุฏิ นำพระคัมภีร์ 3 เล่ม ตามไปให้หลวงปู่สี ปรากฏว่าพระอาจารย์ทั้งสองรูปมาพบกันที่ตาคลี

จากนั้นหลวงปู่ศุขท่านก็เดินทางกลับวัดที่ชัยนาท ไปฉันอาหารร่วมรับพระเณรจนเสร็จ

ระยะทางจากวัดปากคลองมะขามเฒ่าถึงตาคลีนี่ประมาณ 40-50 กิโลเมตร ถ้าหลวงปู่ทั้ง 2 รูปย่นระยะทางไม่ได้ ท่านก็ไม่สามารถทำเวลาได้ขนาดนั้น และหลวงปู่ศุขก็คงไม่ได้ฉันเพลทั้ง 2 วันเลยก็อาจเป็นได้

โดยสรุป หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ จังหวัดอยุธยา หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท และหลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ สามารถย่นระยะทางได้ทั้ง 3 รูป

การย่นระยะทางของพระพุทธเจ้า
จากหัวข้อที่ผ่านมา ขนาดพระภิกษุในสมัยต้นๆ กรุงรัตนโกสินทร์ยังสามารถย่นระยะทางได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าก็ต้องย่นระยะทางได้เช่นเดียวกัน แต่ไม่มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจนเท่านั้น

แต่มีผู้คนผู้ช่างสังเกตจะเห็นว่า ในการเผยแพร่ศาสนาของพระพุทธเจ้านั้น น่าจะมีการบันทึกผิด เพราะ แต่ละแคว้นที่พระพุทธเจ้าไปเทศนานั้น มันห่างกันมาก ไม่มีทางที่จะเดินทางได้ภายในวันเดียว

แคว้นที่พระพุทธเจ้าเผยแพร่ศาสนาอยู่ก็มีดังนี้ แคว้นโกลิยะ แคว้นสักกะ แคว้นมัลละ แคว้นวัชชี แคว้นมคธ แคว้นกาสี แคว้นวังสะ แคว้นโกศล เป็นต้น

เมื่ออ่านบทความชิ้นนี้จบแล้ว ผู้อ่านก็คงจะมีแนวคิดใหม่ขึ้นว่า คนที่ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าย่นระยะทางได้ อาจจะเข้าใจผิดก็ได้ เพราะ การย่นระยะทางมันทำกันได้จริงๆ และสามารถพิสูจน์ได้ด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์เสียด้วย

การย่นระยะทางทำกันอย่างไร

เท่าที่ศึกษามา กลุ่มบุคคลที่เห็นการย่นระยะทางของเกจิอาจารย์ต่างๆ ต่างก็บอกว่า เกจิอาจารย์เหล่านั้นก็เดินด้วยความเร็วปกติของท่าน แต่คนอื่นๆ ตามท่านไม่ทันเอง

ก็น่าจะเป็นกรณีที่คล้ายกับตอนที่องคุลีมาลย์ไล่ตามพระพุทธเจ้าเพื่อจะตัด เอานิ้วมาร้อยมาลัยคล้องคอ พระพุทธเจ้าก็ทรงเดินธรรมดา แต่องคุลีมาลย์ก็ตามไม่ทัน

ที่ทำได้เช่นนั้น เพราะ พระภิกษุเหล่านั้น ซึ่งรวมถึงพระพุทธเจ้าด้วยมีฤทธิ์ ซึ่งหนังสือทิพยอำนาจ ของอดีตพระอริยคุณาธาร (เส็งปุสโส) อธิบายว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงฤทธิ์ว่ามี 10 ฤทธิ์ด้วยกัน คือ
พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส)

1) อธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่ต้องอธิษฐานจิตเสียก่อน
2) วิกุพพนาฤทธิ์ เป็นฤทธิ์ที่แสดงอย่างโลดโผนผาดแผลง
3) มโนมัยฤทธิ์ ฤทธิ์ที่สำเร็จด้วย
4) ญานวิปผาราฤทธิ์ ฤทธิ์ที่แสดงด้วยติลังญาณ หรือวิปัสสนาญาณ
5) สมาธิผาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยอำนาจสมาธิ
6) อริยฤทธิ์ ฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยอริยธรรม
7) กัมมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดแต่ผลกรรม
8) ปุญญฤทธิ์ ฤทธิ์ของผู้มีบุญ
9) วิชชามัยฤทธิ์ สำเร็จด้วยวิทยา
10) สัมปโยคปัจจัยยิชฌนฤทธิ์ หมายถึงการรวบรวมกำลังใจเอาความดีชนะความชั่วได้

การย่นระยะทางเรียกว่า สันติเดภาพฤทธิ์ซึ่งอยู่ในข้อที่ 1 อธิษฐานฤทธิ์ เป็นฤทธิ์ที่ต้องอธิษฐานจิตเสียก่อน

พูดให้ง่ายๆ ก็คงต้องว่า ใครที่มีฤทธิ์นี้อยู่ ต้องอธิษฐานจิตเสียก่อน แล้วจึงจะเดินทางได้เร็วขึ้น ถึงจะใช้ความเร็วเท่าเดิม

เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนเราไปเดินบนทางเลื่อนแถวๆ มาบุญครอง ถึงแม้เราจะเดินด้วยความเร็วธรรมดา เราก็เดินทางได้เร็วกว่าเดิม และเร็วกว่าคนที่เดินอยู่ข้างๆ ทางเลื่อน ทำนองนั้น

มิวออน: ผู้ย่นระยะทางได้
มิวออน (muou) เป็นชื่อเล่นหรือ nickname ของอนุภาคมิว-เมซอน (mu-meson) มิวออนนี่ นักวิทยาศาสตร์ตรวจพบได้ที่ระดับน้ำทะเล

สิ่งที่จะพิสูจน์ได้ว่า มิวออนมันสามารถย่นระยะทางได้ก็คือ มิวออนนี่มันไม่ได้เกิดที่ระดับน้ำทะเล แต่มันเกิดที่ความสูงจากโลกอย่างต่ำต้อง 6 กิโลเมตรเป็นต้น

พูดง่ายว่า มิวออนมันเกิดบนฟ้า แล้วลงมาเที่ยวที่ระดับน้ำทะเล

บางคนอ่านแล้ว ไม่เห็นจะแปลกประหลาดอะไรเลย

สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ คุณมิวออนนี่แกอายุสั้นครับ มีอายุเฉลี่ยประมาณ 2 ไมโครวินาที (micro second)

ดังนั้น ถ้าคุณมิวออนแกสามารถเดินทางด้วยความเร็วแสงคือ 186,000 ไมล์ต่อวินาที หรือ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที คุณมิวออนแกก็จะเดินทางได้เพียงประมาณ 600 เมตรเท่านั้น

ดังนั้น เมื่อดูอายุของคุณมิวออน และระยะทางที่คุณมิวออนสามารถทำได้แล้ว คุณมิวออนแกมาเที่ยวเตร่อยู่แถวระดับน้ำทะเลให้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบได้อย่าง ไร

การคำนวณด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพ
ทฤษฎีสัมพัทธภาพนี่ หลักพื้นฐานขัดกับหลักของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนอย่างฟ้ากับ ดินเลยทีเดียว

วิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเห็นว่า “ความจริง” นั้น เป็นสิ่งที่อยู่นอกตัวมนุษย์ ความจริงหนึ่งๆ นั้น ใครก็สามารถเข้าไปค้นหาได้ และผลที่ออกมาก็ต้องตรงกัน

อิทธิพลของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนทำให้เกิดคำว่า [objective/วัตถุวิสัย/ปรนัย] กับ [subjective/จิตวิสัย/อัตนัย]

Newton ผู้บุกเบิกวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอน
การศึกษาแบบวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนต้องเป็นแบบ [objective/วัตถุวิสัย/ปรนัย]

การศึกษาแบบไหนที่เป็น [subjective/จิตวิสัย/อัตนัย] มักจะได้รับการดูถูกว่า เป็นการศึกษาที่ไม่สามารถจะให้ความจริงแท้ได้ เพราะติดกับความลำเอียงของแต่ละบุคคล

แต่หลักพื้นฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพหรือของฟิสิกส์ใหม่นี่ ยืนยันชัดๆ ว่า ความจริงต้องขึ้นกับตัวบุคคล ไม่อย่างนั้น จะรู้ได้อย่างไรว่า จรวดลำไหนเร็ว ลำไหนช้า

ปรากฏการณ์เดียวกัน สามารถมีความจริงได้หลายแบบหลายอย่างได้ ขึ้นอยู่กับตัวผู้สังเกตการณ์

ดูเหมือนกับว่า หลักพื้นฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพหรือของฟิสิกส์ใหม่จะมั่ว แต่ไม่มั่วครับ เพราะ สามารถพิสูจน์ได้ด้วยสูตรของทฤษฎีสัมพัทธภาพ

ในการศึกษาปัจจุบันก็พบเห็น เหตุการณ์ที่ยืนยันว่า หลักพื้นฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพหรือของฟิสิกส์ใหม่ดังกล่าวเป็นความจริงที่ ยอมรับได้โดยทั่วไป

มิวออนอายุยืนยาวขึ้น
ในการคำนวณครั้งแรกนี้ สมมุติว่า ผมกับผู้อ่านกำลังอยู่บนโลก สังเกตการณ์ชีวิตของคุณมิวออน พอเกิดมาปุ๊บ แกก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินทางมาโลก

คุณมิวออนนี่แกเดินทางได้เร็วมาก เกือบเท่าแสงเลยทีเดียว คือ ด้วยความเร็ว 0.998 เท่าของความเร็วแสง สรุปว่าช้ากว่าแสงนิดเดียว

จากความรู้ของทฤษฎีสัมพัทธภาพ เรารู้ว่า ใครก็ตามถ้าเดินทางด้วยความเร็วใกล้ๆ แสง เช่น คุณมิวออนนี่แหละ เวลาของเขาจะช้าลง คือ แก่ช้า

การแก่ช้าก็คือ มีชีวิตยืนยาวไปด้วย คุณมิวออนนี่ด้วยความเร็วของเขา จะทำให้ชีวิตของเขายืนยาวไป เท่ากับ 15.8 X 2 ไมโครวินาที ก็คือ 31.6 ไมโครวินาที

เมื่อมีอายุยืนยาวขึ้นตั้งหลายเท่าตัว จาก 2 ไมโครวินาที เป็น 31.6 ไมโครวินาที เพราะ คุณมิวออนเดินทางได้เร็วใกล้ๆ กับแสง ดังนั้น มิวออนก็สามารถเดินทางได้ประมาณ 9.5 กิโลเมตร

จากที่กล่าวมาข้างต้น ก็พอสรุปสั้นๆ ในช่วงนี้ได้ว่า คุณมิวออน ถ้าแกเกิดมาปุ๊ป ขี้เกียจไปไหน อยู่นิ่งๆ มิวออนก็จะมีอายุได้ 2 ไมโครวินาที คือ เกิดมาปุ๊บก็ตายปั๊บเลย

แต่ถ้ามิวออนขยัน อยากมาเที่ยวโลก ด้วยความเร็วของเขา ทำให้อายุยืนยาวมากขึ้น และสามารถเดินทางได้ถึง 9.5 กิโลเมตร

ดังนั้น การที่มิวออนเกิดบนฟ้าตั้งแต่ระยะ 6 กิโลเมตรขึ้นไป มาปรากฏตัวอยู่ที่ระดับน้ำทะเลในโลกจึงเป็นไปได้ด้วยการคำนวณตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ

มิวออนย่นระยะทาง
ในการคำนวณครั้งที่สองนี้ สมมุติว่า ผมกับผู้อ่านอยู่ในจรวดที่มีความเร็วเกือบเท่าแสงเหมือนกันกับคุณมิวออน

แตกต่างกันที่ เราต้องไปด้วยจรวด แต่คุณมิวออนไปด้วยตัวของแกเอง และไปอยู่บนฟ้า ใกล้ๆ กับคุณมิวออนโน่น

ที่นี้การคำนวณของทฤษฎีสัมพัทธภาพต้องแตกต่างออกไป กล่าวคือ เราจะไปคิดว่า คุณมิวออนมีอายุยืนไม่ได้

คุณมิวออนจะต้องมีอายุแค่ 2 ไมโครวินาทีเท่านั้น เพราะ เราอยู่คนละกรอบอ้างอิงของคนในโลก

ที่นี้จะใช้สูตรไหนคำนวณล่ะ

ก็ใช้สูตรเดียวกันกับสูตรที่ผ่านมา แต่ต้องเปลี่ยนวิธีคิด กล่าวคือ เราสามารถคิดได้ว่า เรากับมิวออนอยู่นิ่งๆ แต่โลกเคลื่อนที่เข้าไปหาเรา [อย่าเพิ่งงง ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพคิดได้อย่างนี้จริงๆ]

ด้วยหลักการที่ว่า การที่คุณมิวออนมีอายุแค่ 2 ไมโครวินาที และสามารถเดินทางได้เพียง 600 เมตร แต่มาปรากฏตัวบนโลกที่ระดับน้ำทะเลได้ ก็แสดงว่า คุณมิวออนย่นระยะทางได้นั่นเอง

[สูตรการคำนวณในส่วนนี้ ขอให้อ่านรายละเอียดในหนังสือแฟนพันธุ์แท้ไอน์สไตน์ ของบัญชา ธนบุญสมบัติ หน้า 36-38]

สรุป
โดยสรุป จะเห็นได้ว่า การย่นระยะทางสามารถทำได้จริงๆ และมีคุณมิวออนทำอยู่เป็นประจำ ถ้าอยากจะรู้ก็ไปสังเกตไปพิสูจน์เอาเอง

ดังนั้น การที่พระอรหันต์ หรือเกจิอาจารย์ หรือผู้ทรงวิทยาคุณต่างๆ สามารถฝึกจิตของท่าน จนสามารถทำให้ท่านย่นระยะทางได้ ก็ควรจะเป็นความจริงที่ยอมรับได้

แต่วิธีการย่นระยะทางทำกันยังไง ก็ไปศึกษากันเองครับ ผมเองก็ยังทำไม่ได้เหมือนกัน ถ้าทำได้แล้วละก้อ น้ำมันลิตรละ 100 บาท ผมก็ไม่เดือดร้อน…

http://eiesteinshortdistances.blogspot.com

นั่งภาวนาตัวลอยขึ้นๆ

ผู้กำกับ ข้อ ๒.ครับ เกือบทุกครั้งที่นั่งสมาธิ จิตของหลานมักจะจำอาการของปีติที่เคยเกิดขึ้น คืออาการตัวลอย จิตจะเป็นไปเองทุกครั้ง แล้วก็ไปนิ่งสบาย สงบลุ่มลึกไปเรื่อยๆ อย่างนี้จะถูกหรือไม่ หลวงตาช่วยแนะนำด้วยครับ (จาก ดนัย)

หลวงตา เอ้าทำไป มันจะลอย มันจะเหาะขึ้นฟ้าแข่งนกเขาบ้างซิเป็นอะไร เรื่องนี้ก็มีอยู่ในธรรมแล้ว พวกปีติห้าหรืออะไร แต่ว่าตัวลอยมีในปีติ ทุกวันนี้ก็มีนะ พระก็มี ฆราวาสก็มี นั่งภาวนานี้ตัวลอยขึ้นไป ทุกวันนี้ยังมี นี่ก็เป็นปีติประเภทหนึ่ง ผิดไหมพระพุทธเจ้าสอนไว้ เวลานั่งภาวนาตัวลอยขึ้นๆ กำหนดเมื่อไรขึ้นเรื่อย ถ้าค่อยปล่อยมันก็ลง อย่างที่ท่านอาจารย์เสาร์ท่านขึ้นตัวลอย อย่างพระทุกวันนี้มีนะ ฆราวาสก็มี นี่ละธรรม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฆราวาสกับพระ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้หญิงผู้ชาย ขึ้นอยู่กับที่หัวใจไม่มีเพศอย่างเดียวกัน ใจไม่มีเพศ เท่านั้นแหละ หมดแล้วเหรอ

โยมถาม ตัวลอยเองเกิดจากการภาวนา แล้วอย่างท่านพ่อลีที่ท่านสามารถทำให้พระอีกองค์ลอยขึ้นได้

หลวงตา พลังจิตทำให้ขึ้น พลังจิตของท่านมี ลูกศิษย์ของท่านชื่อมนูญ อาจารย์เฟื่องเป็นผู้เล่าให้ฟัง เพราะอาจารย์เฟื่องอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย นั่งด้วยกันสามคน ท่านว่า ไอ้นูญคนหนึ่ง ชื่อย่อ ๆ นูญ แล้วอาจารย์เฟื่องก็นั่งด้วยกัน คุยกันไปมา “เอ้านูญนั่ง จะให้ขึ้น” เด็กคนนั้นก็ปุ๊บปั๊บนั่งขัดสมาธิ ทางนี้ก็เอาขึ้นๆ ท่านทำมืออย่างนี้ อาจารย์เฟื่องดู “เอ้าขึ้นๆๆ” ใจของท่านดันอยู่นั่น ทางนี้ขึ้นเลย ขึ้นๆ พอสมควรแล้วท่านให้ลง ก็ค่อยลง ทางนี้ก็คิดกึ๊กกั๊ก นี่ท่านให้เด็กคนนี้ขึ้นแล้วเดี๋ยวท่านจะมาให้เราขึ้น ทีนี้เราจะไม่ขึ้น ว่างั้นนะ จะฝืนท่าน จะไม่ให้ขึ้น สักเดี๋ยวก็ “เอาเฟื่อง” นั่นว่าแล้ว

ทางนี้ก็ตั้งท่ากำหนด เอาๆ ขึ้น โอ้โห ตัวโยกคลอน มันจะขึ้นจริงๆ นะ ถ้าหากว่ารอไปสักนิดหนึ่งขึ้นเลย แต่นี้ท่านขี้เกียจ ท่านว่าขึ้นๆ มันจะขึ้นจริงๆ ทางนี้กำหนดไว้ไม่ให้มันขึ้น ท่านกำหนดอะไรก็แล้วแต่ท่านละ ท่านบอกกำหนดไว้ไม่ให้ขึ้น บังคับตัวเองไม่ให้ขึ้น แต่ตัวของเรานี้โยกคลอน มันจะขึ้นจริงๆ สักเดี๋ยวท่านก็เลยหยุด ว่าหัวดื้อ ท่านบอกว่าหัวดื้อ ก็คือตัวโยกมันจะขึ้น ถ้าหากว่าอีกสักนิดหนึ่งขึ้นเลยว่างั้น จะสู้กับท่าน ต่อสู้กับท่าน แต่ท่านก็ทำเท่านั้นท่านก็เลยหยุดมันก็เลยไม่ขึ้น พอไม่ขึ้นท่านก็ว่า หัวดื้อ ท่านยิ้มนิดหนึ่ง

เราก็ยอมรับขึ้นจริงๆ ว่างั้น ถ้าเราฝืนกับท่านไปไม่นานละขึ้น แต่นี้ท่านทำ เราฝืนท่านก็หยุด แต่ไอ้เด็กคนนั้นขึ้นจริงๆ เราดู เอ้าขึ้นๆ ๆ ท่านทำมืออย่างนี้ด้วย เอ้าขึ้นๆ ๆ ขึ้นเลย นั่นกำลังจิต หันมาทางนี้บอกให้ขึ้นๆ ท่านกำหนดไม่ให้ขึ้น แล้วตัวโยก ไหวอยู่งี้มันจะขึ้น สักเดี๋ยวท่านก็หยุด นี่อาจารย์เฟื่องเล่าให้ฟัง สำหรับนักภาวนามี ทุกวันนี้มีตัวลอยมี พอกำหนดให้ขึ้น ขึ้นเลย ถ้ากำหนดให้ขึ้น ขึ้นเรื่อยละ ถ้าผ่อนก็ค่อยเบาลง

http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2930&CatID=2
(คัดลอกมาส่วน)

เพ่งเครื่องบิน

บรรดาครูบาอาจารย์นี้ ท่านอาจารย์ฝั้นที่น่าเคารพ น่ารัก น่ากราบ ไหว้บูชาทุกอย่าง เรารักท่านนะ ไม่เพียงแต่ความเคารพเลื่อมใสยังรักท่านอีก โอ๊ย หายากนะ พูดถึงเรื่องกำลังจิตนี้สำคัญมาก ท่านอาจารย์ฝั้นกำลังใจสำคัญ ท่านพูดให้ฟัง ท่านยังหวาดเสียวอยู่นะ เราไม่ลืม ปีสงครามโลกเขามาทิ้งระเบิดที่สถานีรถไฟโคราชสถานีใหญ่นั่น พวกนายทหารเขาก็เข้ามาหาท่าน ท่านพูดดูเป็นลักษณะตื่นเต้นหวาดเสียว มันเผลอไปได้ยังไงท่านว่าอย่างนั้น เขามาพูดเราก็ฟังนิ่งๆ ก็เท่ากับรับเขานั่นแหละ

คือถึงเวลาประมาณ ๖ ทุ่มล่วงไปแล้วเครื่องบินใหญ่จะมา แล้วเขาจะมาโยนระเบิดลงที่สถานีรถไฟ มันแหลกหมดแล้วเขามาทุกคืน มาโยนระเบิดลงตรงนั้น พอเรานิ่งๆ แล้วเขาก็ว่าเรารับ เรารับในใจจริงๆ นะ นี่ซิมันน่าคิดเอามากมาย มันก็มาดลบันดาล ท่านว่าอย่างนั้นนะ พอถึงเวลาแล้วเราก็ไปเดินจงกรม ถ้าเครื่องบินมาจะเพ่งเครื่องบิน เพ่งแล้วมันต้องตก ตกคนอยู่นั้นตายหมด ถ้าเพ่งยังไงมันต้องตก พอจิตเพ่งปึ๋งนี้ก็ลงตูมเลย แล้วคนอยู่นั้นตายหมดอะไรตายหมด คนตายหมดนี้ซิ มันทำไมระลึกไม่ได้ มันแปลกเอาเหลือเกิน ท่านว่า พูดแบบตื่นเต้นนะ อู๊ย น่าหวาดเสียวเหลือเกิน แล้วก็ดลบันดาล คืนวันนั้นเครื่องบินไม่มา แปลกอยู่ มันมาทุกคืนจนกระทั่งนายทหารเขาอยู่ไม่ได้ เขาวิ่งมาหาท่าน มาแล้วท่านก็นิ่งๆ ก็แสดงว่าปลงใจจะช่วยเขา

ทีนี้เวลาประมาณสัก ๕ ทุ่มท่านก็ลงเดินจงกรม คอยดูเหตุการณ์ ฟังซิท่านพูดเองนะ คอยดูเหตุการณ์อยู่ที่วัดศรัทธารวม ตอนนั้นท่านอยู่วัดศรัทธารวม ทีนี้ก็พอดึกเข้ามาก็เดินจงกรมสังเกตเหตุการณ์ต่างๆ เงียบๆ ไปเลย จนกระทั่งตี ๒ ท่านถึงออกจากทางจงกรมมา เรื่องก็เลยเงียบไปเลย พึ่งมาระลึกได้ทีหลัง โหย น่าหวาดเสียวจริงๆ เครื่องบินตกคนตายสักเท่าไรเราไม่ได้คิดอะไรเลย ทำไมเป็นอย่างนั้น ท่านพูดด้วยความเสียใจ คือตอนนั้นระลึกไม่ได้เลย นี่สำคัญ ถ้ามาเอาจริงๆ นะ นั่นน่ะเห็นไหมกำลังจิตของท่าน มันบันดลบันดาล วันนั้นเครื่องบินก็ไม่มาทั้ง ๆ ที่มันมาทุกคืน ๖ ทุ่มล่วงไปแล้วมา ฟังเสียงสนั่นหวั่นไหวละระเบิดเขาลง เครื่องบินแต่ก่อนมัน ๔ เครื่องยนต์ ไม่ได้เหมือนทุกวันนี้นะ มาก็ได้ยิน ท่านยืนรอเหตุการณ์อยู่แล้วถ้ามาท่านก็จะเพ่ง ถ้าเพ่งก็ตูมเลย แล้วคนในนั้นมีเท่าไรตายหมดเลยท่านว่า อู๊ย เสียเหลือเกินตรงนี้ ท่านพูดแบบตื่นเต้น แบบเสียอกเสียใจมากทีเดียว แต่ก็ไม่เป็นไรแล้วแหละผ่านไป

นี่ละอำนาจของจิต ท่านเชื่อขนาดไหนเชื่อความรู้ของท่าน มานี้พอเพ่งผางนี้ลงเลยท่านว่า อย่างนั้นแหละอำนาจของจิต อย่างไปขึ้นเครื่องบินท่านก็เล่าให้ฟัง ตอนไปเผาศพหลวงปู่มั่น ขึ้นเครื่องบินไปเผาศพนั้น เขาเอาเครื่องบินมาลงรับจ้าง เราก็พอจำได้ว่า ๒ นาทีต่อ ๔๒ บาท ขึ้นสองนาทีลง ๆ เสร็จแล้วเขาก็มาขอให้เราขึ้น เขาไม่เอาค่าจ้าง มานิมนต์ให้ขึ้นเลย โอ๊ย ขึ้นไปอะไรล่ะ ก็ขึ้นไปชมดินฟ้าอากาศเฉยๆ แหละ พาไปเที่ยวแถวนี้แหละ เขาก็มานิมนต์ท่าน ตกลงใจก็เลยไปท่านว่า ทีนี้พอไปแล้วเขาไม่ได้อยู่แถวนี้ละซิ ฟาดนู่นถึงร้อยเอ็ด สารคาม อุบล เขาไม่ได้พากลับง่ายๆ เที่ยวตระเวนเสียแหลกหมด เราก็ดูดินฟ้าอากาศไป นี่ท่านมาพูดถึงกระแสจิตนะ ส่งจิตดูไปธรรมดาๆ ไม่เข้าห้องเครื่อง ถ้าจิตเข้าปั๊บ พอจ่อปั๊บนี้จะลงเลยและตายทั้งเขาทั้งเรา เวลาตาย ตายทั้งเขาทั้งเรา เราตัวเก่งๆ ก็จะตาย เราตัวเก่งนี้ก็จะตายท่านว่างั้น

ท่านบอกว่าเวลาผ่านเครื่องไปนี้ ท่านจะส่งจิตธรรมดาทั่วๆ ไป ก็เป็นธรรมดา พอเพ่งปั๊บนี้มันจะพุ่งเลยพังเลย ท่านถึงบอกว่าต้องระวัง เครื่องเหล่านี้จิตจะไม่เข้าเลย จิตส่ายไปธรรมดาดูโน่นดูนี้ไปธรรมดา เขาไปเที่ยวจนกระทั่งเมืองอุบลโน่นแหละ ไม่ทราบกี่นาที ไปนานแสนนานกว่าจะกลับมา ท่านพูดถึงเรื่องจิต ไปไหนจิตเราจะไม่เข้าเลยห้องเครื่องเขา ส่งไปธรรมดาดูธรรมดาเหมือนทั่วๆ ไป ถ้าส่งไปนั้นไม่ได้ ท่านพูดตรงนี้สำคัญมากนะ ถ้าส่งไปนั้นแล้วก็พังเลย พังทั้งเขาทั้งเรา ตายทั้งเขาทั้งเรา

http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=758&CatID=2
(คัดลอกมาบางส่วน)