จิตทรามในแง่ของโทหะ สำหรับคำว่าโมหะ มีชื่อเรียกได้หลายชื่อ มันแปลว่า มืด. คำแทนชื่อ หรือไวพจน์ของโมหะมีว่า อันธการ. อันธะ – แปลว่า มืด การะ – แปลว่า การกระทำ อันธการ – แปลว่า กระทำความมืด เหมือนตาบอด กระทำความมืดเหมือนกับตาบอด สมกับที่เราจะเรียกยุคนี้ว่า “ยุคมืดในทางวิญญาณ”
ยุคมืดในทางวิญญาณ คือ ลูกตาของเรานี้ไม่ได้บอด และมนุษย์เรามีความก้าวหน้าในทางการแพทย์ อาจจะเปลี่ยนลูกตาได้ อย่างนี้เป็นต้น ลูกตานี้ไม่ได้บอด แต่แล้วมันบอดในฝ่ายวิญญาณ ในทางดวงตาฝ่ายวิญญาณ หรือบอดในตัววิญญาณเอง มันมืดในทางวิญญาณ นี่คือโลกในยุคมืด มันมืดอย่างนี้ เพราะอำนาจโมหะ ซึ่งเป็นอันธการ คือการกระทำที่เป็นความมืด เหมือนกับตาบอด โมหะ หรือ อันธการนั้น คือสิ่งเดียวกัน ทีนี้เมื่อมืดแล้วมันก็เป็นพาลไปได้ทุกอย่างทุกประการ พาละ หรือเป็นพาลนั่นแหละ มันจะมีความเป็นพาลได้ทุกอย่าง ทุกประการ ในเมื่อเรามืด มันมีวิญญาณมืด
คำว่า “พาล” นี้คุณเรียนแต่หนังสือไทย คุณไม่รู้ว่าคำว่า “พาล” นี้ เขาแปลว่าอ่อน แปลว่าโง่ ไม่ใช่แปลว่าอันธพาลรังแกผู้อื่น เขาแปลว่ามันอ่อนยังอ่อนอยู่ แล้วก็โง่ พอมันโง่ แล้วก็รังแกผู้อื่น นั้นเป็นธรรมดา ตัวหนังสือแท้ ๆ มันแปลว่า อ่อน หรือโง่ เด็กคลอดออกมาจากท้องแม่ ยังเล็ก ๆ เป็นทารก นี้เรียกว่าเป็น “พาละ” เหมือนกัน เป็นพาลทั้งที่มันไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ได้รังแกใครสักที แต่ภาษาบาลีก็เรียกว่า “พาละ” ทีนี้สูงขึ้นมาจนโตแล้ว ความเป็นพาลนั้นมันไปอยู่ที่ความโง่ เราอาจพูดได้ว่าเด็ก ๆ พึ่งคลอดออกมานี้ ยังไม่รู้อะไรก็เหมือนกับโง่ คือยังไม่รู้อะไร หรือว่าปัญญายังไม่ develop ออกมา นี้ก็ยังถือว่าโง่
ความเป็นพาลก็คือ ความอ่อน อ่อนต่อทุกสิ่ง อ่อนต่อวิชาความรู้ อ่อนต่อความเจริญทางร่างกาย อะไรก็อ่อนไปทั้งนั้นแหละ แล้วมันก็มีความหมายเป็นความไม่รู้ ยังไม่รู้ นี้เรียกว่า “โมหะพื้นฐาน” เรามีความเป็นพาลเป็นโมหะพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว คนพาล หรือ คนโง่ หรือคนอ่อน แล้วจะทำอะไรได้บ้าง มันก็ทำผิดหมด ทำผิดหมดเลยทุกอย่างที่มันจะผิดได้สำหรับคนอ่อนและคนโง่ ทีนี้สำหรับยุคปัจจุบันนี้ โลกในอารยธรรมเทคโนโลยี่อะไรนี่มันยิ่งเป็นพาลมากขึ้น คุณจะฟังถูกหรือฟังไม่ถูก มันเฉลียวฉลาดที่สุดในเทคโนโลยี่ หรืออุตสาหกรรม แต่มันมีความเป็นพาลมากขึ้น เป็นคนอ่อน หรือคนโง่ ไม่ประสีประสาต่อพระเจ้า หรือต่อสิ่งสูงสุดมากขึ้นจะกระทั่งไม่รู้ว่า เกิดมาทำไม มันหลับหูหลับตาด้วยเรื่องวัตถุนิยม แล้วมันก็ไม่ต้องรู้ว่าเกิดมาทำไม
คุณดูให้ดี ๆ ว่ายุคนี้ ยุคอารยธรรมแผนใหม่นี้ เป็นยุคที่มนุษย์ไม่มีบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ไม่มีพระเจ้า ไม่มีศาสนา ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์นะ แต่ในโบราณเขามีแต่ความคิดเรื่องที่จะมี หรือเคารพบิดามารดา ครูบาอาจารย์คนเฒ่าคนแก่ กลุ่มนี้เอาเป็นกลุ่มหนึ่งก่อน คือบิดามารดา ครูบาอาจารย์ คนเฒ่าคนแก่ เอาละ ผมไม่อยากจะพูดดูถูกคุณอีกตามเคยว่า คุณมีอายุน้อย ไม่ทันเห็นสมัยที่คนเรานี้เคารพคนเฒ่าคนแก่อย่างยิ่ง เหมือนในสมัยโบราณเมื่อ ๕๐ – ๖๐ ปี ๗๐ – ๘๐ ปี
ผมเมื่อเด็ก ๆ เป็นเด็กวัด อยู่วัด ไหว้คนแก่ไม่รู้กี่ร้อยกี่พ้นครั้งเพราะอาจารย์บังคับ เราวิ่งเล่นอยู่กลางสนามหญ้ากลางลานวัด ถ้าคนแก่เดินผ่านวัดไปธุระ ก็ต้องไหว้ ไม่ไหว้ก็ถูกเฆี่ยน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ทำงายอยู่แท้ ๆ มีคนแก่มา ต้องทิ้งจอบไหว้ คุกเขาไหว้ คนแก่ในทีนี้ไม่จำเพาะว่าเป็นคนดี คนไม่ดี คนบ้าคนบออะไร ไม่ต้องวินิจฉัย เพราะเราไม่อาจจะวินิจฉัยได้ว่า เป็นคนแก่ที่ดีหรือไม่ดี ถ้าเห็นคนแก่แล้วไม่ไหว้ละก็ถูกเฆี่ยน คนแก่ที่ดี ที่มีเกียรตินั้นก็รู้กันอยู่แล้ว ก็ไหว้ด้วยความเต็มใจ แต่ที่ไหว้คนแก่ที่ไม่รู้จักนี้มันกระอักกระอ่วน แล้วบางคนก็เหมากันเอาเองว่า เป็นคน บ้า ๆ บอ ๆ แต่ทีนี้หัวของเขาหงอกขาวก็ต้องไหว้ นี้สมัยผมเป็นเด็ก สมัยคุณคงจะไม่ได้เห็นกระมัง คือเป็นอะไรกันไปตั้งแต่เด็กเสียแล้ว ทีนี้โดยทั่วไปประชาชนพลเมืองนี้ก็เคารพคนเฒ่าคนแก่ หมู่บ้านหนึ่งก็ต้องมีคนเฒ่าคนแก่ ถ้าจะวานขนทราย ไปบอกคนแก่ประจำหมู่บ้านคนเดียว ลูกหลานมาทั้งบ้านเป็นหางไปเลย ขนทรายพักเดียวก็ได้กองเบ้อเร่อ เดี๋ยวนี้ทำได้ที่ไหน ในสวนโมกข์เวลานี้ทรายกองนั้นตั้ง ๕๐๐๐ บาท ต้องซื้อ รุ่นนี้รุ่นหลังนี้ ทั้งหมดที่เราซื้อ ถ้าเป็นสมัยก่อนอำนาจของคนแก่ดึงดูดลูกหลานมาเป็นหาง – เป็นพวง ขนทรายได้ไม่ต้องเสียสตางค์ นี่มันเนื่องกันอยู่อย่างนี้
ความไม่มีคนเฒ่าคนแก่ กับมีคนเฒ่าคนแก่ มันผิดกันลิบลับเลย สมัยนั้นคนเฒ่าคนแก่ห้ามกันทีเดียวมันหยุดหมด อันธพาลไม่มี ดังนั้นคนสมัยนั้นจึงนอนบนแคร่ใต้ถุนเรือน ตากลมได้จนสว่างอย่างสบาย เดี๋ยวนี้ไปนอนอย่างนั้นเข้า ถูกยิงตาย เพราะว่าวัฒนธรรมที่มีจิตใจอ่อนโยนสุภาพมันหมดไปเพราะไม่มีคนเฒ่าคนแก่ เพราะฉะนั้นการเคารพคนเฒ่าคนแก่นั้น มันเป็นอะไรที่วิเศษสูงสุด แม้จะรวมคนแก่โง่ ๆ บ้า ๆ บอ ๆ เข้าไว้ในกลุ่มนั้นด้วย ก็ยังดี คือมันทำให้เด็ก ๆ มีจิตใจอ่อนโยน
การเคารพบิดามารดาก็ไม่เหมือนสมัยโน้น ซึ่งต้องกราบเท้าพ่อแม่ทุกคืน เดี๋ยวนี้ก็ไม่ทำกัน ครูบาอาจารย์สมัยนี้ก็เป็นของสำหรับล้อเล่น เรียกอ้ายเรียกอะไรเหมือนกับศัตรู อย่างนี้ก็มี ครูบาอาจารย์ในระเบียบมหาวิทยาลัยที่เมืองนอก ผมไม่เคยไปเรียน แต่ได้ยินได้ฟังเขาเล่ามาว่า ไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีความรู้สึกเคารพอย่างครูบาอาจารย์ หลอกล้อเล่นเหมือนเพื่อนกัน ครูบาอาจารย์ต้องทำเฉย เพราะเป็นประชาธิปไตย ลูกศิษย์อยากจุดประทัดโยนใส่ตีนครูบาอาจารย์ก็ทำได้ ไม่ถือว่าผิดอะไร ไม่ถือว่าเสียหายอะไร มันเกิดเป็นความไม่มีครูบาอาจารย์ไปโดยไม่รู้สึกตัว ความหมายของบิดามารดา ครูบาอาจารย์ คนเฒ่าคนแก่หายหมด ในโลกสมัยปัจจุบันอารยธรรมแผนปัจจุบันมันนำผลมาอย่างนี้ เพราะทุกคนมันบูชาเนื้อหนัง
ทีนี้ก็มองต่อไปถึงพระเจ้า ถึงศาสนา ซึ่งสูงไปกว่า มันก็ไม่มีอีก พระเจ้าตายแล้ว ศาสนาก็ไม่จำเป็น เอาไว้เพียงเป็นเครื่องมือการเมือง พวกหนุ่ม ๆ ชาวต่างประเทศที่เราเรียกว่า ฝรั่ง ชาติไหนบ้างผมก็ไม่ทราบ พวก Peace Corp โดยมากที่มาที่นี่ เราถามว่า นับถือศาสนาอะไร? ส่วนมากตั้ง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ เฉลี่ยแล้วราว ๆ นั้นตอบว่า “ผมไม่มีศาสนา” ด้วยความภาคภูมิใจที่ตอบอย่างนี้ว่า “ผมไม่มีศาสนา” แล้วเลือดเนื้อของคุณเป็นศาสนาอะไร? ทดลองถามอย่างนี้ หมายถึงบิดามารดาเป็นคริสเตียน เป็นอะไร? เขาตอบว่า “ผมเป็นคนไม่มีศาสนา, กำลังเป็นคนไม่มีศาสนา, ไม่อยากมีศาสนา” “แล้วมาที่นี่ทำไม?” “เพื่อศึกษาวิชาสำหรับแก้ปัญหาชีวิต” นี่แหละคือโง่ที่สุดเลย นั่นแหละคือศาสนา เครื่องแก้ปัญหาในชีวิตนั้นแหละคือศาสนาแล้ว แต่เขาปฏิเสธ เป็นคนไม่มีศาสนา ทั้ง ๆ ที่กำลังมาหาสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา เขาถูกสอนให้มองอะไรไปในแง่วิทยาศาสตร์ หรือกฏของธรรมชาติ เรื่องวิทยาศาสตร์ไปหมด ไม่มองไปในลักษณะที่จะเรียกว่าศาสนา แต่นั่นแหละคือศาสนา การทำตนให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ นั้นแหละคือศาสนาอย่างยิ่ง มันดับทุกข์ได้สิ้นเชิง
นี่ เขามองข้ามศาสนา จนสมัครเป็นผู้ไม่มีศาสนา ไม่มีพระเจ้า พระเจ้าตายแล้วทั้งนั้น ทีนี้มันก็พลอยไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ไปเลย บุญบาป ไม่รู้ไม่ชี้ จะรู้จะชี้แต่ประโยชน์ที่ตนจะได้ มันจะเป็นเรื่องบุญ หรือเรื่องบาป ไม่รับรู้ ต้องการแต่ประโยชน์เป็นวัตถุ ถ้าจะให้เรียกว่าบุญ ก็ว่า นั่นแหละคือบุญละ คือได้นั่นแหละดี ส่วนนรกสวรรค์ไม่ต้องพูดถึงกัน ที่เขียนไว้ในคัมภีร์หรือฝาผนังโบสถ์ ถือว่าเป็นเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ไม่ต้องพูดกัน ประโยชน์นั่นแหละคือสวรรค์ นรกก็ไม่ต้องกลัว เพราะว่าประโยชน์นั้นมันเป็นสวรรค์เสียแล้ว
เดี๋ยวนี้ ถ้าจะถามว่าเขามีศาสนาอะไรกัน? มันก็คือสิ่งที่เขาบูชาสูงสุด เป็นสิ่งสูงสุด มันก็ ศาสนาเงิน ศาสนาวัตถุ บูชาวัตถุ บูชาความเพลิดเพลินทางเนื้อหนัง ในที่สุดก็ไปบูชาเครื่องมือ ที่จะให้ได้สิ่งเหล่านี้มามันก็บูชา เทคโนโลยี่ หายใจเป็นเทคโนโลยีทั้งเข้าทั้งออก หายใจออกก็เทคโนโลยี่ หายใจเข้าก็เทคโนโลยี่ เพราะมันเป็นเครื่องช่วยให้เราได้ในสิ่งที่เราอยาก กระหาย คอแห้งอยู่ตลอดเวลา นี้ก็เรียกว่าโลกปัจจุบันนี้ถือศาสนาเทคโนโลยี่ ผมว่าเป็นโรคจิตทรามไปบูชาเครื่องมือที่จะได้ความเอร็ดอร่อยทางวัตถุแทนพระเจ้า แทนศาสนานี้เป็นโรคจิตทราม เป็นโมหะ ประเภทโมหะ เป็นโรคจิตทราม เพราะฉะนั้นจึงเป็นการกระทำสิ่งที่เป็นโมหะ ที่ว่าเป็นพาลนั้นคืออ่อนปัญญา อ่อนกำลัง อ่อนความคิด อ่อนไปทุกอย่าง ไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ควรทำ
เหมือนที่เคยพูดว่า ให้คุณไปเดินสำรวจตลาดที่กรุงเทพฯ ตลอดย่านการค้าทั้งหมด ไปดูว่าอะไรจำเป็นแก่ชีวิตที่มีขายอยู่ในร้าน ในห้างในอะไรเหล่านั้น จะพบว่าตั้วง ๙๕ เปอร์เซนต์ ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิต แต่ทำไมมันจึงมีได้ตั้ง ๙๕ เปอร์เซนต์? นี่เพราะมันเป็นความโง่ ความเป็นพาลของมนุษย์เหล่านั้น สิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิตมีสัก ๕ เปอร์เซนต์เท่านั้น ๙๕ เปอร์เซนต์ไม่จำเป็นเลย และยิ่งแพง – ยิ่งแพง ๆ ขึ้นไป ก็ล้วนแต่สิ่งที่ไม่จำเป็นแก่ชีวิตทั้งนั้น ทีนี้ความโง่ความเป็นพาลนั้น มันเห็นว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิต นี่ช่วยกันระวังให้ดี รวมทั้งตัวคุณเองด้วย จะไปเห็นสิ่งที่ไม่จำเป็นแก่ชีวิต กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดแก่ชีวิตไปได้ ถ้าความเป็นพาลมันยังมีอยู่มาก มัวไปทำสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำ ไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ นั้นมันเบาไป สิ่งที่ไม่ต้องการกระทำเลย ๑๐๐ เปอร์เซนต์ นี่มันก็ไปทำ แล้วมันก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรทำและมีเกียรติที่สุด
ผมมีความเห็นอย่างนี้ รู้สึกอย่างนี้ มันก็อาจจะเป็นเพราะความเมาในศาสนา ในพระเจ้าอะไรไปมากก็ได้ แต่ผมรู้สึกอย่างนี้ ผมก็พูดอย่างนี้ว่าเดี๋ยวนี้กำลังทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำนี้มากขึ้น
จะยกตัวอย่างเช่นการที่กำลังนิยมกันว่าวิเศษที่สุด มีฝีไม้ลายมือสูงสุดเช่นการเปลี่ยนหัวใจมนุษย์ หรือเปลี่ยนอะไรก็ตามในระดับนั้น ความรู้ความสามารถในระดับนั้น ผมว่าไม่จำเป็นจะต้องทำ ถ้าทำก็เป็นเรื่องทำด้วยความโง่ คือหลงไปว่า มันประเสริฐ มันวิเศษ มันยาก มันมีเกียรติ แล้วเราจะต้องทำให้ได้ แม้การกระทำถึงขนาดนี้ ถึงขนาดที่เปลี่ยนหัวใจนี้ มันโง่, พระเจ้าไม่ต้องการให้ทำ เพราะมันไม่ได้ผลคุ้มค่า การที่ลงทุนทำนั้น มันก็ยุ่งยากลำบากกระทั่งเสียเวลา เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ถ้าถึงขนาดที่จะต้องเปลี่ยนหัวใจแล้วก็ไม่ต้องทำ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า การปลี่ยนหัวใจหรือทำอะไรขนาดนั้น มันจะได้ผลชั่วขณะเล็กน้อยเท่านั้น มันให้ผลชั่วขณะเล็กน้อยเท่านั้น เพราะมันฝืนธรรมชาติมากเกินไป มันจะมีผลให้ใช้ได้เพียงชั่วเวลาเล็กน้อยเท่านั้น ไม่คุ้มค่าทำ แล้วมันเป็นการฝืนความประสงค์ของพระเจ้านั้นก็หมายความว่า มันทำความยุ่งยากมากเกินกว่าเหตุ โดยเหตุผลแล้วไม่ควรทำ ไม่คุ้มค่ากัน ที่ไปอ้างว่าเพื่อเมตตากรุณาเพื่ออะไรนี้ มันกลายเป็นเพื่อทรมาณมากกว่า, เพื่อทำให้ได้รับความทรมานมากขึ้นไปกว่าที่ควร แม้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกก็คล้าย ๆ กับเป็นคนพิการ เป็นคนครึ่งพิการไปเท่านั้นแหละ นี่แหละไปทำในสิ่งที่ไม่ต้องทำ ที่พระเจ้าบัญญัติไว้ว่าไม่ต้องทำ ไม่ใช่ไม่ควรทำ มันยิ่งกว่าไม่ควรทำ คือไม่ต้องทำ อย่างนี้ต่อไปจะมีมากขึ้น จะไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ ในสักษณะอย่างนึ้มีอีกหลาย ๆ อย่าง จะมากขึ้น
กิจการ อวกาศ จะไปโลกพระจันทร์ โลกอังคารนี้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้อทำ ฝืนความประสงค์ของพระเจ้า เป็นเรื่องบ้าเรื่อบอ ในโลกนี้ก็จัดให้มีสันติภาพก่อนเถิด นี้แหละพระเจ้าต้องการ ทีนี้ไปทำอย่างนั้นมันไม่ต้องทำมันไม่คุ้มค่าเหมือนกับการเปลี่ยนหัวใจเหมือนกัน มันจะต้องลงทุนด้วยความอยากลำบาก หมดเปลืองด้วยอะไรต่าง ๆ แล้วก็ได้ผลนิดเดียว ชั่วเวลาอันสั้นนิดเดียว หรือว่าความรู้นี้เป็นความรู้ที่ไม่จำเป็นจะต้องรู้ ยังไม่เกี่ยวกันสันติภาพในโลก ความรู้ที่จำเป็นจะต้องรู้คือ ต้องเกี่ยวกับสันติภาพในโลก ดังนั้นถ้าจะเอาเวลา เรี่ยวแรง ความคิด หัวสมอง หรือเงินทอง ที่ใช้ไปเพื่อการไม่ควรทำนั้นไม่ต้องทำ มาทำในสิ่งที่ต้องทำนี้ โลกจะดีกว่านี้ ดังนั้นเมื่อทำไขว้กันเสียอย่างนี้ ก็จัดเป็นโมหะ
โครงการอวกาศของชาติหนึ่ง ๆ มันเป็นแสน ๆ ล้านบาททั้งนั้น เอาเงินนั้นมาจัดให้โลกดีขึ้นกว่านี้ก็ยังทำได้ แล้วก็ยังได้ผล ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย เป็นชิ้นเป็นอันในระยะยาว ฉะนั้นสิ่งที่ยังไม่ต้องทำก็ไม่ต้องทำ ไปทำเข้า นี้เป็นโมหะ เป็นจิตทรามคือ ไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ แล้วสิ่งที่ควรทำแท้ ๆ ต้องทำแท้ ๆ กลับไม่ทำ เพราะไปหวังที่จะได้เกียรติ หรืออะไรแปลก ๆ ออกไป เป็นความเห็นแก่ตัว แต่ว่าโครงการอวกาศนี้เขาถือกันว่า เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสงคราม อย่างนี้มันก็ยิ่งเลวร้ายไปใหญ่ เพื่อจะเป็นโอกาส เป็นเครื่องมือ สำหรับทำลายผู้อื่น ด้วยความรู้ด้านอวกาศ อย่างนี้มันยิ่งเลวร้ายไปใหญ่ แม้แต่จะค้นคว้าเพื่อหลักวิชาแท้ ๆ มันก็ยังเป็นความโง่ ไปทำสิ่งที่ยังไม่ต้องทำ ยังไม่ควรจะทำ แล้วละเลยสิ่งที่ต้องทำ จึงถือว่าเป็นโรคจิตทราม
เรื่องเบ็ตเตล็ดแต่ว่ามันก็โด่งดังอยู่ในโลก เช่นเรื่องคุมกำเนิดโดยทางฟิสิคส์ ว่าพลเมืองจะล้นโลก จะต้องคุมกำเนิด แล้วก็ใช้วิธีทางฟิสิคส์ ไม่เกี่ยวกับทางจิตใจ นี่คือความโง่ ไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำเหมือนกัน แล้วก็ได้ผลร้ายแทนผลดี ควบคุมกำเนิดทางฟิสิคส์ คือหมายความว่าใช้ยา ใช้วัตถุ ใช้วิธีการทางเนื้อหนัง มันก็เลยเป็นของง่าย จนกระทั่งเด็ก ๆ ก็ทำได้ ทีนี้ไม่เท่าไร ในกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกงของเด็ก ๆ รุ่นสาว รุ่นหนุ่มนี้ก็จะเต็มไปด้วยเครื่องมือคุมกำเนิด แล้วศีลธรรมของมนุษย์จะเป็นอย่างไร นี่ขอให้มองกันในแง่นี้ ว่าเมื่อการคุมกำเนิดทางฟิสิคส์มันแพร่หลายอยู่อย่างนี้ ศีลธรรมของคนในโลกจะเป็นอย่างไร? มันไม่มีศีลธรรมประเภทที่เกี่ยวกับ กาเมสุมิจฉาจารหรือว่าศีลธรรมทางเพศเหลืออยู่เลย แล้วมันก็จะบูชาเนื้อหนังมากขึ้น ๆ กระทั่งเป็นมนุษย์ที่บูชาเนื้อหนังเป็นพระเจ้ามากขึ้น ก็เลยเป็นโลกของมนุษย์ที่เลวกว่าเดิม มีจิตทรามกว่าเดิม
การคุมกำเนิดจะต้องคุมทางวิญญาณ คือเหมือนกับที่สมัยโบราณเขาได้ใช้มาแล้ว หรือสั่งสอนอยู่ คือการบังคับทางจิตใจ อย่าไปทำทางฟิสิคส์ ทำทางจิตใจ ตามระเบียบของศาสนา วัฒนธรรมอะไรต่าง ๆ ที่เขาวางไว้ จนเป็นของทำได้ตามธรรมดา วัฒนธรรมโบราณของชนชาติยิว หรือชนชาติฮิบรูอะไรอย่างนั้น ผมมานับดูแล้ว ในหนึ่งเดือนไปสุ่ห้องนอนของภรรยาได้สัก ๓ – ๔ วันเท่านั้น เพราะมีระเบียบชัดเป็นกฏตายตัวชัดเจน วันพระไปไม่ได้ เดือนหนึ่งก็เป็นวันพระเข้าไปหลายวันอยู่แล้ว วันสะบาธ วันนักขัตฤกษ์เข้าไปไม่ได้ ในระยะมีโลหิตระดูก็เข้าไปไม่ได้ เจ็บป่วยเข้าไปไม่ได้ มันก็เหลืออยู่สัก ๓ – ๔ วันต่อหนึ่งเดือน แล้วยังมีบัญญัติว่า อยู่ในห้องภรรยาได้ไม่เกินสามชั่วโมง ไม่นอนอยู่ในห้องภรรยาตลอดคืน เหมือนคนเดี๋ยวนี้ แล้วก็ต้องเข้าไปอย่างมีระเบียบ แต่งตัวตามระเบียบ จะไปนอนเปลือยกันอยู่ในห้องด้วยกันตลอดวันตลอดคืน ทั้งเดือนทั้งปี นี้ทำไม่ได้ มันมีห้ามไว้ชัด นี้คือการคุมกำเนิดทางวิญญาณ มันก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องพลเมืองล้นโลกได้ง่าย ๆ นัก
ถ้าสมมติว่า พลเมืองมันจะมากขึ้น ก็ต้องหาทางออกอย่างอื่น ไม่ใช่ให้หาทางควบคุมกำเนิดทางฟิสิคส์ ซึ่งทำลายศีลธรรมในจิตใจของคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวเสียหมด นี้ผมถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ต้องทำ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ก็มาทำมาหลงว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ หรือต้องทำ แล้วโลกนี้ก็จะเป็นโลกที่ไม่มีศีลธรรมเพราะเหตุนี้ นี่แหละคือความเสื่อมทางวิญญาณ ที่เกิดมาจากการคุมกำเนิดทางฟิสิคส์ พระเจ้าไม่เห็นด้วย ธรรมชาติไม่เห็นด้วย พระธรรมก็ไม่เห็นด้วย ลองปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดตามกฏเกณฑ์ของพระเจ้า ของพระธรรม ของธรรมชาติ แล้วปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น หรือว่าจะเกิดขึ้นในลักษณะที่พอจะแก้ไขได้ ควบคุมได้
นี้เราก็พูดกันมามากพอแล้ว เป็นตัวอย่างเท่านั้น ว่าความมีจิตทรามทางฝ่ายโมหะในโลกนี้ได้เจริญหนาแน่นขึ้นอย่างไร
ดูต่อไปอีกสักข้อหนึ่ง ชิ้นสุดท้าย คือการศึกษาของโลกสมัยปัจจุบันนี้กำลังเป็นโมหะอย่างยิ่ง ยิ่งเรียนมากขึ้นยิ่งเป็นโมหะ ยิ่งเรียนมากยิ่งเป็นโมหะ คือไปรู้ในสิ่งที่ไม่ต้องรู้ แล้วไม่รู้ในสิ่งที่ต้องรู้ ก็เกิดความมืด ความเป็นอันธพาลทางวิญญาณขึ้นในจิตใจของคนหนุ่มสาวในโลก เพราะฉะนั้นการศึกษาที่จัดตามแผนปัจจุบันนี้ จึงมีผลนำไปสู่ความเป็นฮิปปี้เต็มโลก ไม่ใช่เฉพาะมีที่จะจุดนั้นจุดนี้ ความเป็นฮิปปี้จะเต็มโลกยิ่งขึ้นทุกที ดังนั้น ถือว่าการศึกษาแผนปัจจุบัน หรือปรัชญาแผนปัจจุบัน หรืออะไรแผนปัจจุบันนี้ เป็นการกระทำที่นำไปสู่ความมีฮิปปี้เต็มโลก มีความมืดบอดทางวิญญาณสูงสุด
สรุปแล้วก็ว่าอารยธรรมแผนใหม่คือเทคโนโลยี่นี้ นำไปสู่ความมี โลภะ โทสะ โมหะ มากขึ้น ส่วนอารยธรรมดั้งเดิมคือ spiritual enlightenment นั้น มันป้องกันหรือปราบปราม โลภะ โทสะ โมหะ ตลอดเวลา ฉะนั้นความมีจิตทรามในอารยธรรมแผนใหม่ ก็คือมันเพิ่ม โลภะ โทสะ โมหะ มากขึ้น ตามรายละเอียดเท่าที่ยกมาพอเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด เท่าที่เราพูดกันแล้ว เป็นเพียงตัวอย่าง ทางโลภะ อย่างนั้น, ทางโทสะ อย่างนั้น, ทางโมหะ อย่างนั้น, เหลือนอกนั้นคุณไปคิดดูเอง.
พุทธทาสภิกขุ
ฆราวาสธรรม
๘ พฤษภาคม ๒๕๑๓