Monthly Archives: พฤษภาคม 2014

การอาบน้ำในศาสนา

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

[๙๘] ก็โดยสมัยนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ นั่งอยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค จึงทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ท่านพระโคดม จะเสด็จไปยังแม่น้ำพาหุกา เพื่อจะสรงสนานหรือ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพราหมณ์ จะมีประโยชน์อะไรด้วยแม่น้ำพาหุกาเล่า แม่น้ำพาหุกา จักทำประโยชน์อะไรได้. สุ. ท่านพระโคดม แม่น้ำพาหุกา ชนเป็นอันมาก สมมติว่าให้ความบริสุทธิ์ได้ ท่านพระโคดม แม่น้ำพาหุกา ชนเป็นอันมาก สมมติว่าเป็นบุญ อนึ่ง ชนเป็นอันมาก พากันไปลอยบาปกรรมที่ตนทำแล้วในแม่น้ำพาหุกา.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะสุนทริกภารทวาชพราหมณ์ด้วยพระคาถาทั้งหลายว่า คนพาล มีกรรมดำแล่นไปยังแม่น้ำพาหุกา ท่าน้ำอธิกักกะ ท่าน้ำคยา แม่น้ำสุนทริกา แม่น้ำสรัสสดี ท่าน้ำปยาคะ และแม่น้ำพาหุมดี แม้เป็นนิตย์ ก็บริสุทธิ์ไม่ได้ แม่น้ำสุนทริกา ท่าน้ำปยาคะ หรือแม่น้ำพาหุกา จักทำอะไรได้ จะชำระนรชนผู้มีเวร ทำกรรมอันหยาบช้า ผู้มีกรรมอันเป็นบาปนั้น ให้บริสุทธิ์ไม่ได้เลย ผัคคุณฤกษ์ ย่อมถึงพร้อมแก่บุคคลผู้หมดจดแล้วทุกเมื่อ อุโบสถก็ย่อมถึงพร้อม แก่บุคคลผู้หมดจดแล้วทุกเมื่อ วัตรของบุคคลผู้หมดจดแล้ว มีการงานอันสะอาด ย่อมถึงพร้อมทุกเมื่อ ดูกรพราหมณ์ ท่านจงอาบในคำสอนของเรานี้เถิด จงทำความเกษมในสัตว์ทั้งปวงเถิด ถ้าท่านไม่กล่าวคำเท็จ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ถือเอาวัตถุที่เจ้าของไม่ให้ เป็นผู้มีความเชื่อ ไม่ตระหนี่ไซร้ ท่านไปยังท่าน้ำคยาแล้วจักทำอะไรได้ แม้การดื่มน้ำในท่าคยา ก็จักทำอะไร ให้แก่ท่านได้.

สุนทริกพราหมณ์บรรลุพระอรหัตต์
[๙๙] ครั้นพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนคนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิดบอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ ฉันใดพระโคดมผู้เจริญ ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดม พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ข้าพระองค์ พึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของท่านพระโคดมผู้เจริญเถิด สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ ได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคแล้ว ก็ท่านพระภารทวาชะครั้นอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่ช้านานเท่าไร ก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้มีความต้องการ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็ท่านพระภารทวาชะได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ฉะนี้แล.

จบ วัตถูปมสูตรที่ ๗

พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๒ หน้าที่ ๕๐/๔๓๐

หลวงพ่อนอกคอกทำลายพุทธศาสนา

บรรดาความเห็นผิด และการกระทำที่ผิดๆ นอกทิศทาง
คำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าปล่อยไว้ก็จะพอกพูนมากขึ้น ทำให้
พระพุทธศาสนาที่เรารักใคร่หวงแหนอาจถึงสภาพหมดไปก็ได้
เพราะความไม่กล้าพูดกล้าบอกความจริงกันนั่นเอง

คนทั้งหลายที่มีโรคคือ ความเห็นผิดอยู่ในใจของเขา และ
ถ้ายึดถือความเห็นผิดนั้นมานานแล้ว เขาอาจยึดไว้อย่างชนิดที่
ไม่ยอมปล่อยเป็นอันขาด ครั้นพอมีใครมาพูดถึงสิ่งนั้นว่าไม่ดี
เขาก็โกรธ หาว่ามาดูถูกดูหมิ่นเขา หาว่าทำลายอาชีพของเขา
อย่างนั้นอย่างนี้ และถึงกับโกรธเคืองจองเวรคิดแก้แค้นขึ้นก็ได้
ข้อนี้แหละที่ทำให้คนทั้งหลายเกิดความกลัวจนไม่มีใครกล้าพูด
ความจริงกัน

อันคนที่ฉลาดมีปัญญามีเหตุผลนั้น
เขาย่อมทิ้งของปลอม แล้วถือเอาของจริงไว้เสมอ เพราะ
ของปลอมทำคนให้หลงผิด ของแท้เท่านั้นจะทำให้คนเข้าใจถูก
และมีความสุขสงบสมความมุ่งหมาย

บุคคลผู้มีความเข้าใจในสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ
เห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ
มีความเข้าใจผิดเป็นแนวทางย่อมไม่เข้าถึงสารธรรมได้เลย
แต่ผู้ใดมารู้สิ่งเป็นสาระว่าเป็นสิ่งมีสาระ
สิ่งไม่เป็นสาระว่าเป็นสิ่งไม่เป็นสาระ
เป็นผู้มีความเห็นชอบทางดำเนินของใจย่อมถึงสารธรรม
คือ ความสะอาด ความสว่าง ความสงบ ได้สมหมาย

ในกรุงเทพมหานครของเรานี้ดูจะหนักกว่าบ้านนอก เดิน
ไปจะได้พบศาลเจ้าต่างๆ ศาลหลักเมืองและอะไรๆอีกมากมาย
อย่างชั้นที่สุด…หินที่สมมติกันว่าเป็นของลับของพระอิศวร
(ศิวลึงค์) ชาวพุทธก็ไปกราบไหว้เพื่อขอพร ต้นไม้เล็กต้นไม้ใหญ่
ชาวพุทธก็ไปไหว้เพื่อขอเลขสลากกินรวบ แม้บางครั้งจะไปไหว้
พระพุทธรูปในโบสถ์ก็ไหว้แบบวิงวองขอร้อง เพื่อให้ได้สิ่งที่
ตนต้องการ การกระทำทั้งหมดนี้ไม่เข้าแบบของชาวพุทธเลย
สักนิดเดียว

ภิกษุเราที่อาศัยผ้าเหลืองของพระพุทธองค์ แต่มิได้ทำ
กิจของพระพุทธศาสนา ก็มีสภาพประดุจตัวเสฉวน ฉันนั้น
พวกพระประเภทตัวเสฉวนนั้นก็เป็นพระประเภททำลายพระ
ศาสนา เขาอาศัยซื่อเสียงของพระรัตนตรัยไปทำพิธีปลุกเสก
อะไรต่างๆ นานา ทำคนทั้งหลายให้หลงผิดเข้าใจผิด หารู้ไม่ว่า
ตนกำลังทรยศต่อพุทธธรรมอยู่แล้ว

มีบางคนกล้ากล่าวค้านว่า การที่ตนทำพิธีรีตองเช่นนั้น
ก็เพื่อประโยชน์ของคนผู้ที่ยังหลงยังเข้าใจผิดอยู่ จะอธิบายให้เขา
ทราบความจริงก็เกรงว่าเขาจะไม่เข้าใจ จึงปล่อยไว้อย่างนั้น
อีกประการหนึ่งเขาคิดว่า พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่สูงเกินที่คน
เหล่านั้นจักเข้าใจก็เลยไม่อธิบายกันให้เข้าใจ เขามาขอให้ทำ
พิธีอะไรก็ทำไปเท่านั้น

ขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง เช่น คนๆหนึ่งมาหาพระและ
บอกว่า ตนเคราะห์ร้าย… ขอรดน้ำมนต์สักหน่อย พระก็รดให้โดย
มิได้ไต่ถามว่าเคราะห์ร้ายเรื่องอะไร ไม่ได้แนะแนวทางแก้ทุกข์
ให้แก่เขา การทำพิธีรดน้ำมนต์ช่วยกำลังใจได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น
แต่ถ้าสนทนาให้เขาเข้าใจเหตุผลเขาคงฉลาดขึ้น และเลิกละจาก
การกระทำความทุกข์ใส่ตนก็ได้

ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าไปปาฐกถาที่นครสวรรค์ พอพูดจบก็มีคน
มาหาและขอให้เป่ากระหม่อมให้หน่อย ข้าพเจ้าจึงตอบแก่เขาว่า
เป่าให้ชั่วโมงครึ่งก็ควรจะพอแล้ว ปฏิบัติตามคำสอนนั่นแหละ
คือพรอันประเสริฐ และจะช่วยตัวเขาได้ต่อไป เขาจึงถอยกลับ
ออกไป …น่างสงสารคนประเภทนี้แท้ๆ!!

ในการบำรุงพระพุทธศาสนานั้น ถ้าหากพวกเราไม่รู้ว่า
พระพุทธศาสนาที่แท้เป็นอย่างไร…เราก็บำรุงไม่ถูก กลายเป็น
บำรุงไสยศาสตร์ บำรุงศาสนาพราหมณ์ไปเสีย โดยเข้าใจว่า
นั่นคือ พระพุทธศาสนา

ท่านผู้ใหญ่ในทางโลกบางคน นับถือพระภิกษุบางองค์ว่า
เป็นหลวงพ่อของตน พิจารณาไป…ได้ความว่าเป็นอาจารย์ขลังๆ
เท่านั้น ในบางสมัยได้นิมนต์อาจารย์ขลังๆ มามาก แล้วทำพิธี
ปลุกเสกพระเครื่องกันเป็นการงานใหญ่ จบพิธีแล้วก็เอาไปขาย
เป็นเงินเพื่อสร้างอะไรๆในทางศาสนา การกระทำเช่นนี้เป็นการ
ขายพระพุทธเจ้าเพื่อแลกเอาอิฐปูนเท่านั้น หาได้ทำคนให้ดีขึ้น
ในทางใจไม่ ถ้าหากเราได้ขอร้องให้ท่านอาจารย์ทั้งหลายช่วยกัน
เสกคนเป็นพระขึ้นบ้าง ก็จะเป็นการกระทำที่น่าชมว่าเป็นไหนๆ

เมื่อพูดกันถึงเรื่องพระพุทธศาสนาที่แท้ ท่านก็คงนึกว่า
มีพุทธศาสนาที่ปลอมด้วยหรือ? ความจริงพระพุทธศาสนา
ปลอม…ไม่มี แต่พวกเราที่นับถือนี่แหละ กลับไปทำให้ของจริง
กลายเป็นของปลอมไป ทำไมจึงทำเช่นนั้น? ก็มันมีเหตุการณ์
หลายอย่างที่ทำให้เป็นเช่นนั้น

สมัยนี้เป็นสมัยของการก่อสร้างทางวัตถุ วัดทั่วไปแข่งขัน
สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลา กุฏิ และอะไรต่างๆ บางแห่งสร้างพอดี
กับทุน บางแห่งก็สร้างเกินทุน จึงต้องหาทุนโดยวิธีการแปลกๆ
อันเป็นเรื่องที่ไหลเข้ามาท่วมทับสัจธรรมของพระพุทธศาสนา
ทั้งนั้น ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ เช่นใบเซียมซีเสี่ยงทายกันในโบสถ์
ต่างๆ ที่เข้ามาอยู่ตามโบสถ์ก็เพราะว่าพระอยากได้เงินมาบำรุง
พุทธศาสนา แต่กลายเป็นทำลายพุทธศาสนาไป เพราะคนที่มาลั่น
เกิดเข้าใจผิดคิดว่าหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ ดลบันดาลให้เป็นไปอย่างนี้
ความจริงหลวงพ่อมิได้บันดาลอะไรให้เลย หากแต่แขนของเรา
ทั้งสองนี่เองเป็นตัวการใหญ่ เราไปจับกรบอกสั่น… มันจึงหล่น
ออกมาได้ คนโง่ไม่เข้าใจอะไรจึงถูกพระหลอกลวงให้สั่นเสียจน
เหงื่อไหลไคลย้อย นี่เป็นเพราะเห็นแก่ลาภโดยแท้ พระหลวงพี่
หลวงพ่อนอกคอกทั้งหลายที่ทำพิธีแปลกๆ ต่างๆ นั้น ก็เพราะ
อยากได้อะไรบางอย่าง จึงทำอย่างนั้น

เจ้ามิจฉาทิฐิทั้งหลายนี่ซิ…
เป็นเรื่องน่ากลัวมากจริงๆ เพราะไม่มีใครคอยจับ
บางทีผู้จับเองก็พลอยเห็นผิด เห็นงมงายไปเสียด้วย
จึงน่ากลัวกว่าลัทธิอะไรทั้งสิ้น
ใคร่ขอเตือนพี่น้องทั้งหลายไว้ให้พิจารณาจงดี
จะได้ป้องกันตัวเองให้พ้นจากภัยร้ายคือ ความเห็นผิดได้

พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า…
จิตใจที่บุคคลตั้งไว้ผิด อาจทำอันตรายแต่คน
มากกว่าโจรใจเหี้ยม…
หรือคนจองเวรจักพึงทำให้แก่กันเสียอีก

พระพุทธเจ้าบอกว่า
สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ
ถ้าจะตัดผล ต้องตัดเหตุ
แล้วเหตุนั้นไม่ได้อยู่สิ่งภายนอก
อยู่ในตัวของเราเอง

นี่คือหลักพระพุทธศาสนา

คัดลอกมาบ้างส่วนจาก หนังสือเลิกเชื่อไร้เหตุผล
พึ่งตนและพึ่งธรรมะ… หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ

น้ำมนต์ไม่ใช่สรณะอันเกษม

มนุษย์ทุกคนมีปัญหาเรื่อง ความกลัว เรื่องความทุกข์ที่ไปบีบคั้น แม้ความเจ็บไข้ และความ ตาย ฯลฯ เขาจึงล้วนแต่ต้องการที่พึ่ง ต้องการสรณะ นับตั้งแต่ เด็กทารกก็มีบิดามารดาเป็นสรณะ เป็นต้นสิ่งใดที่ทำให้เบาใจได้ ทำให้หายกลัวได้ ทำให้จิตพ้นจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาได้สิ่งนั้นเรียกว่า สรณะ หรือที่พึ่ง

ที่พึ่งมีได้หลายระดับ มากมาย ตามความโง่หรือความฉลาด ของมนุษย์เอง และมันต้องเป็นที่พึ่งที่เหมาะสมสำหรับคนนั้นๆ เช่น การมีไสยศาสตร์เป็นที่พึ่งของคนที่ยังไม่มีความรู้ทางจิต ส่วนคนที่รู้จัก การทำจิตใจให้ถูกต้อง จนรู้ธรรมะเป็นที่สุด เป็นสรณะที่พึ่งได้

เรื่อง ที่แต่ละคนจะรู้สึกสบายใจ เบาใจอะไรนี้ มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่เขารู้สึกในเวลานั้น ว่ามันเป็นของจริงสำหรับเขาความจริงนั้นมันยืดหยุ่นได้เสมอไป มันจะจริงอยู่เพียงที่ใจเขารู้จัก เท่าที่ความรู้ของเขามีอยู่เพียงไร เท่าไร มันก็จะจริงอยู่เพียงแค่ที่เขาจะเห็นด้วยตนเองได้เท่านั้นเขาไม่อาจจะเห็น ความจริงที่ลึก ที่สูง ที่ไกล ออกไปได้ ฉะนั้นความจริงมันจึงเฉพาะคน เฉพาะเวลา เฉพาะเหตุผล ที่มีอยู่ในเวลานั้น เท่านั้น อย่าไปเข้าใจว่า เป็นจริงที่เด็ดขาดลงไป ดังนั้นสรณะของแต่ละคนจึงแตกต่างกันออกไป

ธรรมะ เป็นยอดสุดของที่พึ่ง เป็นยอดสุดของสรณะ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่ต้องการที่พึ่ง ถ้ายังต้องการที่พึ่งอยู่ก็ยังไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะท่านถึงที่พึ่งอันสูงสุดแล้ว จึงไม่รู้สึกว่าต้องการที่พึ่ง ฉะนั้นจึงไม่ได้มีอะไรเป็นที่ผูกพันกันยุ่งเหยิง เหมือนกับพวกที่ยังไม่หลุดพ้น ยังมีความทุกข์อยู่

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หมายถึงสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ มันมีทั้งศักดิ์สิทธิ์จริง และศักดิ์สิทธิ์มายา แต่ก็ล้วนมีผลทำให้เบาใจได้เป็นระดับๆไป คนโง่อาจใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเพียงมายา เช่น ใช้คาถาปลุกเสก รดน้ำมนต์ เป็นต้น สำหรับคนฉลาดใช้อย่างนี้ไม่ได้ ต้องหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างอื่นแทน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นปัญหา ยุ่งยากที่สุด แม้กระทั่งในสมัยวิทยาศาสตร์ เพราะมันพิสูจน์ยาก แต่โดยหลักเกณฑ์ของมันก็เป็นเพราะความเชื่อของคน ด้วยอำนาจความเชื่อนั่นแหละ ทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ แล้วความเชื่อนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับความโง่ หรือความฉลาดด้วย

เรื่องไปรดน้ำมนต์ เราไม่ได้ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ว่า ไม่มีอะไรเสียเลย มันก็มีไปตาม ข้อเท็จจริงของมัน มีผลไปตามสัดส่วนของความโง่ หรือความเชื่อ คือถ้าเชื่อแล้ว มันก็มีความเบาใจ สบายใจ หายกลัว หายทุกข์ร้อน นี้มันก็มีประโยชน์มาก แต่ถ้าไม่เชื่อแล้ว ก็เป็นเรื่องอาบน้ำธรรมดาไปเสีย นั่นเอง การปัดเป่า เสกเป่า นี้ก็เหมือนกัน ถ้าเชื่อมันก็มีผลในทางใจ รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที ถ้าไม่เชื่อ มันก็ไม่มีอะไร มันอยู่ที่กำลังใจ ที่สูงต่ำกว่ากัน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์มายาเป็นที่พึ่งที่มาจากภายนอก อาจได้มาจาก ภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์บ้าง เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์บ้าง ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สรณะอันเกษม ไม่ใช่สรณะอันสูงสุด ไม่ทำให้เกลี้ยงเกลาไปจากความทุกข์ได้จริง เป็นเพียงที่พึ่งหลอกๆ มีความเบาสบายชั่วคราวเท่านั้น

สิ่งศักดิ์สิทธิ์แท้จริงหมายถึงธรรมะ (รวมทั้ง พระพุทธ พระธรรมะ พระสงฆ์) ที่มีผลกำจัดทุกข์ได้จริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกชนิด ทั้งชนิดที่แท้จริง และชนิดมายา ก็มีผลสมควรแก่กรณี สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนโง่ ก็ต้องใช้กับคนโง่, สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนฉลาด ก็ต้องใช้กับคนฉลาด, สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนครึ่งๆ กลางๆ ก็ต้องใช้กับคนครึ่งๆ กลางๆ, ถ้าผิดฝาผิดตัวแล้ว มันก็ตีกันยุ่ง แล้วจะไม่มีประโยชน์

เราไม่ได้ ปฏิเสธว่า ไม่มีผี ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่มันมีอยู่หลายชนิด ซึ่งคนที่ไม่รู้ก็จะเข้าใจได้ยากสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงอยู่ในฐานะเหนือการ พิสูจน์ เรื่องอย่างนี้เป็นมาแล้วก่อนพุทธกาลนานไกล เป็นมาจนถึงปัจจุบัน

ความ ศักดิ์สิทธิ์นี้มีจริง เพราะเป็นเรื่องทางจิตใจ มันง่ายที่จะมี ถ้าทุกคนเชื่อลงไปในสิ่งนี้ว่าเป็นอย่างนี้ มีผลอย่างนี้ ความเชื่อนั้นแหละเป็นอำนาจอะไรอย่างหนึ่ง ที่ฝังอยู่ในบรรยากาศนั้นๆ พอใครเข้ามาในที่นั้น มันก็ครอบงำ แล้วคนนั้นก็จะรู้สึกเป็นอย่างนั้น รู้สึกเหมือนที่เชื่อกันนั้น ได้จริงๆ เหมือนกันฉะนั้นในเมื่อคนยังโง่มาก มันก็สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันขึ้นมาเอง

สำหรับคนสมัยนี้ เวลานี้เขาศึกษากันแต่ในเรื่องวัตถุ เขาจะแก้ปัญหาต่างๆด้วยเรื่องทางวัตถุก่อนเสมอ เช่นโรคภัยไข้เจ็บก็แก้กันด้วยหยูกยาก่อน หรือเรื่องอะไรต่างๆก็แก้ด้วยเครื่องใช้เครื่องมือ จนกระทั่งไปแก้ปัญหาทางจิตโดยใช้วิทยาศาสตร์ แต่แล้วก็ไม่สำเร็จ พอเผลอเข้านิดเดียว นักวิทยาศาสตร์ที่มีความโง่เขลาในทางวิญญาณ ก็กลายเป็นเหยื่อของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่อธิบายไม่ได้ไปเสียแล้วโดยไม่รู้ตัว อย่างนี้ก็มีอยู่มาก

นัก วิทยาศาสตร์เอกที่ไปเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนาอะไรก็ตาม ก็ยังต้องรดน้ำมนต์ ยังทำอะไรแปลกๆ อย่างนี้ก็มีอยู่มากเหมือนกัน กระทั่งถือฤกษ์ถือยาม ถืออะไรไปตามประสาของความขลาด ซึ่งความขลาดความกลัวนี้มาจากความอยาก และวิทยาศาสตร์ทางวัตถุช่วยเพิ่มความอยาก จนสับสนวนเวียน จนเกิดความกลัวก็ต้องเอาอะไรมาหลอกกัน ด้วยเรื่องศักดิ์สิทธิ์ หรือไสยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์จึงกลายเป็นทาสของไสยาศาสตร์ไปโดยไม่รู้สึกตัว

สรณะที่ แท้จริงนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นอริยสัจสี่ด้วยปัญญา ผู้นั้นได้ชื่อว่า ได้ที่พึ่งอันเกษม ได้ที่พึ่งอันสูงสุด ซึ่งจะให้พ้นทุกข์ทั้งปวงได้”

การถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นหมายความว่า ต้องเห็นอริยสัจสี่ด้วยปัญญาคือเกิด experience อยู่ในใจจริงๆ เป็นความเห็นแจ้งแทงตลอดว่า ทุกข์มีลักษณะอาการอย่างนี้ๆ สมุทัย คือตัณหา เหตุให้เกิดทุกข์ เราก็รู้จักตัวจริง และ รู้ความที่จะกำจัดมันได้, นิโรธ ความดับแห่งทุกข์ ที่มันปรากฏอยู่ในใจเราเสมอๆ ก็ให้แจ่มแจ้งอยู่ในใจของเราเสมอๆ และมรรค ทางแห่งการปฏิบัติก็ต้องทำให้มีอยู่ในเนื้อในตัวเราจริงๆ

ถ้าเห็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง ก็คือเห็นธรรมะที่เป็นที่ดับทุกข์ได้จริง มิฉะนั้นแล้ว จะเป็นการเห็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่เปลือกนอก เช่นเห็นพระพุทธรูป ว่าเป็นพระพุทธ เห็นคัมภีร์ใบลานว่าเป็นพระธรรม เห็นลูกชาวบ้าน นุ่งห่มสีเหลืองว่าเป็นพระสงฆ์ เป็นต้น ซึ่งนั่นไม่เรียกว่าการเห็นที่แท้จริง

ในสมัยพุทธกาลมีคนไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้า ได้มีการสนทนาโต้ตอบกัน จนบุคคลนั้นเห็นธรรม เข้าใจธรรม เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ จนเห็นว่ามันดับทุกข์ได้จริงๆแล้ว จึงได้ออกปาก เปล่งวาจาถึงสรณาคมน์ ว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ฯลฯ ดังนั้นการเข้าถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ จึงเป็นเรื่องจริง ทำครั้งเดียวก็ใช้ได้ตลอดกาลตลอดชีวิต

แต่ เดี๋ยวนี้ คนเรายังไม่ทันรู้อริยสัจสี่ ยังไม่ทันรู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ออกปากว่าสรณาคมน์ไปตามที่เขาบอก โดยทำเป็นพิธี ว่าไปอย่างนกแก้วนกขุนทอง คือต้องพูดซ้ำๆซากๆ เดือนหนึ่งไม่รู้กี่สิบครั้งกี่ร้อยครั้ง มันจึงเป็นสรณาคมน์ที่งมงาย

พระ พุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่แท้จริง ที่ลึกเข้าไปในใจแล้ว ก็เหมือนกันหมด นั่นก็คือ คุณธรรมที่เป็นความดับทุกข์ได้เหมือนกันหมด ซึ่งจะเรียกว่า ความสะอาด ความสว่าง ความสงบ สิ่งนี้จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องทำให้มีขึ้นมาเองในใจของเรา ทำพระพุทธเจ้า ให้มีขึ้นมาเองในจิตในใจของเรา ทำพระธรรมให้มีขึ้นมาเองในใจของเรา ทำพระสงฆ์ให้มีขึ้นมาเองในใจของเรา ทำการรู้อริยสัจสี่ให้มีขึ้นมาเองในใจของเรา อย่างนี้เรียกว่า เป็นการกระทำของตนเอง เพื่อตนเอง และโดยตนเอง

นี่คือสิ่งที่กล่าวกันว่า “มีตนเป็นดวงประทีป มีธรรมเป็นดวงประทีป” “มีตนเป็นสรณะมีธรรมเป็นสรณะ” นั่นก็คือ การได้ถึงสรณาคมน์เป็นความดับทุกข์ หรือเป็นนิพพานอยู่ในตัว

ขอ ให้ทุกคนรีบแก้ไขให้การถึงสรณาคมน์นี้ ด้วยจิตใจจริงๆ โดยไม่ต้องออกปากว่าก็ได้ ถ้าว่าด้วยปากให้เป็นพิธี ซึ่งทำให้มีเหตุผลทางจิตวิทยา ชี้ชวน ชักชวนผู้อื่นให้เข้ามาสนใจ หรือว่าเป็นการย้ำในการถึงแล้วของเราให้แน่นแฟ้นอยู่เสมอ อย่างนี้ก็พอจะไปได้ ถ้ารู้ว่ายังไม่ถึง ก็จงรีบๆทำให้ก้าวหน้า และให้ถึงในที่สุด

ธรรมโฆษณ์ บรมธรรม ภาคปลาย “บรมธรรมกับสรณาคมน์”

รดน้ำมนต์ไม่ใช่ที่พึ่ง

การที่พวกเราได้เข้ามาทำบุญกุศลนั้น เป็นการทำให้จิตใตของเราเข้าใจใน เรื่องการทำบุญมากขึ้น เข้าใจในเรื่องปัญญา ได้รู้เรื่องความสงบของใจ ถ้าคนไม่มีสมาธิ ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ เหมือนคนเรียนดาราศาสตร์ กับโหรา ศาสตร์ อยู่ดีๆ จะไปรู้เรื่องดวงดาวนั้น ดวงดาวนี้ไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ลึกกว่า คนที่ไม่ได้เรียน พุทธศาสตร์ก็เหมือนกันคนที่จะรู้ได้ ก็เป็นคนที่เข้ามาศึกษา เล่าเรียน เพราะพุทธศาสตร์เป็นของที่ละเอียดลึกซึ้ง ยิ่งกว่าดาราศาสตร์ ยิ่งกว่าโหราศาสตร์ เพราะดาราศาสตร์เรียนเรื่องดวงดาวในท้องฟ้า โหราศาสตร์ก็เรียนเรื่องผูกดวงดาว หรือผูกดวงชะตาของคนโน้นคนนี้ แต่พุทธศาสตร์นั้นเรียนของที่มีอยู่ในตัวเรา ที่เราไม่รู้จักตัวเราท่านก็ให้ค้นหาศึกษาตัวเรา

แค่คำว่า ” วิญญาณ ”  วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ โหราหศาสตร์ก็ไม่สามารถจะรู้เรื่องวิญญาณ…เกิดอย่างไร…ดับ อย่างไร แต่พุทธศาสตร์สอนให้รู้จักเรื่องวิญญาณ ว่ามีทั้งดีทั้งร้าย ทั้งบุญทั้งบาป ทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งวิญญาณสัตว์ วิญญาณเทวดา วิญญาณมนุษย์ และในทุกจักรวาลล้วนแต่มีวิญญาณอยู่ทั่วไป แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ไปดู วิญญาณภายนอกอย่างเดียว ท่านต้องการให้ศึกษาวิญญาณภายใน ให้ดูแรงกระทบของวิญญาณวิญญาณที่เกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(จักขุวิญญาณ) หูก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(โสตวิญญาณ) จมูกก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(ฆานวิญญาณ) ลิ้นก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(ชิวหาวิญญาณ) กายก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(กายวิญญาณ) ใจก็เป็นวิญญาณหนึ่ง(มโนวิญญาณ) ฉะนั้นถ้าเข้าใจวิญญาณหกนี้ ก็เข้าใจธรรมอันลึกซึ้งของพระพุทธเจ้า
การค้นหาวิญญาณท่านบอกว่า…ต้องค้นหาในสติปัฏฐาน 4 นั่งก็ดี เดินก็ดี กินก็ดี คิดก็ดี นึกก็ดี ให้กำหนดเอาสติ เอาสมาธิ เอาปัญญานั่นเข้าไปจับจดจ่ออยู่กับอิริยาบถการเคลื่อนไหวของตัวเองจึงจะจับวิญญาณ ได้ ถ้าคนไหนจับวิญญาณได้ก็เป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามีเป็นอรหันต์ เป็นผู้วิเศษในธรรมทั้งหลาย สิ่งที่ไม่รู้ไม่มีเลย จากคนโง่กลายเป็นคนฉลาด จากคนหลงกลายเป็นคนไม่หลง จากผู้ไม่รู้กลายเป็นผู้รู้ เช่นพระพุทธ เจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นหาวิญญาณที่โคนโพธิ์ เพียงคืนหนึ่งท่านค้นพบวิญญาณ แล้วสามารถรู้จักการเกิดและการดับ ของวิญญาณได้ ท่านรู้ตั้งแต่หัวค่ำไปถึงเที่ยงคืน ท่านค้นในอายตนะทั้ง 6 นี่เอง พอท่านสำเร็จแล้วท่านก็สอนปัญจวัคคีย์ให้รู้จักจับวิญญาณ ที่เราหลงท่องเทียวไปในสังสารวัฎ เมื่อดับวิญญาณได้แล้วจึงจะไปถึงนิพพาน
พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงวิธีการจับวิญญาณ เช่น เวลาตาเห็นรูป ตานั้นเป็นอายตนะภายใน รูปเป็นอายตนะ ภายนอก เมื่อตากับรูปกระทบกันเขาเรียกว่าเกิดจักขุวิญญาณ เมื่อกระทบกันแล้วก็เกิดผัสสะ เมื่อเกิดผัสสะก็เกิด เวทนา คือเกิดความชอบใจความไม่ชอบใจ ก็เกิดตัณหาอุปาทาน เกิดกรรมเกิดวิบาก เกิดการยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา แล้ว ก็ส่งไปถึงใจ ดังนั้นที่ดีที่ชั่วได้ทุกวันนี้เพราะได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้กระทบสัมผัส เราไม่รู้สิ่งที่มันเกิด กับตา กับหู กับจมูก กับลิ้น กับกาย กับใจ เราไม่รู้ทันอารมณ์ก็กลายเป็นทาสของอารมณ์ ก็ปล่อยให้มันเกิดจนเป็น โทษเป็นทุกข์ไป เป็นอุปาทานเป็นการยึดติดไปหมด เรื่องสิ่งเหล่านี้เป็นของละเอียดอ่อนทั้งหมดเลย ธรรมของพระ พุทธเจ้าจึงต้องรู้ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ต้องมีสมาธิในการฟัง มีสมาธิในการจำ มีสมาธิในการปฏิบัติ มีสมาธิ ในการพิจารณาให้เห็นให้เข้าใจในเรื่องการประพฤติธรรมตรงนี้

ที่เรามาเรียนเรื่องสติปัฏฐาน ๔ มาเรียนวิธีจับวิญญาณด้วยการเห็นสุข เห็นทุกข์ เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นใจตัวเอง เอาจิตเข้าไปจดจ่ออยู่กับการประพฤติปฏิบัติ เราก็จะรู้ได้ และก็จะเกิดความสบายอกสบายใจรื่นเริง บันเทิงใจเบิกบานสว่างไสวในจิตใจของเรา แต่ถ้าเราไม่รู้ เราก็ถูกอวิชาปิดบัง มันก็ไม่เข้าใจ คนที่อึดอัด หงุดหงิด ฟุ้งซ่านรำคาญใจมีอารมณ์ไม่สบายอกไม่สบายใจอยู่ตลอดวันตลอดคืนหรือตลอดชีวิต ดีใจก็ดีใจมาก เสียใจก็เสีย ใจมาก เพราะยังไม่รู้จักการเกิดและการดับของวิญญาณ คือยังไม่ได้ปฎิบัติธรรมนั้นเองจึงไม่รู้วิธีดับทุกข์ของตัวเอง พระพุทธเจ้าจึงสอนวิธีการทำบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ ด้วยวิธีการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน คือการเข้าไปดูจิตดูวิญญาณของตัวเองให้ได้ เอาศีล สมาธิ ปัญญา ไปส่องสว่างดูว่า…วิญญาณที่พาเกิดพาตาย พาเวียนว่ายไปเป็นมนุษย์ ไปเป็น เทวดา ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปนรกนี่มันอยู่ที่ไหน ถ้าใครตามเจอตามพบก็เป็นอันจบวิญญาณ คือจบจิตก็ไม่ต้องไป เกิดอีกแล้ว ไม่ต้องไปร้องให้ ไม่ต้องไปเสียใจ ไม่ต้องไปทุกข์โศกความผิดหวังต่างๆก็หมดกัน แต่ตราบใดที่เรายังตามหาวิญญาณไม่เจอ ดับวิญญาณชั่วร้ายไม่ได้ เราก็ยังต้องทุกข์ ต้องโศกต้องมีโรคมีภัย มีความผิดหวังทั้งหลาย ทุกข์จะเข้ามาอยู่ในชีวิตของเราทั้งหมดเลย ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายที่ทำบุญกุศลกันก็ต้องพยายามเข้าใจเรื่องธรรมของ พระพุทธเจ้า

ถ้าเราฟังธรรมก็ไม่รู้เรื่อง นั่งสมาธิก็ไม่เข้าใจ พระอธิบายเรื่องรูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ ก็ฟังไม่รู้เรื่องอาจจะเข้าใจว่า …ทำไมคนอื่นเขาจึงทำกันได้ …ทำไมเขาจึงเข้าใจเรื่องนั้นได้ …แล้วเราเป็นใคร …มาจากไหน ก็ต้องไปหาครูบาอาจารย์เพื่อขอวิธีการปฏิบัติเปิดใจตัวเอง ด้วยการหัดเดินจงกรม ด้วยการหัดนั้งสมาธิ จับลมหายใจก็ได้ แล้วพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนังของตัวเราให้มากๆ คิดถึงตัวเราให้มากๆ แล้วก็เลิกคิดถึงคนอื่น ความสงบก็เกิดขึ้น ความหลงก็น้อยลง อันนี้ก็ช่วยเราให้เกิดปัญญาได้ เรายังมีโอกาส ยังมีเวลาอยู่นะ

เรายังมีพระไตรปิฎกอยู่ในตัวเรา แต่เรายังไม่ได้เปิดอ่านเท่านั้นเอง เราต้องรู้จักเหตุของการเกิดความทุกข์ใจ และหาวิธีดับทุกข์ใจให้สู่ความสงบให้ได้ เมื่อทุกคนเข้าถึงความดับ ความว่างเปล่าได้แล้ว บุคคลนั้นจึงค่อยเข้าใจแก่นธรรมของพระพุทธเจ้า จึงจะค้นหาแก่นธรรมของพระพุทธเจ้า โดยเปิดใจตัวเอง ดูวิญญาณตัวเอง แล้วจบตรงที่รู้จักวิญญาณตัวเอง ก็ไม่มีอะไรมาปิดบังปัญญาเราได้ แล้ว เราก็สามารถที่จะรู้แจ้งเห็นจริงตามธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน ก็หายหลง หายโง่ได้ น่าเสียดายที่คนไทยชาวพุทธไทยยังไม่เป็นนักฟังที่ดี ยังไม่เป็นนักปฎิบัติที่ดี ยังไม่เป็นนักอ่านที่ดี ยังไม่รู้จักทุกข์ที่เกิดกับใจ ยังไม่รู้จักวิธีการดับทุกข์ที่ใจ ยังไม่รู้จักมรรคที่เกิดกับใจ ยังไม่รู้จักนิโรธ์ที่เกิดกับใจ แต่คนไทยเราชอบให้ทาน ชอบพิธีกรรม ชอบจะไปสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ชอบจะไปรดน้ำมนต์ ชอบไป หาหมอดู ชอบจะไปทอดกฐินทอดผ้าป่า ชอบปิดทองหล่อพระ คนไทยจึงได้แต่เปลือกพุทธศาสนา ไม่มีวิธีปฎิบัติสติปัฏฐาน 4 ไม่รู้วิธีเจริญกรรมฐาน ถ้าคนไทยเราเอาธรรมล้วนๆ มาปฎิบัติกันหมดทั้งประเทศ ประเทศเราจะมีความเจริญมากกว่านี้ คนเราจะมีความสบายกายสบายใจจะมีความสุขมากกว่านี้ ความเจริญอย่างอื่นเท่ากับความสุขทางใจ ทุกคนก็จะมี ความหวังในพระพุทธศาสนาว่าเป็นที่พึ่งของเราในบั้นปลายสุดท้ายได้แน่นอนเลย

หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ
http://www.vimokkha.com/dhamlife.htm

รดน้ำมนต์เป็นไสยศาสตร์

โลกจะรอดได้เพราะว่าเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าก็เคารพ สิ่งนั้นคือหน้าที่ ๆ ขอให้บูชาหน้าที่ แม้จะทำงานอยู่กลางแดดอาบเหงื่ออยู่กลางแดด ก็เคารพบูชาเหงื่อ ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ ถ้าเกียจเหงื่อแล้วไปเป็นอันธพาลจี้ปล้นดีกว่า ถ้าเป็นธรรมะของอันธพาลอย่าเอาเลย เหงื่อออกมานี่ก็น้ำมนต์ รดพอใจดีกว่าไปรดน้ำมนต์ที่เขารด ๆ กันอยู่ ซึ่งไม่เกิดอะไรขึ้น เป็นไสยศาสตร์มากเกินไป ขอให้รดน้ำมนต์เหงื่อเพราะการทำหน้าที่เถิด แล้วจะเป็นน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้าด้วย แล้วก็รอดจากความทุกข์ จะดับความทุกข์โดยประการทั้งปวงด้วย ขอให้พอใจในหน้าที่ แม้มันจะออกมาในรูปของเหงื่อกลางแดด ทำงานกลางฝนอะไรก็ตามพอใจ ๆ ๆ เป็นสุข ๆ เมื่อทำหน้าที่ เดี๋ยวนี้คนไม่พอใจในความสุขที่แท้จริง ไปพอใจในความเพลิดเพลินที่หลอกลวง เงินไม่พอใช้ต้องกู้ต้องยืม ต้องหลงเป็นเหยื่อของคนหลอกลวง เพราะมันจะไปหาแต่เงินมาบูชากิเลส

พุทธทาสลิขิต
ปาฐกถาธรรมพิเศษ
สวนโมกขพลาราม
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐

ภิกษุโจรปล้นพระพุทธศาสนา

๖. กฎให้ไว้แก่สังฆการีธรรมการ…..
สมเด็จพระบรมนารถบพิตร ฯ ดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมสั่งว่า

แต่ก่อนฆราวาสผู้จะทำทานแก่ภิกษุสงฆ์ โดยต่ำแต่เข้าทับพีหนึ่ง ก็มีผลปรากฎในชั่วนี้ชั่วหน้า เพราะพระภิกษุผู้รับทานนั้นทรงศีลบริสุทธิ์ ฝ่ายฆราวาสผู้จะให้ทานนั้นก็มีปัญญา…..แลผู้ให้ผู้รับทั้งสองฝ่ายสุจริตดีจริง จึ่งให้ผลมากประจักษ์ในชั่วนี้ชั่วหน้าสืบมา

ทุกวันนี้ภิกษุ สามเณร ผู้รับทานรักษาสิกขาบทนั้นก็ฟั่นเฟือน มักมาก โลภ รับเงินทอง ของอันมิควรด้วยกิจพระวินัย สั่งสมทรัพย์สิ่งของ เที่ยวผสมผสานทำการของฆราวาส การศพ การเบญจา เป็นหมอนวด หมอยา หมอดู ใช้สอยอาสาการคฤหัสถ์ แลให้สิ่งของต่าง ๆ แก่คฤหัสถ์ เพื่อจะให้เป็นประโยชน์ จะให้เกิดลาภเลี้ยงชีวิตผิดธรรมมิควรนัก…..

แลภิกษุทุกวันนี้บวชเข้า มิได้กระทำตามพระวินัย ปรนนิบัติเห็นแต่จะเลี้ยงชีวิตผิดธรรม ให้มีเนื้อหนังบริบูรณ์ดุจโค กระบือ…..จะได้เจริญสติปัญญานั้นหามิได้ เป็นภิกษุสามเณรลามกในพระพุทธศาสนา

ฝ่ายฆราวาสก็ปราศจากปัญญา มิได้รู้ว่าทำทานฉะนี้จะเกิดผลน้อยมากแก่ตนหามิได้ มักพอใจทำทานแก่ภิกษุ สามเณร อันผสมผสานทำการของตนจึงทำทาน บางคาบย่อมมักง่าย ถวายเงินทองของอันเป็นอกัปปิยะ มิควรแก่สมณะ สมณะก็มีใจโลภ สั่งสมทรัพย์เลี้ยงชีวิต ผิดพุทธบัญญัติฉะนี้ ได้ชื่อว่าฆราวาสหมู่นั้นให้กำลังแก่ภิกษุโจร อันปล้นพระพุทธศาสนา ทานนั้นหาผลมิได้ ชื่อว่าทำลายพระศาสนา

แต่นี้ไปเมื่อหน้า ห้ามมิให้ภิกษุสามเณรสงเคราะห์ฆราวาส ให้ผลไม้ ดอกไม้ ใบไม้ เป็นต้น แล้วอย่าให้ผสมผสาน ขอกล่าวป่าวร้องเรื่ยไรสิ่งของอันเป็นของแห่งฆราวาสอันใช่ญาติ แล้วอย่าให้ทำการศพ แลทำเบญจการฆราวาสทั้งปวง แล้วอย่าให้เป็นหมอนวด หมอยา หมอดูต่าง ๆ แลให้ยาแก่คฤหัสถ์อันใช่ญาติ แลห้ามอย่าให้พูดใช้สอยนำข่าวสารการฆราวาส แลห้ามบรรดาการทั้งปวงอันกระทำผิดจากพระปาติโมกข์ สังวรวินัย

ภิกษุรูปใดมีอธิกรณ์ข้อใหญ่ สงฆ์พิพากษามิถ่องแท้ เป็นฉายาเงาปาราชิก ควรจะเสียอยู่ข้างการลามกในพระศาสนา เป็นที่สงสัยสงฆ์ทั้งปวงอยู่แล้ว อย่าให้เอาไว้ให้สึกเสีย…..

หนึ่งห้ามฝ่ายฆราวาสทั้งปวง อย่าได้ถวายเงินถวายทองนากแก้วแหวน แลสิ่งขของอันไม่สมควรแก่สมณ เป็นต้น แลทองเหลือง ทองขาว ทองสำฤทธิ์ แก่ภิกษุสามเณร แลห้ามอย่าให้ถวายบาตรนอกกว่าบาตรเหล็กบาตรดิน แลนิมนต์ใช้สอยพระภิกษุสามเณรให้ทำเบญจการศพ แลให้นวดแลทำยา ดูลักษณะ ดูเคราะห์ แลวาดเขียนแกะสลักเป็นรูปสัตว์ แลใช้นำข่าวสารของฆราวาสต่าง ๆ แลห้ามบรรดาการภิกษุสามเณรกระทำผิดพระปาติโมกข์สังวรวินัย…..

แลถ้าพระราชาคณะ เจ้าอธิการ ภิกษุ สามเณร ฆราวาส สังฆการีธรรม การผู้ใดมิได้ทำตามพระราชกำหนดกฎหมายนี้ แลละเมิดเสีย มิได้กำชับว่ากล่าวกัน กระทำให้พระศานาเศร้าหมองดุจหนึ่งแต่ก่อนนั้น ฝ่ายพระราชาคณะ พระภิกษุสามเณร จะเอาญาติโยมเป็นโทษ ฝ่ายฆราวาสทั้งปวง จะให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนตามโทษานุโทษ

กฎให้ไว้ ณ วันอาทิตย์ เดือนแปด ขึ้นสิบห้าค่ำ จุลศักราชพันร้อยสี่สิบห้า (พ.ศ. ๒๓๒๖) ปีเถาะ เบญจศก

[url=http://www.songphuket.org/index.php?option=com_content&view=article&id=89&Itemid=96]กฎหมายพระสงฆ์ของไทย[/url]