Category Archives: อานาปานสติ สมถะและวิปัสสานา มรรค ผล นิพพาน

สมาธิเพื่อชีวิต โดยหลวงพ่อพุธ ฐานิโย

สมาธิตามธรรมชาติ

คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนของปัญญาชนไม่ใช่เป็นคำสอนของบุคคลผู้เชื่อในสิ่งที่ไม่มีเหตุผลด้วยความงมงายศาสนาพุทธสอนให้คนเรียนให้รู้ธรรมชาติและกฎของธรรมชาติถ้าใครจะถามว่าธรรมะคืออะไรธรรมะ ก็คือ ธรรมชาติ ธรรมชาติคืออะไร ก็คือ กายกับใจของเรา…สมาธิแบบพระพุทธเจ้า การกำหนดรู้เรื่องชีวิตประจำวันนี่เป็นเหตุเป็นปัจจัยสำคัญ สำคัญยิ่งกว่าการนั่งหลับตาสมาธิสอนสมาธิต้องสอนสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด ความรู้เห็นอะไรที่เขาอวด ๆ กันนี่อย่าไปสนใจเลย ให้มันรู้ เห็นจิตของเรานี่ รู้กายของเรา รู้ว่าธรรมชาติของกายอย่างหยาบ ๆ มันต้องมีการเปลี่ยนอิริยาบถอยู่ เสมอ ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด อันนี้คือความจริงของกาย

สมาธิ…เพื่ออะไร

ปัญหาสำคัญของการฝึกสมาธินี่ บางทีเราอาจจะเข้าใจไขว้เขวไปจากหลักความจริงสมาธิอย่างหนึ่ง เราฝึกเพื่อให้จิตสงบนิ่งสมาธิอย่างหนึ่ง เราฝึกเพื่อให้มีสติสัมปชัญญะรู้ทันเหตุการณ์นั้น ๆ ในขณะปัจจุบันสมาธิบางอย่าง เราปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ความเห็นภายในจิต เช่น รู้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ รู้เรื่องอดีต อนาคต รู้อดีต หมายถึงรู้ชาติในอดีตว่าเราเกิดเป็นอะไร รู้อนาคต หมายถึงว่าเมื่อเราตาย ไปแล้วเราจะไปเป็นอะไร อันนี้เป็นการปฏิบัติเพื่อรู้อดีตเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้ว อนาคตก็เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ดังนั้นเราสนใจอยู่ในสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ดีไหม …ที่ครูบาอาจารย์สอนว่า ทำกรรมฐานไปเห็นโน่นเห็นนี่ นี่มันใช้ไม่ได้ ให้มันเห็นใจเราเองซิ…อย่าไปเข้าใจว่าทำสมาธิแล้วต้องเห็นนรก ต้องเห็นสวรรค์ ต้องเห็นอะไรต่อมิอะไร สิ่งที่เราเห็น ในสมาธิมันไม่ผิดกันกับที่เรานอนหลับแล้วฝันไป แต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ ต้องเห็นนี่ คือเห็นกายของเรา เห็นใจของเรา

 

หลักสากลของการปฏิบัติสมาธิ

การบำเพ็ญสมาธิจิตเพื่อให้เกิด สมาธิ สติ ปัญญา มีหลักที่ควรยึดถือว่าทำจิตให้มีอารมณ์สิ่งรู้ สติให้มีสิ่งระลึก จิตนึกรู้สิ่งใดให้มีสติสำทับเข้าไปที่ตรงนั้นยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นอารมณ์จิต ฝึกสติให้รู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าใครจะทำอะไร มีสติตัวเดียว เวลานอนลงไป จิตมันมีความคิดอย่างใด ปล่อยให้มันคิดไปแต่ให้มีสติ ตามรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับอันนี้เป็นวิธีการทำสมาธิตามหลักสากล…ถ้ามีใครมาถามว่า ทำสมาธินี่คือทำอย่างไร คำตอบมันก็งายนิดเดียว การทำสมาธิ คือ การทำจิตให้มีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึก หมายความว่า เมื่อจิตของเรานึกถึงสิ่งใดให้มีสติสำทับไปที่ตรงนั้น เรื่องอะไรก็ได้ ถ้าเอากันเสียอย่างนี้ เราจะรู้สึกว่าเราได้ทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา

หลักสากลของการปฏิบัติสมาธิ

การบำเพ็ญสมาธิจิตเพื่อให้เกิด สมาธิ สติ ปัญญา มีหลักที่ควรยึดถือว่าทำจิตให้มีอารมณ์สิ่งรู้ สติให้มีสิ่งระลึก จิตนึกรู้สิ่งใดให้มีสติสำทับเข้าไปที่ตรงนั้นยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นอารมณ์จิต ฝึกสติให้รู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าใครจะทำอะไร มีสติตัวเดียว เวลานอนลงไป จิตมันมีความคิดอย่างใด ปล่อยให้มันคิดไปแต่ให้มีสติ ตามรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับอันนี้เป็นวิธีการทำสมาธิตามหลักสากล…ถ้ามีใครมาถามว่า ทำสมาธินี่คือทำอย่างไร คำตอบมันก็งายนิดเดียว การทำสมาธิ คือ การทำจิตให้มีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึก หมายความว่า เมื่อจิตของเรานึกถึงสิ่งใดให้มีสติสำทับไปที่ตรงนั้น เรื่องอะไรก็ได้ ถ้าเอากันเสียอย่างนี้ เราจะรู้สึกว่าเราได้ทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา

สมาธิ…ไม่ใช่การนั่งหลับตาเท่านั้น

…ถ้าหากไปถือว่าสมาธิคือการนั่งหลับตาอย่างเดียว มันก็ถูกกับความเห็นของคนทั้งหลายที่เขาแสดงออก แต่ถ้าเราจะคิดว่า อารมณ์ของสมาธิคือ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ไม่ว่าเราจะทำอะไร มีสติสัมปชัญญะรู้อยู่กับเรื่องปัจจุบัน คือเรื่องชีวิตประจำวันนี้เอง เราจะเข้าใจหลัก การทำสมาธิอย่างกว้างขวาง และสมาธิที่เราทำอยู่นี่จะรู้สึกว่า นอกจากจะไปนั่งหลับตาภาวนา หรือเพ่งดวงจิตแล้ว ออกจากที่นั่งมา เรามีสติตามรู้ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด แม้ว่าเรา จะไม่นั่งสมาธิอย่างที่พระท่านสอนก็ได้ เพราะว่าเราฝึกสติอยู่ตลอดเวลา เวลาเรานอนลงไป คนมีความรู้ คนทำงาน ย่อมมีความคิด ในช่วงที่เรานอนนั่นแหละ เราปล่อยให้จิตเราคิดไป แต่เรามีสติตามรู้ความ คิดจนกระทั่งนอนหลับถ้าฝึกต่อเนื่องกันทุกวัน ๆ เราจะได้สมาธิอย่างประหลาด นี่ถ้า เราเข้าใจกันอย่างนี้ สมาธิจะ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ไม่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์โลกให้เจริญ แต่ถ้าหากจะเอา สมาธิมุ่งแต่ความสงบอย่างเดียว มันจะเกิดอุปสรรคขึ้นมาทันที แม้การงานอะไรต่าง ๆ มองดูผู้ คนนี่ขวางหูขวางตาไปหมด อันนั้นคือสมาธิแบบฤาษีทั้งหลาย

ความลึกลับของจิต

โลก เขามีที่ยึดมาตลอดนะ ถึงผิดพลาดๆ อะไรเขาก็มีที่ยึดที่อาศัย สำคัญใจนี้ ต้องหาที่ยึดเสมอ ใจนี้อยู่เฉยๆ ไม่ได้ต้องหาที่ยึดที่เกาะ พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้ได้ธรรมเป็นที่ยึดที่เกาะถูกต้อง ไปราบรื่นดีงาม ตามธรรมดาใจมันส่ายแส่หาที่ยึด อะไรๆ ต้นไม้ ภูเขา เจดีย์ล้างที่ไหนไปกราบไปไหว้ไประลึกเป็นที่พึ่งไปอย่างนั้น ให้เอาธรรมะเข้าไปสู่ใจถูกต้อง

พูด ถึงเรื่องจิตรวมนี่ก็ไม่ใช่เล่นนะ นักภาวนาจะรู้ความลึกลับของจิต ถ้าเป็นนักภาวนาเอาจริงเอาจังนะจะรู้เรื่องความลี้ลับของจิต เวลามันเปิดออกรู้ สิ่งไม่เคยรู้รู้ สิ่งไม่เคยเห็นมันเห็นจะว่าอย่างไร อย่างท่านอาจารย์ฝั้นท่านพูด เราไม่ลืมนะ ท่านนั่งภาวนาอยู่จิตมันสว่างออกไป ออกไปเหมือนตาเนื้อเรานี่ เดินไปเห็นทุกอย่าง มองไปเห็นมะละกอลูกหนึ่งสุกอยู่ ท่านนั่งภาวนาอยู่นี้ ท่านมองไปเห็นมะละกอสุกอยู่เหลืองอร่าม สวยงามมาก ท่านว่าอย่างนั้นนะ มัน เป็นอย่างไรภาวนาจะพาไปสวรรค์นิพพานทำไมไปหาผลหมากรากไม้อย่างนี้ ไปเห็นจริงๆ ท่านว่า เห็นเหมือนเห็นด้วยตา พอตื่นเช้าไปก็ไปดู มีจริงๆ มะละกอสุกเหลืองอร่ามอยู่มีจริงๆ ท่านเห็น ท่านภาวนาไปเห็นมะละกอสุก

ท่าน สำคัญนะท่านอาจารย์ฝั้น ไปภาวนาอยู่ที่ทางเขาใหญ่ ดูเหมือนมีตาปะขาวคนหนึ่ง หรือพระองค์หนึ่งเณรองค์หนึ่งไปด้วยกันไปอยู่ที่นั่น มันได้เห็นเป็นสักขีพยานจริงๆ ท่านว่า เขาบอกว่าที่แถวนี้มีผี เขาเรียกว่าผีกองกอยอยู่ที่เขาใหญ่ ท่านไปภาวนาอยู่กับชาวบ้านเขาสองสามหลังไปภาวนาที่นั่น กลางคืนก็มา เขาว่ามีผีกองกอย ผีกองกอยนี่มันกินคนว่าอย่างนั้นนะ กลางคืนนั่งภาวนามันมักมาเสมอ ท่านนั่งภาวนามาจริงๆท่านว่านะ ผีกองกอยละมาจริงๆ กองกอยๆ

ท่าน ก็นั่งภาวนาอยู่ ตาใจท่านเป็นตาธรรม ตาผีมันเป็นตาเปรตตาผี อำนาจไม่เหมือนธรรม พอมันร้องกองกอยๆ มานี่ท่านก็กำหนดจิตดู ไปเห็นจริงๆ ตัวมันเหมือนลิง ท่านว่าอย่างนั้นน พอสายตา..ตาใจนะไปรับกันกับตามัน วิ่งป่าราบไปเลย ตั้งแต่นั้นไม่มาอีกเลย มันมีจริงๆ ผีกองกอย ท่านเห็นเองท่านบอกอย่างนั้นนะ ท่านภาวนา เขาว่าแถวนี้มีผีกองกอย เขาว่าอย่างนั้น ท่านก็ฟังเฉยๆ กลางคืนก็ภาวนามันก็ร้องกองกอยๆ นะ ท่านจะดูมันเป็นอย่างไรผีนี้มันเป็นตัวชนิดไหน

ท่าน ก็นั่งภาวนา พอมันร้องมาใกล้ๆ แล้วส่งจิตออกไปดู พอตาใจของท่านไปกระทบกับตามัน โหย วิ่งป่าราบเลย กลัวมากที่สุดเลยกลัวธรรม กลัวกระแสของจิตท่าน พอมองเห็นตาใจไปรับกันกับผีกองกอยแล้ววิ่งเลยทีเดียว ป่าราบไปเลย กลัวมากที่สุด ตัวมันเหมือนลิง ท่านว่าอย่างนั้น เห็นตัวจริงๆ ท่านบอก นี่ละท่านพูด เพราะท่านอาจารย์ฝั้นท่านมีลึกลับอยู่ มันก็วิ่งไปตั้งแต่นั้นมันไม่มาอีก ไม่มาเลยท่านว่าผีกองกอย มีจริงๆ ท่านว่า ตัวมันเหมือนลิง พอมันมาใกล้ๆ ท่านส่งจิตไปดู พอไปดูตามันกับตาใจท่านรับกันปั๊บเท่านั้นละวิ่งเลย ป่าราบไปเลย กลัวๆ มากท่านว่า ท่านอาจารย์ฝั้นท่านเล่าให้ฟัง ท่านมีลึกลับอยู่ท่านอาจารย์ฝั้น

พวก นักภาวนาละมีความรู้แปลกๆ แฝงอยู่ด้วยกัน เป็นแต่ท่านจะพูดหรือไม่พูด เท่านั้นละ ถ้าเวลาสนทนาธรรมะกันไปส่วนปลีกย่อยเห็นนั้นเห็นนี้ๆ ท่านเล่าสู่กันฟังน่าฟังนะ เห็นเปรตเห็นผีเห็นอะไรเวลาปลีกย่อยท่านพูดไป ถ้าส่วนทางจิตมรรคผลนิพพานเป็นธรรมดา ท่านเล่าธรรมดา แต่เวลามันปลีกย่อยออกไปมันไปเห็นแปลกๆ ต่างๆ เห็นผีเห็นอะไรนะ โห ผีนี้มีหลายชนิด ท่านว่าอย่างนั้น เห็นมันมา

แต่ ผีใดก็ตามเถอะกลัวธรรมทั้งนั้น ท่านว่าอย่างนั้นนะ พอสายตาของจิตเรานี้ไปรับกันเท่านั้นละวิ่งเลยเชียว ไม่อยู่ เช่นอย่างผีกองกอยนี่เหมือนกัน มันมากองกอยๆ มา มีตาปะขาวนั่งอยู่ภาวนาแล้วดูว่ามีเณรองค์หนึ่งหรืออย่างไร เวลามันร้องมาท่านก็นั่งภาวนาดู จะดูผีกองกอยจริงๆ มันเป็นอย่างไร มันเป็นตัวอย่างไร มันก็มากองกอยๆ มา ท่านก็นั่งกำหนดจิตดู พอดูสายตาของธรรมของจิตไปกระทบกับสายตาของผีกองกอย โอ๋ย กลัวมากนะ วิ่งป่าราบไปเลยเชียว กลัว

ผีกองกอย มี ท่านว่ามีจริงๆ ท่านว่า แต่ตัวมันเหมือนลิง ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านบอกว่าผีกองกอยนี่ตัวมันเหมือนลิง แต่มันกลัวๆธรรม พอสายตาของธรรมเราพาดเข้าไปปั๊บสายตาของมันมารับกันปั๊บวิ่งเลย กลัวๆมาก ตั้งแต่นั้นไม่มาอีกเลย นี่ท่านอาจารย์ฝั้นท่านเล่าเองมันถนัดชัดเจน เอาล่ะทีนี้นะเลิกกันละนะ

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒
นักภาวนาจะรู้ความลึกลับของจิต
http://www.luangta.com

จิตเหนือโลก

พูดถึงเรื่องเทศน์นี้เราคิดเห็นตั้งแต่สมัยเป็นกรรมฐาน เทศน์กรรมฐานสอนพระหมุนติ้วเลยเชียว จนรัวเหมือนปืนกล ทั้งลมทั้งธาตุขันธ์ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งอรรถทั้งธรรมมันพร้อมกันแล้วออกพุ่งๆๆ จนหายใจไม่ทัน นี่หมายถึงว่ากำลังวังชาดี ธาตุขันธ์อรรถธรรมก็ดีอยู่แล้ว ทุกอย่างดีพร้อมกันแล้วเวลาเทศน์นี้ไหลเลยเชียว เดี๋ยวนี้ไม่ได้นะ เทศน์นี่ชักอยู่นี้เลย ชักเลย เทศน์ไม่ได้เดี๋ยวนี้

พอออกปฏิบัติแล้วก็สอนตน นี่เริ่มปฏิปทาของเราที่ดำเนินมา พอเรียนเรียนจริงๆ เรียนอยู่ ๗ ปี เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี พอออกจากเรียนแล้วออกเข้าป่า เข้าป่านี้จนกระทั่งทุกวันนี้เข้ามาเรื่อยเข้าป่า ตอนเข้าป่านี้สอนตนทั้งนั้น เรียนหนังสือนี้เรียนวิธีการสอนคนอื่น สอนตนสอนคนอื่นไปด้วยกันนะ แต่พอออกปฏิบัติแล้วธรรมะทั้งหลายที่เรียนมานั้นเข้ามาสอนตนทั้งหมดเลย รวมเข้ามาสอนตนจากนั้นแล้วก็สอนโลกละทีนี้ ต่อไปนี้สอนโลกเรื่อยจนกระทั่งทุกวันนี้ มันมีอยู่สามพักนั่นละ พักหนึ่งเพื่อเรียนสอนตนเสียก่อน แล้วอะไรอีก ปฏิบัติเพื่อตนเองก่อนนะ จากนั้นก็สอนโลกต่อไปเรื่อยๆ สอนโลกเรื่อย ทุกวันนี้เลยสอนโลกก็ไม่ได้สอนตนก็ไม่ได้ หมดกำลัง ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร

พูดถึงเรื่องตัวเอง ความเป็นอยู่ของตัวเองทุกอย่างพร้อมหมด ไม่มีอะไรที่ต้องติ หลักธรรมหลักวินัยเราไม่คลาดเคลื่อนนะ แต่ไหนแต่ไร แต่เรียนหนังสือก็ไม่เคยคลาดเคลื่อน หลักธรรมหลักวินัยตรงเป๋งๆตลอด ยิ่งออกปฏิบัติแล้วยิ่งแน่นหนามั่นคงเข้าไปอีก ทั้งๆ ที่เราก็ปฏิบัติได้ตั้งแต่ก่อน แต่พอออกปฏิบัติยิ่งเข้มงวดกวดขันแน่นหนามั่นคงเข้าเรื่อยๆ จนกระทั่งได้มาสอนโลกนี่ สอนอย่างเอาจริงเอาจัง สอนตัวเองก็ไม่สอนธรรมดานะเราสอนเราเองนะ คือมันจริงมาทุกอย่าง ไม่ได้เหลาะแหละนะ ถ้าว่าออกเรียนก็เรียนจริงๆ เรียนเพื่อปฏิบัติ พอออกปฏิบัติก็เอาจริงเอาจังเพื่อมรรคผลนิพพาน ถึงขั้นอรหันต์นะ มรรคผลนิพพานจะเอาให้ถึงพระนิพพานให้ได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในพุทธศาสนาของเรา มันเป็นอยู่ในจิตนะ มันมั่นคงอยู่นั่นหมุนติ้วๆ

ทีนี้ความเพียรมันก็กล้าละซี ความเพียรเร่งเลย ปฏิบัติจนกระทั่งมาทุกวันนี้เลยไม่ทราบว่าเรียนถึงไหนปฏิบัติถึงไหนนะทุกวันนี้นะ อยู่เซ่อซ่าๆ ไปอย่างนั้นละ เข็มทิศทางเดินที่ตั้งออกไปจะว่าล้มเหลวก็ถูก ไม่ล้มเหลวก็ได้ เพราะมันหากอ่อนไปตามธาตุขันธ์นะ ความเข้มข้นแต่ก่อนเข้มข้นมากธาตุขันธ์ดี ทีนี้ธาตุขันธ์อ่อนลงๆ ความเข้มข้นก็เลยอ่อนลงเหมือนกันนะ จึงปฏิบัติไม่สะดวก อย่างทุกวันนี้ไปเซ่อๆ ซ่าๆ ไปอย่างนั้นละ แต่หลักธรรมหลักวินัยไม่เคลื่อนคลาดนะ หลักธรรมหลักวินัยไม่มีเคลื่อนคลาดแต่ไหนแต่ไรมา ตรงเป๋งๆ ตลอด ความขยันหมั่นเพียรเข้มข้น

นี่ก็ได้พูดกับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย นี่จวนจะตายแล้วค่อยเปิดออก เปิดออกนะ เปิดธรรมะนี้ออกจากใจ แต่ก่อนมีแต่หมุนเข้า หมุนเข้ามา เข้ามาหาใจ หาใจ เวลานี้ค่อยระบายออก ระบายออก จากความเอาจริงเอาจังของตัวเอง มันเอาจริงเอาจังมากแต่ก่อน เวลาปฏิบัติจะให้ถึงแดนแห่งมรรคผลนิพพาน เอาจริงเอาจังด้วย จะเอาให้ถึงจริงๆ ในใจนี้มันหมายมั่นปั้นมือตลอดเลย จะเอาให้ถึงมรรคผลนิพพาน ให้ได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าเรา มันเข้มข้นมาก ตอนนี้ละความเพียรเร่งเอาเสียเรื่อยๆ มาจนกระทั่งทุกวันนี้ จากนั้นก็อ่อนแอ กำลังวังชาอ่อนเอง แต่เรื่องเราหวังอย่างนั้นอย่างนี้สมหวังหรือไม่ ไม่อยากพูดนะ มันสมใจว่าอย่างนั้นเถอะ สมใจเลย ไม่ขัดข้อง เรียกว่าสมใจตัวเอง

การปฏิบัติจิตนี่เหมือน จิตนี่มันถูกหุ้มห่อปิดปังอยู่ด้วยกิเลสตัณหามันเหมือนแก้วดำไปครอบจิตใจที่สว่างให้ดำไปหมดนั้นเปิดออกหมด เวลามันเปิดออกมันก็จ้าไปหมดเลย มันเป็นอย่างนั้นละ ทุกวันนี้อยู่สภาพคนแก่ จะว่าเปิดเปิดในหัวใจนี้เปิดหมด ไม่มีข้องแวะอะไร สงสัยอะไรไม่มี หมด ที่จะตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนๆ หายสงสัยหมดเลย สมใจที่เราประกอบความเพียรมาแทบล้มแทบตาย หมายพระอรหันต์เป็นเข็มทิศ เป็นที่อยู่ ครองมรดกอันล้ำเลิศของพระพุทธเจ้าคืออรหันต์ นี่ก็ใส่กันเต็มเหนี่ยวละ แล้วหยุดเองนะ มันหมดกำลังแล้วหยุดเอง ว่าไปไม่ไหวแล้วไม่พูด ว่าไปไม่ไหวแล้วก็ไม่พูด มันอ่อนกำลังที่จะประกอบความพากเพียร ผลที่มุ่งหวังมุ่งมุ่งอย่างไรๆ มันก็เป็นไปในใจ เป็นไปในใจไปทุกอย่างๆ แล้วพอใจ ลงสุดท้ายพอใจ เราพอใจ

พี่น้องทั้งหลายอยากทราบก็ทราบเสีย อีตาบัวนี่เกิดบ้านตาดนี่ละ เกิดบ้านตาดแล้วออกไปบวช ออกไปบวชก็เรียนหนังสืออยู่กี่ปีจากนั้นก็ออกกรรมฐาน พอออกกรรมฐานก็มุ่งหาหลวงปู่มั่นเลย เข้าหาหลวงปู่มั่นปุ๊บเลย เกาะติด ไปหาหลวงปู่มั่นแล้วเกาะติดเลยไม่ปล่อย เอาจนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป อยู่กับท่านได้ ๘ ปี คือตั้งแต่วันไปพบท่านจนกระทั่งวันท่านมรณภาพจากไปดูเป็นเวลา ๘ ปี นั่นละเอาเลย จากนั้นเราก็ฟิตเราต่อไปเลย ไม่มีท้อมีถอยทุกอย่าง ท่านทั้งหลายจะฟังก็ฟังเสียนะ หลวงตานี่จวนจะตายแล้ว

(มีคนถ่ายรูปขึ้น) อย่ามาถ่ายรูปแว็บๆ วับๆ ฟาดเข้าป่าหน่อยนะ มันไม่ดูหน้าดูหลังบ้างเหรอ เวลากำลังเทศน์มาถ่ายทำไมถ่ายรูป ดูมนุษย์เขาเป็นอย่างไรเราเป็นอย่างไร เอามนุษย์เทียบกับคนทั้งหลายบ้างซี เราเป็นอย่างไรมนุษย์ประเภทไหน ต้องการความสำคัญในอรรถในธรรมหากมีล่ะเรื่องแว็บๆ วับๆ มีมา นี่ก็ล้มไปแล้ว

นี่เอาจริงเอาจังการปฏิบัติจึงสง่าผ่าเผยในใจ อาจหาญทุกอย่างในใจ ไม่ว่าการเข้าคบค้าสมาคมกับคนชั้นใดไม่เคยมีความสะทกสะท้าน จะสูงขนาดไหนก็สูง ธรรมเราสูงกว่า ธรรมเราสูงกว่าตลอดเวลา จะคบค้าสมาคมกับมนุษย์ชั้นใดภูมิใดจิตใจสูงกว่าทุกขั้นทุกภูมิ เรียกว่าผ่านแล้ว เหนือกว่า เหนือกว่า จึงไม่เคยสะทกสะท้านกับสมาคมใด จะเข้าสมาคมใดก็ตามเราไม่เคยมีคำว่าสะทกสะท้าน เพราะธรรมชาตินี้เหนือกว่าแล้ว เหนือกว่า ธรรมเหนือกว่า จนกระทั่งทุกวันนี้ อะไรก็เลยเสมอหมดทุกวันนี้ มันเสมอไปหมดแล้วละ เจ้าของก็มีแต่ลมหายใจ

ไม่วิตกวิจารณ์ว่าผลได้ผลเสียเป็นอย่างไร การปฏิบัติของเรายังขาดตกบกพร่องอะไร ผลได้ผลเสียที่จะหามาเพิ่มเติมมีอะไรบ้าง บัดนี้หายสงสัย ไม่เป็นกังวล นี่เรียกว่าหาเต็มเม็ดเต็มหน่วยให้เต็มอกเต็มใจ หายสงสัยหมด จวนจะตายแล้วพูดให้มันชัดเจนเสีย เราจะไม่กลับมาเกิดอีก มันแน่อยู่ในหัวใจ ขาดแล้วในระหว่างสมมุติกับวิมุตติขาดกันหมดโดยสิ้นเชิงมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ ๖๐ กว่าปีแล้วมัง ตั้งแต่นี้ขาดจากกันมา ตั้งแต่นั้นละสง่างามมาเรื่อย ไม่มีท้อแท้อ่อนแอ ไม่มีสมาคมใดในสามโลกธาตุที่จิตดวงนี้จะยอบแยบจะพรั่นพรึงหวั่นไหวไม่มี สง่าอยู่อย่างนั้น

นี่ละจิตเหนือโลกแล้ว โลกคืออะไรคือกิเลส กิเลสเท่านั้นที่มันเหนือโลกอยู่ทุกวันนี้ นอกจากกิเลสไม่มีอะไรเหนือโลก โลกถึงวิ่งไปตามกิเลสจึงร้อนกันทุกหย่อมหญ้าซิ ทีนี้เมื่อธรรมเหนือกิเลสแล้วกิเลสหมอบ เมื่อกิเลสหมอบแล้วธรรมก็ออกอย่างสง่าผ่าเผย ไม่สะทกสะท้านกับสิ่งใด พากันจำเอาไว้นะ นี่เราจวนจะตายพูดให้ท่านทั้งหลายฟังเสีย สิ่งที่เราหาตั้งแต่วันบวชมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้เราสมมักสมหมายแล้ว สมมักสมหมายไม่ได้มีที่ต้องติว่าบกพร่องตรงไหนบ้างไม่มี สมบูรณ์แบบทุกอย่างจึงสอนโลกได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่สะท้านหวั่นไหวว่าเรายังขาดอะไร ไม่มีขาด หัวใจเต็มไปด้วยธรรม ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน พูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยแหละ

นี่ก็บวชมาตั้งแต่พ.ศ.บวชมาเท่าไร (๗๖ ปีครับ) บวชมานี้ ๗๖ ปี นั่นละ ๗๖ ปีมีแต่ฝึกจิตนะ ๗๖ ปีฝึกจิตทั้งนั้นละ ฝึกกายวาจาฝึกมาตั้งแต่วันบวช ฝึกจิตนี้ฝึกด้วยจิตตภาวนาจึงเน้นหนักเข้าไปนี้ละ ฝึกจิตตภาวนานี่ฝึกยากนะ เอากันตอนนี้ตอนภาวนา ฝึกจิตเอาให้จิตหายพยศ ความพยศอยู่กับกิเลส กิเลสอยู่กับจิตเอาให้กิเลสหมอบราบหมดแล้วความพยศในจิตไม่มี ตัวพยศคือจิตคือกิเลสนั่นแหละสำคัญเข้าไปเหยียบย่ำทำลายจิตให้เดือดร้อนวุ่นวาย พอตัวนี้ขาดสะบั้นไปแล้วไม่มีจิตพยศ ไม่ปรากฏ กิเลสตายแล้วตัวพยศ หมด อยู่สะดวกสบาย ตายแล้วหายห่วง

เราบอกชัดๆ เลยว่าจะไม่กลับมาเกิดอีก พูดให้มันชัดๆ อย่างนี้เสีย เราปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตายเรายังทำได้ของเรา ทำถึงแทบเป็นแทบตายนะการภาวนา แล้วการที่จะแย็บออกให้เป็นคติตัวอย่างแก่บุคคลผู้ดีทั้งหลายทำไมจะพูดไม่ได้ ของดีใครก็อยากพูดใช่ไหมละ นี่เราหาอรรถหาธรรมได้เล็กได้น้อยเราพูดบ้างมันเสียหายที่ตรงไหน นี่เราหาอรรถหาธรรมหาจนหายสงสัยแล้ว หมดสงสัยในใจของเรา บอกว่าไม่มี กิเลสตัวใดที่จะมากีดขวางให้เกิดความสงสัยในการไปการมาเคลื่อนไหวความเกิดความตายของเราไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง นี่เราก็พูดได้สบายๆ เราไม่มีอะไรกีดขวางหัวใจนะ เอาให้เรียบหมดเลย จึงพูดได้กับพี่น้องทั้งหลาย

ท่านทั้งหลายให้ฟังให้ดี อย่าฟังด้วยทิฐิมานะอวดรู้อวดฉลาดอวดเบ่งกล้ามมันมีนะ กิเลสชอบไปเบ่งกล้ามใส่ธรรมเสมอ ถ้าพูดอะไรแล้วหาว่าท่านโม้ท่านคุย เจ้าของอวดเบ่งอยู่ภายใน อึ่งอ่างกับวัว วัวตัวเท่าไร อึ่งอ่างตัวเท่าไร มันไม่ดูอึ่งอ่างตัวมันเบ่งอยู่นั่นน่ะ เพราะฉะนั้นคนเราจึงหาดีไม่ได้ มันไม่ยอมฟังเสียงใคร มันเอาแต่เสียงอึ่งอ่างมันนั่นละเบ่งอยู่อย่างนั้น ดีไม่ดีใหญ่ไม่ใหญ่ก็ตามได้เบ่งก็เอา เข้าใจไหม วัวเขาไม่เป็นอะไรวัวเขาหากินธรรมดาเขา แต่อึ่งอ่างนี้เบ่ง มันมีแต่พวกเบ่งมันจึงหาความดีไม่ได้ ครูบาอาจารย์สอนก็ถือเป็นข้าศึกศัตรูแล้วเบ่งใส่ครูบาอาจารย์ สุดท้ายวัดกับบ้านจะเข้ากันไม่ได้เพราะมันเบ่งใส่วัด วัดท่านไม่อยากเล่นด้วยท่านก็ปล่อยเสีย ให้มันเบ่งอยู่ของมันคนเดียว ตัวเก่งๆ ให้มันเบ่งของมัน ฟังเอานะ พวกเรานี่พวกอึ่งอ่างมันเบ่งนั่นละ มันไม่ได้หาของดิบของดี หาแต่ของเลวของเบ่งๆ ตัวเท่าอึ่งหากเบ่ง ได้เบ่งก็เอา มันเป็นอย่างนั้นนะ

นี่พี่น้องทั้งหลายได้มาเยี่ยม นานๆ ได้เข้ามาสู่อรรถสู่ธรรมหนหนึ่งก็ให้นำไปประพฤติปฏิบัติ การปฏิบัติอย่างพระพุทธเจ้าที่เราได้มากล่าวถึงท่าน พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ เอาเป็นเอาตายเข้าว่า ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เรียกว่าเรากราบเราไหว้ผู้รอดตายมานะ พระพุทธเจ้ากว่าจะได้ตรัสรู้ธรรมทั้งหลายตลอดพระสงฆ์ท่านรอดตายนะ เราก็ขอให้นำท่านมาปฏิบัติเป็นคติตัวอย่างแก่ตัวเอง อย่าเป็นอึ่งอ่าง เข้าใจไหมอึ่งอ่าง อึ่งอ่างกับวัว อึ่งอ่างตัวเท่ากำปั้น วัวตัวเท่าวัว แล้วอึ่งอ่างมันเบ่งของมัน มันไม่เท่าละเท่าวัว มันก็เท่าอึ่งอ่างละแล้วตายทิ้งเปล่าๆ ด้วยความถือทิฐมานะอวดรู้อวดฉลาดว่าตัวเก่ง มันไม่เก่งเท่าตัวอึ่งอ่างนะ ตัวอึ่งอ่างจะพาจมนะ

นั่นละใครดีก็ตามสู้เราดีไม่ได้ ตัวนี้ตัวมันจะพาลงนรก ให้ฟังเสียงครูบาอาจารย์บ้างซิ เราอย่าอวดดีอวดเบ่งว่าเราเป็นเจ้าถิ่นเจ้าฐานเจ้าบ้านเจ้าเรือน ครูบาอาจารย์ก็เลยมากลายเป็นลูกศิษย์ของเราไป ฟังเสียงเรา นี่ละตัวอึ่งอ่างตัวมันเบ่งเก่งๆ แล้วจมก่อนเพื่อนด้วยนะตัวนี้นะ ให้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ไม่ใช่ของใคร ธรรมเป็นธรรมชาติสูงไม่มีอะไรเสมอล่ะ ให้ฟังเสียงธรรมแล้วนำมาประดับจิตใจของตน อันใดไม่ดีให้แก้ไขดัดแปลงตนเอง มันจึงเป็นคนดีสมเรามีพระเจ้าพระสงฆ์ในวัดในวาของเรา เราอย่าไปอวดเบ่งใส่ท่าน ส่วนมากมันมีแต่ชาวบ้านอวดเบ่งใส่วัดนั่นละ ไปที่ไหนมองแป๊บรู้ทันทีชาวบ้านมันอวดเบ่งใส่พระ หาว่าที่นี่เป็นที่ของเราบ้านของเรา อะไรก็เป็นของเรา ของเรา ธรรมเลยเป็นแขกเข้าไปติด ต้องออกไปนู่นนอกบ้าง จะเข้าบ้านก็เข้าไม่ได้ มันไปเจอเอาตัวอึ่งอ่างต้องได้หลีกไป ธรรมเข้าบ้านไม่ได้ ธรรมกลัวบ้านกลัวตัวอึ่งอ่างตัวเก่งกว่าครูเข้าใจไหม ตัวอึ่งอ่างตัวมันเก่งกว่าครูมีเยอะนะ ทุกวันนี้ยิ่งหนาแน่นขึ้นมา ยิ่งไปเรียนที่นั่นที่นี่มาแล้ว โถ เบ่งจนท้องแตก เจ้าของตายยังไม่รู้ว่าท้องแตกจนตาย พากันจำเอา

วันนี้ก็ได้มาอบรมศีลธรรม ให้ได้ศีลธรรมไปแก้ไขดัดแปลงตนบ้าง ครูบาอาจารย์ ท่านเอาเป็นเอาตายนะ ดัดแปลงสั่งสอนตัวเองเอาจนถึงขั้นเป็นขั้นตายก็ตาย ท่านไม่ถอย จึงได้อรรถได้ธรรมมาสั่งสอนพี่น้องทั้งหลายแล้วให้พากันนำไปประพฤติปฏิบัติกำจัดสิ่งที่อึ่งอ่างมันอยู่ในตัวของเรานั้นออก ให้มันเหลือแต่ธรรมชาติตัวเท่าวัว เราตัวธรรมชาติตัวเท่าอึ่งนี้เบ่งเท่าวัวมันไม่ได้ล่ะ วัวเป็นวัว อึ่งเป็นอึ่ง อย่าอวดดีอวดเก่งยิ่งกว่าท่านผู้ดีทั้งหลาย ให้พากันจำเอา

พูดไปพูดมาเหนื่อยแล้วนะ วันนี้มีเท่านั้น แล้วพระเจ้าพระสงฆ์มาพระเจ้าพระสงฆ์ก็ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้สวยงาม พระเจ้าพระสงฆ์ไม่ได้สวยงามที่ผ้าเหลือง โกนผมโกนคิ้วนะ สวยงามที่ข้อวัตรปฏิบัติ เพศของพระกลมกลืนไปกับธรรมกับวินัย พระองค์ไหนสวยงามสวยงามที่กิริยามารยาท การแสดงออกไม่ผิดเพี้ยนจากเพศของพระเลย นั่นละพระที่สวยงาม ไม่ใช่สวยงามแบบแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างเขาแต่งตัวเสริมสงเสริมสวยมีอยู่ทุกหย่อมหญ้าก็ไม่เห็นมันสวย ก็เท่านั้นแหละ เราแต่งเราให้แต่งอยู่ภายใน ใครไม่ว่าสวยก็ตามเรามีความสุขุมคัมภีรภาพอยู่ในใจของเราและความเย็นอกเย็นใจ เพราะการปฏิบัติดีของเรา ให้จำเอาตรงนี้นะ

พระเณรเราอย่าลืมเนื้อลืมตัว ครั้นนานไปนานไปพระเราก็เลอะเทอะ ทีแรกพระเป็นหัวหน้าของบ้านของเรือนเขาเห็นพระเขาได้กราบพระเย็นใจ ทีนี้พระกับโยมก็พอๆ กัน ดีไม่ดีพระสู้โยมไม่ได้แล้วเลวกว่าโยมใครจะกราบลงคอ ให้ตั้งใจปฏิบัติตัวให้ดี อยู่ที่ไหนอย่าลืมคำว่าเป็นพระ พระนั้นมีธรรมมีวินัยเป็นเครื่องกำกับรักษา กิริยาเคลื่อนออกไปไหนมาไหนให้มีเพศของพระติดตัวไปด้วย สวยงามด้วยกิริยามารยาทของพระ จะสวยงามยิ่งกว่ากิริยามารยาทใดๆ ในโลก ให้พากันจำนะลูกหลานทุกคนๆ จำแล้วก็ให้ประพฤติปฏิบัติ

ตกแต่งอะไรก็สู้ตกแต่งตัวเองไม่ได้ พระพุทธเจ้าเลิศเลอด้วยการตกแต่งพระองค์เอง และสาวกทั้งหลายท่านเลิศเลอเพราะการตกแต่งตัวท่านเอง เราต้องการเลิศเลอก็ให้เลิศเลอด้วยการประพฤติปฏิบัติกำจัดความชั่วของตัวเอง สิ่งใดมันเป็นข้าศึกต่อธรรมกำจัดออกให้เหลือแต่พระล้วนๆ มีศีลมีธรรมประจำตนนั่นละจะเป็นพระที่สวยงาม อยู่คนเดียวก็เป็นสรณํ คจฺฉามิ อย่างชุ่มใจ ไปกับใครอยู่กับใครก็เป็น สรณํ คจฺฉามิ อย่างชุ่มใจๆ ทุกคนๆ เพราะฉะนั้นขอให้พระลูกพระหลานทุกคนนำไปประพฤติปฏิบัติกำจัดสิ่งลามกทั้งหลายที่เวลานี้กำลังหนาแน่น ตัวลามกจกเปรตนั้นน่ะออกให้เบาบางพระก็จะน่าดู ดูเราก็น่าดู ดูพระอื่นก็น่าดู ดูใครต่อใครต่างคนต่างปฏิบัติให้เป็นคนดีแล้วน่าดูด้วยกันนั้นแหละ

ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่านทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ เอาล่ะไม่เทศน์มาก ไม่เทศน์มากแต่เหนื่อย

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระสงฆ์และฆราวาส
เนื่องในโอกาสที่คณะหลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดป่ากุง จ.ร้อยเอ็ด
เข้ากราบคารวะองค์หลวงตา
ณ ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด
เมื่อบ่ายวันที่ ๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓
เวลาประมาณ ๑๓.๔๕ น.

ปฏิบัติอย่างไรถึงสำเร็จ

กิริยาที่ปรุงที่แต่งทั้งหมดในโลกนี้ ในสมมุติก็ต้องมีการบำรุง ไม่บำรุงไม่ได้ มีการเจริญขึ้นแล้วเสื่อมลงเป็นธรรมดาของสมมุติ แต่วิมุตติไม่มีอะไรที่จะพูดว่าความเจริญขึ้นหรือความเสื่อมลง แต่เมื่ออาศัยสมมุติอยู่คือธาตุขันธ์ อันนั้นจะต้องออกมาทางธาตุขันธ์ ถ้าไม่พร้อมกันแล้วก็ไม่สะดวก มีแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ นำออกแสดงไม่ได้ ในทางสมมุติที่เราฟังกันอย่างชัดเจนนี้มันออกอีกทางหนึ่ง เมตตาธรรมของท่านนั้นเป็นอยู่อย่างนี้ เป็นธรรมชาติอยู่ภายในจิต

อยากเห็นนักปฏิบัติได้มาเล่าความรู้ความเห็นทางด้านปฏิบัติในทางจิตใจให้ฟัง ไม่ค่อยจะได้ยินได้ฟัง เหมือนกับศาสนาของพระพุทธเจ้านี้เป็นโมฆะ ประกาศให้โลกกราบไหว้อยู่เฉยๆ ไม่แสดงผลแก่ผู้นับถือศาสนาเลย เป็นเพราะเหตุไร พระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนาบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายในครั้งนั้นปรากฏเห็นผลเป็นลำดับลำดา ตั้งแต่กัลยาณปุถุชนจนถึงอริยบุคคลชั้นโสดา สกิทา อนาคา อรหัตอรหันต์ ล้วนแล้วแต่ออกจากพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น แต่ทำไมตกมาสมัยทุกวันนี้จึงกลายเป็นโมฆะสำหรับพุทธบริษัททั้งหลาย มิหนำซ้ำยังกล่าวตู่ว่ามรรคผลนิพพานหมดเขตหมดสมัย

เราเป็นโมฆะยังไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นโมฆะ ในวงของมนุษย์ในวงของพุทธบริษัท มันเป็นโมฆะอยู่ในความสนใจ เป็นโมฆะอยู่กับข้อปฏิบัติ วิธีดำเนินไม่ได้ตรงไปตามแนวทางของพระพุทธเจ้า แล้วจะให้ปรากฏผลขึ้นมาได้อย่างไร นี่เป็นหลักสำคัญที่เราควรคำนึง ความเพียรก็ไม่พอสติปัญญาก็ไม่พอ วิธีการต่างๆ ที่จะส่งเสริมจิตใจให้เป็นไปเพื่อความสงบสุข ให้เป็นไปเพื่อความแยบคายทางสติปัญญาก็ไม่พร้อม เมื่อไม่พร้อมแล้วสติปัญญาจะพร้อมได้ยังไง สติปัญญาไม่พร้อมกิเลสจะหลุดลอยไปไม่ได้ นี่เป็นหลักใหญ่ที่เราควรคำนึง ส่วนเรื่องของกิเลสมันทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลา คิดปรุงออกแต่ละด้านละทาง แต่ละแง่ละมุมนี้โดยมากมีแต่เรื่องของกิเลสสั่งสมตัวทั้งนั้น จึงมีผลเรื่อยๆ สำหรับทางกิเลส กิเลสมีผลมากเพียงไรเราก็อับเฉาเบาปัญญา จิตใจก็ไม่มีความสว่างกระจ่างแจ้งหาความสงบสุขไม่ได้ พูดอย่างนั้นเลย

การรักษาจิตสำหรับนักปฏิบัติด้วยแล้วเป็นหน้าที่โดยเฉพาะ ถือเป็นกิจจำเป็นเป็นกิจสำคัญ งานของพระเฉพาะอย่างยิ่งงานของพระกรรมฐาน คืองานรื้อถอนกิเลสตัณหาอาสวะซึ่งเป็นตัวภพตัวชาติ เป็นรังแห่งความทุกข์ความลำบาก รังแห่งความเกิดแก่เจ็บตายให้ออกจากใจไปโดยลำดับๆ นี้เป็นงานใหญ่โต กรรมฐานๆ แปลว่าที่ตั้งแห่งงานของพระ พระกรรมฐาน ฐานะแปลว่าที่ตั้ง กรรมะแปลว่าการกระทำ ท่านสอนให้ทำลงที่ไหนให้สนใจลงในจุดนั้นให้ดี

บวชมาเบื้องต้นท่านสอน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่จะกลายเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีไปทั้งพระอุปัชฌายะ ทั้งผู้ที่บวชแล้วเวลานี้ ความจริง เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจนี้เป็นทางแห่งมรรคผลนิพพาน เป็นทางหลุดพ้นสำหรับผู้ดำเนินตาม ไม่มีล้าสมัย เป็นธรรมคงเส้นคงวา มรรคผลนิพพานจะก้าวไปได้ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นทางเดิน เกสาเราพิจารณาให้เห็นชัดลองดูซิเป็นยังไง เพียงแต่ตกลงไปในอาหารเท่านั้นก็ขยะแขยงไม่อยากรับประทานกันแล้ว สกปรกหรือไม่ น่าเกลียดหรือไม่ เพียงเท่านี้เราก็พอทราบได้เกสา โลมาเหมือนๆ กัน นขา เล็บก็เหมือนกัน ดูซิเป็นของสวยของงามที่ไหนเล็บ ทันตา ฟันก็กระดูกดีๆ นี้เอง เหมือนกับกระดูกทั่วๆ ไปในร่างกายของเรา แต่ให้ชื่อว่าฟัน ความจริงก็คือกระดูก กระดูกมีความสวยงามที่ตรงไหน

ผม ขน เล็บมีความสวยงามที่ตรงไหน พิจารณาให้ถูกตามฐานพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนไว้และทรงตำหนิว่าไม่สวยงาม ตโจ หนัง คนเราดูกันได้เพราะหนังเท่านั้น แล้วความหนาของหนังนี้ไม่เท่ากระดาษเลย บางนิดเดียว อันนี้ละเป็นเครื่องหลอกตาบุรุษตาฟาง นักบวชตาฟางไม่เห็นความจริง แล้วถัดเข้าไปนั้นสักนิดหนึ่งก็เยิ้มลงมาด้วยปุพโพโลหิตน้ำเน่าน้ำหนองไม่น่าดูเลย นี่ถ้าเราพิจารณา หนังหุ้มห่อสิ่งสกปรกโสโครกทั้งหลายไว้ ถ้าเอาหนังออกแล้วจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ เราพิจารณาให้เห็นตามความจริงอย่างนี้แล้วเราจะไปหลงสัตว์หลงบุคคล หลงความสวยงามที่ไหน

ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมที่เป็นเครื่องรบรวนกวนใจเราอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะความสำคัญผิดนี้แล เมื่อเราได้พิจารณาตามหลักความจริงนี้อยู่โดยสม่ำเสมอแล้ว ความรบกวนเหล่านี้จะไม่มี สงบตัวลงไปโดยลำดับๆ ยิ่งเข้าไปกว่านั้นก็ยิ่งเห็นชัดตามหลักธรรมชาติของส่วนร่างกายทั้งภายในภายนอก เบื้องบนเบื้องล่าง สถานกลางโดยไม่ต้องสงสัย การพิจารณาอย่างนี้เพื่ออะไร เพื่อตัดความกังวลความสำคัญมั่นหมายของเรา ซึ่งฝังจิตใจมานมนานว่าสิ่งนั้นสวยสิ่งนี้งาม ว่านั่นเป็นสัตว์ นี่เป็นบุคคล นั้นเป็นหญิงนี้เป็นชาย นั่นน่ารัก นั่นน่ากำหนัด นั่นน่ายินดี ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เป็นอย่างนั้น เป็นขึ้นเพราะความสำคัญมั่นหมาย เพราะฉะนั้นท่านถึงให้คลี่คลายออกดูให้เห็นชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร

ดูให้เห็น ให้เห็นถึงฐานของสิ่งเหล่านี้ ผมเป็นอย่างไร ขนเป็นอย่างไร เล็บเป็นอย่างไร ฟันเป็นอย่างไร หนังเป็นอย่างไร แล้วฟาดเข้าไปนั้นเป็นอย่างไร เพียงหนังเปิดออกเท่านั้นมันก็ทั่วถึง ท่านจึงสอน ตจปัญจกกรรมฐาน สอนไปถึงหนัง พอหนังเปิดออกหมดแล้วมันก็หมดปัญหา น่าดูที่ไหนคนทั้งคน มีแต่แมลงวันตอมหึ่งๆ ถ้าไม่มีหนัง สัตว์ไม่มีหนังก็ดูกันไม่ได้ คนไม่มีหนังก็ดูกันไม่ได้ ที่ดูกันได้และติดกันงอมแงมจนไม่นึกไม่สนใจหาทางออกนี้เพราะหนังอันเดียวเท่านั้น นี่ละที่ปิดกั้นมรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพานไม่มีก็เพราะสิ่งเหล่านี้ปิดกั้น ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมของจิตมันปิดกั้น ปิดกั้นมรรคผลนิพพานเสียหมด ทางไปตามหลักธรรมชาติที่จะให้พ้นทุกข์มันไม่มีพอที่จะเดินที่จะก้าวไปได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ปิดตันเสียหมด

ที่ท่านสอนกรรมฐาน ๕ ท่านสอนเปิดทางให้เห็นตามหลักความจริง จิตใจเมื่อเห็นตามหลักธรรมชาตินี้เพียง ๕ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นก็สงบไม่กวนตัวเอง ไม่มีอันใดที่จะกวนมากยิ่งกว่าราคะตัณหา อันนี้กวนมาก กวนจิตใจของสัตว์โลก ที่กำลังเดือดร้อนวุ่นวายกันอยู่เวลานี้เพราะอะไร ก็เพราะอันนี้เองพิจารณาให้ดี ยิ่งส่งเสริมเท่าไรก็ยิ่งลุกโพลงๆ จรดฟ้าโน่น ความเดือดร้อน ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับความเดือดร้อนมันตามกันไป ก็เพราะอันนี้ละมันปิดตัน ไม่ได้ดู แล้วเราเป็นกรรมฐานเราจะดูที่ไหนถ้าไม่ดูในงานที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้อย่างนี้ นี้เป็นงานชิ้นเอก เป็นงานเพื่อรื้อภพรื้อชาติเป็นงานใหญ่โต งานเพื่อถอดถอนกองทุกข์ทั้งมวล ไม่ใช่งานเล็กน้อย จงพากันดูด้วยความสนใจ

จะเป็นประเพณีไปแล้วเวลานี้ บวชกันก็เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ แล้วก็ทิ้งไปเลยทั้งอุปัชฌาย์ทั้งผู้บวชไม่ได้สนใจ ถ้าดูตามหลักธรรมชาติที่ท่านประทานไว้จริงๆ แล้วจะเห็นความสำคัญของธรรมเหล่านี้มิใช่น้อย สติเป็นสิ่งสำคัญ ปัญญาตามมาเป็นลำดับที่สอง ก่อนปัญญาจะเข้าแทรก สติต้องตั้งไว้ก่อน สติตั้งลงในจุดใดจะเข้าใจในจุดนั้น ถ้าสติเผลอไปก็สิ่งนั้นไม่ชัด ท่านจึงสอนสติเป็นสิ่งสำคัญมาก จะทำหน้าที่การงานภายนอกภายใน สติต้องอยู่กับตัว คนมีสติอยู่กับตัวพูดอะไรฟังอะไรรู้เรื่อง ถ้าสติห่างจากตัวไปเท่านั้น ก็เผอเรอไปแล้วไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว มากไปกว่านั้นก็เป็นบอหรือเป็นบ้าไปเลย สติจึงเป็นเรื่องสำคัญ ธรรมะทั้งหมดสอนลงในสติ เรื่องของสติเป็นสิ่งสำคัญ จงพากันพิจารณา

การบวชในศาสนาไม่ใช่เป็นของเล็กน้อย ไม่ใช่เป็นของเล่น ศาสนาพระพุทธเจ้าหรือพุทธศาสนานี้ ถ้าเราดูเผินๆ ก็เหมือนของเล่น เหมือนลัทธิ แต่ถ้าดูตามหลักธรรมชาติของศาสนาจริงๆ แล้วหาที่แย้งไม่ได้เลย ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้เราขอพูดอย่างนี้ด้วยความถนัดใจเรา ว่าจะละเอียดยิ่งกว่าพุทธศาสนานี้ไป ถ้าได้ปฏิบัติดำเนินตามหลักศาสนาแล้วไม่ว่าฆราวาสญาติโยม ไม่ว่าพระ จะหาทางตำหนิกันไม่ได้ โลกนี้ไม่ต้องมีเรือนจำไม่มีตะราง เพราะเหตุไร เพราะหลักธรรมนี้สอนไปด้วยความสม่ำเสมอ สอนเป็นมัชฌิมา ให้ดูท่านดูเรามีน้ำหนักเสมอกัน เห็นใจเราเห็นใจท่าน เห็นความผิดของตัว เห็นความผิดของคนอื่นแล้วไม่กล้าทำลงไป แล้วความกระทบกระเทือนกันจะเกิดขึ้นที่ไหน ไม่มีทางเกิด นี่เพราะความเห็นแก่ตัวนั้นเอง

ความเห็นแก่ตัวไม่ใช่หลักศาสนา ท่านไม่ได้สอน ความเห็นแก่เพื่อนร่วมชาติร่วมภพ เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย มีความสุขเท่ากัน มีความทุกข์เท่ากัน มีคุณสมบัติประจำตัวเท่ากัน มีชีวิตจิตใจเท่ากัน มีความรักความสงวนตัวเท่ากัน รู้จักความผิดถูกชั่วดีเหมือนกัน แล้วต่างคนต่างรักษาอธิปไตยซึ่งกันและกัน แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ทำกันไม่ลง อย่าว่าจะไปทำมนุษย์ด้วยกันเลย สัตว์เดรัจฉานก็มีสิทธิมีความรักความสงวนในชีวิตของเขา เท่ากันกับเรารักชีวิตของเรา แล้วจะไปทำกันลงที่ไหน หลักศาสนาเป็นอย่างนี้ แล้วสอนเข้ามาถึงพระ หลักธรรมวินัยท่านสอนไว้อย่างไร ดำเนินตามหลักที่ท่านสอนไว้แล้ว จะมีที่ตำหนิที่ไหน

ที่เขาตำหนิว่าพระไม่ดีไม่น่าเลื่อมใสเป็นความถูกต้องของเขา เพราะเหตุใด เพราะเราปฏิบัติไม่ตรงตามหลักธรรมวินัย ตรงไหนเป็นจุดที่เขาตำหนิ ตรงนั้นเองที่พระปฏิบัติตัวไม่ถูก เราจะไปว่าเขาไม่ดีไม่ได้ ถ้าเราพิจารณาตามหลักธรรมชาติตามหลักความจริงแล้ว คนเราอยู่ดีๆ จะมาตำหนิกันก็เป็นความผิดของคนตำหนิ แต่โดยมากนี้ชาวพุทธตำหนิพระไม่ใช่คนอื่นตำหนิ จึงน่านำมาพิจารณา ถ้าเป็นคนนอกศาสนาก็อย่างแบบที่จะปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนพระเศียรของพระพุทธรูปนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่รู้ภาษีภาษาอะไรเลย ทำอย่างนั้นก็ว่าตัวโก้ตัวเก๋ ตัวเก่ง ตัวดี ตัววิเศษ นั่นเป็นความเห็นผิดของเขาอันหนึ่ง ส่วนชาวพุทธด้วยกันตำหนิกันนี้ นี่เข้าใจว่ามีเหตุผลที่ควรจะตำหนิควรจะชม เราจึงควรสนใจตรงนี้

ส่วนเขาเองจะผิดประการใดนั้นให้เป็นเรื่องของเขา เพราะเหตุไร เพราะพระก็มีหูมีตาสามารถจะดูพุทธบริษัทฝ่ายฆราวาสได้เช่นเดียวกัน ใครผิดใครถูก ใครน่าดูน่าชม ใครไม่น่าดูน่าชม ไม่มีใครจะดูได้ละเอียดยิ่งกว่าพระดูโยม ไม่เพียงแต่โยมจะมาดูพระว่าองค์นั้นน่าเลื่อมใสองค์นี้ไม่น่าเลื่อมใสเลย พระดูฆราวาสยิ่งละเอียดยิ่งกว่านั้น แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขาของเราไปเสีย ทำไมเราดูเขาจะดูไม่ได้ เขาผิดที่ตรงไหน น่ายินดีน่าเกลียดที่ตรงไหน เราทำไมจะดูไม่ได้ เราทำไมจะไม่เข้าใจ เราเป็นพระองค์หนึ่ง เราเป็นผู้ปฏิบัติองค์หนึ่งด้วย แล้วทำไมจะดูคนไม่ออก เขาดูเราเขาก็ดูออกเช่นเดียวกับเราดูเขา

เมื่อเป็นอย่างนั้นถ้าเราดูเราแบบที่เราดูเขานั้น เราจะได้ความละเอียดมากยิ่งกว่าเขาดูเราเป็นไหนๆ เพราะศาสนาสอนให้เราดูเรา คือสอนให้ดูตนเอง ไม่ดูผู้อื่นมากไปกว่าตัวเอง ย่นเข้ามาตรงนี้เป็นจุดสำคัญ คือพระดูโยมก็ไม่สำคัญนัก โยมดูพระก็ไม่สำคัญนัก เราดูเราจะเป็นโยมดูโยมก็ตาม เขาดูเขา เราดูเรา นี่เป็นจุดสำคัญมาก ให้เห็นชัดเจนกว่านี้ ยิ่งการดูกิเลสตัวเองด้วยแล้วต้องดูทุกเวลา กิเลสจะเกิดขึ้นจากการสัมผัส การได้เห็น การได้ยิน ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตกับรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสและธรรมารมณ์ที่นำสิ่งนั้นมาคิด สิ่งที่เคยได้เห็นได้ยินนั้นนำมาคิด เกิดเป็นกิเลสขึ้นมาแต่ละประเภทเป็นชั้นๆ ถ้ามีสติแล้วจะทราบกันทันทีๆ

กระทบทางตามีความรู้สึกเกิดขึ้นมาอย่างไรบ้าง กระทบทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย จิตมีความรู้สึกอย่างไรขึ้นมา เป็นกิเลสขึ้นมา หรือเป็นธรรมะขึ้นมา ถ้าเป็นกิเลสก็เป็นเครื่องผูกมัดตัวเองก่อเรื่องขึ้นมา ก่อเรื่องผูกมัดตัวเองขึ้นมา ถ้าเป็นฝ่ายธรรมะก็ได้สติ ได้อุบาย ได้ปัญญาจากสิ่งที่มาสัมผัสถอดถอนกิเลสไปเป็นลำดับๆ อารมณ์เกิดขึ้นมากน้อยภายในใจ สติปัญญาตามทัน แก้ไขได้ทันท่วงทีๆ ไปเป็นลำดับ นี่ชื่อว่าเป็นผลในการดูตนดูอย่างนั้น เข้าไปทางจงกรมถึงจะไปภาวนา เวลาเข้าที่สมาธิ ขัดสมาธิ แต่งตัวเต็มยศแล้วถึงจะเรียกภาวนา บางทีทั้งๆ ที่แต่งตัวเต็มยศอยู่นั้นละ จิตมันออกนอกโลกนอกสงสารไปไหนก็ไม่รู้ มันเต็มยศอยู่แต่ร่างกาย จิตใจไม่ได้ทำหน้าที่แห่งความเต็มยศนั้นเลย อันนี้ก็ใช้ไม่ได้

เดินจงกรมก็เดินก้าวไป ขาเดินไปก้าวไป ใครก็ก้าวได้ สุนัขมันมี ๔ ขา มันยิ่งเร็วยิ่งกว่าพระเสียอีก ก็ไม่เห็นว่ามันมีความเพียรเพราะความเดินเร็วของมัน เพราะเหตุไร เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เขาไปตามประสาของเขา ไอ้เรารู้เรื่องรู้ราวอยู่ เราเดินจงกรมแต่ว่าจิตส่งออกนอกลู่นอกทาง นอกโลกนอกสงสาร จะเป็นความเพียรเพื่อแก้กิเลสได้อย่างไร ความเพียรเพื่อแก้กิเลสก็คือความมีสติกำหนดดูเหตุดูผล ความผิดความถูกความกระเพื่อมของใจว่าคิดไปในทางใดบ้าง ถูกหรือผิด คอยกำจัด คอยระมัดระวังอยู่อย่างนั้น นี่ชื่อว่าเป็นความเพียรเพื่อถอดถอนกิเลส จะรื้อภพรื้อชาติ ชื่อว่างานของพระจริงๆ สมกับว่ากรรมฐาน ๕ ที่ท่านมอบให้เราทำงาน เราต้องคิดอย่างนี้

จิตไม่ใช่ว่าจะโง่ตลอดไป สติปัญญาไม่ใช่จะอับเฉาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาไป ถ้าอาศัยการบำรุงอยู่เสมอสติก็จะแก่กล้าปัญญาจะสามารถ กิเลสจะค่อยหลุดลอยไปเป็นลำดับๆ จะหนาแน่นขนาดไหนก็เถอะ ถ้าลงสติปัญญาศรัทธาความเพียรได้หนุนเข้าไปเป็นลำดับๆ แล้วต้องขาดสะบั้นไปเป็นลำดับไม่มีอะไรเหลือ จนกระทั่งบริสุทธิ์พุทโธขึ้นภายในใจเพราะอำนาจแห่งความเพียร มีสติปัญญาเป็นเครื่องแก้โดยไม่ต้องสงสัย นี้คือหลักของการปฏิบัติ ให้ทำความเข้าใจอยู่กับตัวเอง

หลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้นไม่มีทางตำหนิ เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่างแล้ว ศีลก็ตรัสไว้ชอบ สมาธิก็ตรัสไว้ชอบ ปัญญาก็ตรัสไว้ชอบ มรรคผลนิพพานทุกขั้นทุกภูมิตรัสไว้ชอบแล้ว ความไม่ชอบเวลานี้ก็เพราะความบกพร่องเวลานี้อยู่กับพวกเรา จึงมาสนใจความบกพร่องของตนให้สมบูรณ์ขึ้นไปเป็นลำดับ เรื่องมรรคผลนิพพานไม่ต้องไปถามที่ไหน ขอให้ข้อปฏิบัติกับหลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้นกลมกลืนกันเถอะ มรรคผลนิพพานจะเกิดขึ้นในสถานที่กิเลสรัดรึงอยู่ภายในจิตใจนี้โดยไม่ต้องสงสัย

กิเลสถอนตัวออกไปเพราะอำนาจของสติปัญญา ความบริสุทธิ์ก็เป็นขึ้นที่นั่น จะเป็นขึ้นที่ไหน เราไม่ต้องไปหาที่โน่นที่นี่เรื่องมรรคผลนิพพาน เพราะกิเลสไม่อยู่ที่ไหน นอกจากหัวใจของคนที่คิดไม่ถูก สั่งสมกิเลสขึ้นมาเท่านั้น เมื่อคิดถูกแล้วกิเลสก็ค่อยหมดไปๆ คำว่ากิเลสคือเครื่องเศร้าหมอง เครื่องกวนใจ ทำใจให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนอยู่เสมอคือกิเลสของตัว เรื่องของตัว ไม่ใช่เรื่องของอะไร

ทำอะไรให้ทำจริง อย่าทำเล่น อย่าฝึกหัดทางไม่ดี อย่าโกหกตัวเอง กาลเวล่ำเวลาหน้าที่การงาน จะทำอะไรให้มีความปลงใจให้มีสติอยู่กับงานนั้นๆ อย่าให้เป็นนิสัยโกหกตัวเอง จริงนอกจริงใน สติใช้นอกใช้ใน ปัญญาใช้ข้างนอกใช้ข้างใน ฝึกหัดกันไปโดยลำดับสติจะแก่กล้าขึ้นมา ปัญญาก็จะมีความสว่างไสวรอบตัว เพราะการฝึกการอบรม การอบรมนี้เป็นสิ่งที่จะทำคุณธรรมทั้งหลายให้เจริญ แม้สมาธิไม่เคยปรากฏก็จะปรากฏ ปัญญาไม่เคยมีก็มี ถ้าปฏิบัติตามหลักที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ไม่มีอันใดที่จะเป็นที่สงสัยในหลักของพุทธศาสนาที่สอนไว้แล้วนี้ มีปัญหาอยู่เฉพาะเราผู้ปฏิบัติตามเท่านั้น มีเท่านี้

อย่าไปหาบ่นมรรคผลนิพพานไม่มี มรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหนถึงจะไม่มี กิเลสทำไมมันจึงเป็นก่ายเป็นกองเต็มหัวใจ มันมาจากไหน ใครสร้างมันขึ้นมา มันถึงมีมากมาย ถ้าไม่ใช่เราสร้างขึ้นมา แล้วมรรคผลนิพพานใครจะสร้างขึ้นมา ถ้าเราไม่เป็นผู้สร้างเสียเอง มีอยู่กับเราทั้งนั้น ในตู้ในหีบในคัมภีร์ใบลานมีแต่ชื่อของกิเลสตัณหาของมรรคผลนิพพาน ไม่มีตัวมรรคผลนิพพาน ไม่มีกิเลสตัณหาอยู่ในตู้ในหีบในคัมภีร์ใบลาน ในตำรับตำรานั้นเลย แม้อันเดียวไม่มี ท่านสอนไว้ประมาณ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ในสูตรนั้นในคัมภีร์นี้ มีแต่บอกเรื่องชื่อเรื่องนามของกิเลสที่มีอยู่ในหัวใจคน ไม่ได้นอกไปจากนี้ ผู้ต้องการมรรคผลนิพพานไม่สนใจดูหัวใจตัวเองจะดูอะไร ทางที่จะให้เห็นมรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ใช่เรื่องความเพียรให้ถูกต้องตามหลัก

เวลาจะสงบก็ทำด้วยความสงบ ตั้งหน้าให้เป็นไปเพื่อความสงบจริงๆ จะกำหนดธรรมบทใดก็ให้มีความจริงจังกับธรรมบทนั้น ตั้งหน้าจะทำความสงบแก่ใจ ใจจะปรุงไปไหน มีใจดวงเดียวเท่านี้เป็นผู้ก่อเรื่องอยู่ตลอดเวลา โลกสงสารนี้กว้างแคบไม่มีปัญหา ไม่ใช่เป็นผู้มาก่อเรื่อง หัวใจของเรานี้กระเพื่อมตัวอยู่เสมอ ที่จะออกแสดงตัว เรื่องผิดเรื่องถูกเรื่องอะไรๆ โดยมากเป็นเรื่องผิด ปรุงขึ้นที่ใจ สังเกตความปรุงของตัวเอง มันจะปรุงไปได้ถึงไหน สติปัญญามีอยู่ ปรุงขึ้นพับ ดับพร้อมๆ ถ้ามีสติ ถ้าไม่มีสติก็ปรุงต่อกันเรื่อย ไม่มีจบสิ้นลงได้ เมื่อสติตามทันอยู่มันจะวุ่นไปไหนจิต มันต้องหมอบ

เอา เวลาจะใช้ปัญญา เอ้าใช้ลงไปพิจารณาลงไป ธาตุขันธ์อายตนะมีเท่าไรม้วนลงมาที่นี่หมด กำหนดให้เป็นสัจธรรมหรือเป็นไตรลักษณ์ ให้มันเห็นความจริงกับไตรลักษณ์จริงๆ แล้วจะแย้งพระพุทธเจ้าที่ไหน อนิจฺจํ อะไรเป็นของไม่เที่ยง มันมีอยู่ทุกส่วนในร่างกายและจิตใจ อาการของจิตทุกส่วนที่แสดงออกมาล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องกฎของวัฏฏะ ความหมุนเวียนความเปลี่ยนแปลงกฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กฎของสัจธรรม ไม่นอกเหนือไปจากนี้เลย

ทุกฺขํ เป็นยังไง มันมีอยู่ที่ไหนทุกข์ เวลานี้เป็นอยู่ที่ไหน ไม่เป็นอยู่ที่กายที่ใจนี้เหรอ อนตฺตา อะไรเป็นสัตว์เป็นบุคคลมันมีอยู่ที่ไหน ว่าเอาเฉยๆ มันไม่มีสัตว์บุคคลมาว่าเอาได้ไง ส่วนผสมของธาตุต่างๆ มารวมกันแล้ว มีวิญญาณสถิตอยู่นั้นแล้ว ก็จัดเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นหญิงเป็นชาย เป็นท่านเป็นเราว่ากันไป ว่าแล้วยังไม่แล้วนะ ติดอีกด้วย มันติดก่อนว่าเสียด้วยซ้ำไป ติดชนิดที่ไม่ยอมถอยด้วย ติดเท่าไรยิ่งติดยิ่งพันเข้าไปไม่ยอมถอยหลัง นี่ตรงนี้นักต่อสู้ มันเป็นนักต่อสู้เพื่อตายจริงๆ ไม่ใช่นักต่อสู้เพื่อถอยเอาท่า เพื่อหลบหลีกปลีกตัวให้พ้น มันสู้แบบตายเอาตายเลย แบบหัวชนฝา ไม่มีสติปัญญาเป็นเครื่องแก้ ตายจริงๆ

พิจารณาจนมันหาทางไปไม่ได้มันก็ลงเอง จิต เมื่อคิดไปไหน ค้นไปไหนมีแต่สติปัญญาตามมัน มันคิดไปไหนสติปัญญาตาม มันจะไปไหนรอด เดี๋ยวมันก็ลงของมัน ไม่ว่าทางสมาธิไม่ว่าทางปัญญา เป็นทางจะให้เกิดความสงบเย็นใจได้ด้วยกัน ถ้าเราใช้ถูกเวล่ำเวลา ใช้ถูกกับหน้าที่การงานของตัว เป็นผลด้วยกันทั้งนั้น โน้นคอยฟังแต่ข่าวพระพุทธเจ้า สาวกท่านบรรลุอรหัตมรรคผลนิพพาน ท่านปฏิบัติอย่างไรท่านถึงสำเร็จมรรคผลนิพพานไม่ได้เอามาคำนึง ทำความเพียรนิดหน่อยก็กลัวแต่จะตาย อะไรๆ กลัวแต่จะตาย อะไรกลัวแต่ลำบาก มีแต่ความกลัวเพื่อจะไปมรรคผลนิพพาน มันกลัวเพื่อที่จะไปเสียมากกว่า ผลนี้ไม่กล้าจะทำอย่างไร

อะไรจะรื่นเริงบันเทิงยิ่งกว่าธรรมกับจิตสัมผัสกัน ธรรมกับจิตถ้าลงได้สัมผัสกันแล้วไม่มีอะไรที่จะรื่นเริง ไม่มีอะไรที่จะละเอียดอ่อน ไม่มีอะไรที่จะเป็นสุข ไม่มีอะไรจะอัศจรรย์ยิ่งกว่าจิตกับธรรมสัมผัสกัน ถ้าลงเข้าถึงขั้น เพียงแต่ขั้นสงบก็เพลินแล้ว ไม่ต้องพูดไปถึงขั้นปัญญาที่ละเอียดยิ่งกว่านี้เลย เพียงจิตสงบก็สบายแล้ว ปราศจากสิ่งก่อกวนทั้งหลาย มันเคยว้าวุ่นขุ่นมัวมามันก็สงบเย็นลงไป จิตก็ผ่องใส เพียงเท่านี้เราก็มีที่อยู่พอให้สบายใจได้แล้ว

ยิ่งค้นลงไปทางด้านปัญญาให้เห็น ดูธาตุดูขันธ์ดูอวัยวะของเราทุกส่วนให้เห็นตามหลักความจริง เอาถ้าว่าปฏิกูลก็ดูให้มันเห็นปฏิกูลจริงๆ ทั้งข้างนอกข้างใน ทั้งเขาทั้งเราดูให้มันลงได้ระดับเดียวกัน แล้วมันจะฟุ้งเฟ้อไปไหน คนแล้วคนเล่า ดูแล้วดูเล่าอย่างนั้น จนมันพอตัวแล้วมันถอนของมันเอง ถอนเป็นขั้นๆ ไป สมบูรณ์เต็มที่ถอนหมด อาการของขันธ์ทั้ง ๕ นี้ไม่มีเหลือ รูปก็ถอน เวทนาก็ถอน สัญญาก็ถอน สังขารก็ถอน วิญญาณก็ถอน อะไรที่ฝังอยู่ในจิตก็ถอน ถอนจนกระทั่งถึงจิต ไม่มีอะไรเหลือคำว่าเราว่าเขาอยู่ในจิต ไม่มีสิ่งใดที่จะสำคัญว่านี้คือเรา นี้คือของเรา ถอนไปโดยสิ้นเชิง นี่เรียกว่าเสมอ

ถอนข้างนอกไม่ถอนข้างในก็ลำเอียงยังติดอยู่ ถอนข้างนอกได้แล้วถอนข้างใน รู้ข้างนอกแล้วรู้ข้างใน เมื่อรู้รอบขอบชิดหมดแล้วถอนหมดโดยประการทั้งปวง ไม่ต้องถามเรื่องมรรคผลนิพพานถามหาอะไร ถามให้เกิดประโยชน์อะไร ใครเป็นผู้หลงใครเป็นผู้รู้เวลานี้ กิเลสปกคลุมหุ้มห่ออะไร เวลานี้ได้ถอดถอนจากอะไรมาแล้ว แล้วต่อไปนี้จะทำอะไรต่อไปอีก แล้วจะไปไหนเพื่ออะไรอีก มันหมดเพื่อเสียทุกอย่าง เมื่อพอแล้วมันหมด จะถามหาอะไรถามหามรรคผลนิพพาน ถามก็หลงนะซี นั่น เมื่อรู้แล้วเป็นอย่างนั้น ไม่มีทางจะถาม ถามหาอะไร อยู่ไหนก็เป็นมรรคผลนิพพาน อยู่ไหนก็บริสุทธิ์ อยู่ไหนก็รู้ ถึงความรู้อันสมบูรณ์แล้ว อยู่ไหนก็รู้ทำ ท่าว่าจะหลงก็ยิ่งรู้

แล้วจะหาอะไรในโลกนี้ยิ่งกว่าธรรมชาติที่รู้ๆ ที่บริสุทธิ์นี้อีก ไม่มี โลกอันนี้มีจิตดวงเดียวเท่านี้ หยาบที่สุดก็คือจิตดวงนี้ ประเสริฐที่สุดก็คือจิตดวงนี้ หยาบที่สุดคืออะไร ก็คือจิตที่ก่อกวนวุ่นวายตัวเอง ก่อเรื่องก่อราวอยู่ทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่มีอะไรจะยิ่งกว่าจิตรบกวนตัวเอง เวลาแก้ได้แล้วไม่มีอะไรจะยิ่งกว่าจิตที่ประเสริฐในตัวเอง เนื่องมาจากการชำระเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เลยกลายเป็นธรรมทั้งแท่งหรือธรรมทั้งดวงไปแล้ว ใครจะว่าอะไรก็ไม่สนใจ ว่าบรรลุก็แล้ว นั่นก็เป็นชื่ออันหนึ่งเสีย ว่าตรัสรู้ก็เป็นชื่ออันหนึ่งเสีย ว่าบริสุทธิ์ก็เป็นชื่ออันหนึ่งเสีย ว่านิพพานก็เป็นชื่ออันหนึ่งเสีย ว่าอรหัตอรหันต์ก็เป็นชื่ออันหนึ่งเสีย ธรรมชาตินั้นไม่ได้ว่าอะไรกับใคร นั่น ถ้าพอแล้วไม่ต้องหาอะไรมาเป็นชื่อเป็นนามก็ได้

แต่ทำไมท่านตั้งชื่อตั้งนามไว้ เพราะโลกมีสมมุติก็ต้องตั้งไว้อย่างนั้นละ อันนั้นชื่อนั้นอันนั้นชื่อนี้ ตั้งอะไรท่านก็ไม่หลง เมื่อได้รู้แล้วไม่หลง ไม่ตั้งก็ไม่หลง ตั้งก็ไม่หลง ตั้งก็ตั้งเพื่อสมมุติเพื่อโลกต่างหากไม่ได้ตั้งเพื่อท่าน ถ้ารู้แล้วเป็นอย่างนั้น ธรรมชาตินี้อยู่ที่ไหน อยู่กับความรู้ของคนทุกคน ของเราทุกท่าน ถ้าชำระให้ถึงก็รู้เหมือนกันหมด ไม่ว่าครั้งพุทธกาลไม่ว่าครั้งนี้ เพราะสัจธรรมก็เป็นอันเดียวกัน เหมือนกัน อริยสัจเหมือนกัน ไตรลักษณ์เหมือนกัน มัชฌิมาปฏิปทาเหมือนกัน ศาสนาอันเดียวกัน อยู่ในใจในกายของเราอันเดียวกัน เมื่อปฏิบัติตามอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว ความรู้จะเป็นอื่นไปที่ไหน นอกจากจะเป็นอันเดียวกันเท่านั้น มีเท่านี้

ให้พากันเข้มแข็ง อย่าหัดอ่อนแอ พระพุทธเจ้าไม่มีใครจะเกินพระองค์ไปได้ เรื่องความอดทนก็อยู่กับพระพุทธเจ้า เรื่องความพากเพียรก็อยู่กับพระพุทธเจ้า ทำความเพียรสลบไสลไปกี่ครั้งเราก็เห็นแล้วในตำรา พวกเรามีไหม มีสลบไสลบ้างไหม ไม่มี เราจะว่าเราเก่งกว่าครูยังไง ความรู้ความฉลาดก็ไม่มีใครเกินพระองค์ไปได้ แล้วใครที่จะสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้เหมือนพระองค์ สอนโลกทั้งสามได้ ไม่มี ก็มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว นี่ละที่ว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ

ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ เกิดขึ้นมาจากพระพุทธเจ้าผู้ทรงรู้ทรงเห็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ก็เป็นผู้ได้รับการอบรมจากพระพุทธเจ้า เกิดความเชื่อความเลื่อมใสปฏิบัติตาม ก็เพราะพระพุทธเจ้านั่นเอง ธรรมที่จะปรากฏในโลกก็เพราะพระพุทธเจ้า แล้วมีเพราะผู้ใดบ้าง มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ประเสริฐ อยากฟังหมู่เพื่อนนั่งสมาธิสมาบัติเป็นอย่างไร ทำความเพียรมากี่ปีกี่เดือนทำไมไม่เห็นเกิดผลเกิดประโยชน์ เกิดความสงบเย็นใจ เกิดความเฉลียวฉลาดถอดถอนกิเลสไปได้โดยลำดับ มาเล่าให้ฟังบ้าง เราจะภาคภูมิใจสมกับว่าที่สอนนี้สอนเพื่อรู้ เพื่อจริง จริงๆ ไม่ได้สอนแบบสุ่มสี่สุ่มห้านี่นะ

หมู่เพื่อนอยู่กับผมมาเป็นเวลานานเท่าไร บางองค์ ๑๕-๑๖ ปีก็มี นี่ได้ถอดถอนออกหมดในจิตใจนี้ ถอดออกมาจากหัวใจจริงๆ มาสอน ไม่ได้ไปลูบนั้นคลำนี้ เห็นจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เลย ถ้าผิดนี้ก็ยอมผิดมานานแล้ว แต่ไม่ได้คิดในใจเลยว่าได้สอนหมู่เพื่อนผิดไป เพราะความรู้อันนี้เราเป็นที่แน่ใจของเราร้อยเปอร์เซ็นต์ของเราแล้ว อะไรก็ตามในโลกนี้จะมาเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของเราอย่างนี้จะเปลี่ยนไปไม่ได้ จะยกสมบัติมาทั้งสามโลกธาตุนี้มาขอเปลี่ยนธรรมชาติของเราความรู้ของเรานี้ให้เป็นอย่างอื่นไป เราจะยอมไม่ได้เป็นอันขาด นั่น

ไม่มีอันใดที่เราจะเป็นที่มั่นใจยิ่งกว่าธรรมชาติที่เรารู้เราเห็นอยู่เวลานี้ และที่นำมาสอนหมู่เพื่อนอยู่เวลานี้และที่ผ่านมาแล้วด้วย ทั้งจะต่อไปข้างหน้าด้วย จึงสอนเต็มภูมิความรู้จริงๆ ได้ปฏิบัติมาอย่างไร รู้อย่างไรเห็นอย่างไรสอนหมด ไม่ว่าจะส่วนใหญ่ส่วนย่อยที่เกิดจากภาคปฏิบัติ แล้วทำไมถึงไม่ปรากฏกับเราแต่ละรายบ้าง มีแต่คนเดียวพูดบ๊งเบ๊งๆ เหมือนกับว่ามาโกหกหมู่เพื่อน ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้โกหก เทศน์ไปมากท่านปัญญาก็จะจำไม่ได้ ต่อจากนี้ให้ท่านปัญญาอธิบาย

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๕
http://www.luangta.com

ฐานของจิต

คราว นี้พูดถึงเรื่องสตินะ ให้เป็นคติตัวอย่างแก่ผู้จริงจัง จะได้อย่างว่าไม่สงสัย พอทบทวนเหตุผลต้นปลายว่าขาดคำบริกรรม สติเราจะเผลอตรงนี้เองจิตถึงได้เสื่อม ตั้งหน้าตั้งตาพยายามขนาดไหนมันก็เสื่อมจนได้ พอไปถึงขั้นนั้นแล้วอยู่ได้สองคืนสามคืนเสื่อมต่อหน้าต่อตาเป็นประจำ พอทดสอบแล้วก็มาได้ความที่ขาดคำบริกรรม สติอาจเผลอตรงนั้นก็ได้ ทีนี้เราจะนำคำบริกรรมเข้ามาตั้งฐานใหม่ มันเสื่อมมันเจริญทีนี้ปล่อยละไม่เอา เราทุกข์มาพอแล้ว มันเจริญขึ้นมาไม่อยากให้เสื่อมนี้ก็ทุกข์ เสื่อมลงไปต่อหน้าต่อตาก็เป็นทุกข์ ทีนี้ไม่เอาทั้งสองอย่าง จะเอาคำบริกรรม

เรา มันนิสัยชอบพุทโธมาดั้งเดิม กับพุทโธติดแนบเลย เอาละที่นี่เราจะเอาคำบริกรรมพุทโธติดแนบกับจิต สติจะเผลอไปไม่ได้ว่างั้นเลย เอ้า มันจะเสื่อมตรงไหนให้รู้ตรงนี้ เสื่อมให้เสื่อมไป เจริญให้เจริญไป เราเคยมาแล้วเหล่านี้เราไม่สนใจกับมัน จะสนใจในจุดนี้จุดเดียว คือคำบริกรรมพุทโธๆ ลงใจแล้วที่นี่ อย่างไรก็นี่ละเราบกพร่องตรงนี้ ทีนี้จะเอาตรงนี้ให้เห็นเหตุเห็นผลกัน

ทำ จริงๆ นะไม่ได้ทำเล่น เหมือนกับว่านักมวยจะต่อยกัน พอระฆังดังเป๋งก็ซัดกันเลย อันนี้พอลงใจทุกอย่าง เอาละที่นี่นะ มีพุทโธคำบริกรรมนี้กับสติติดแนบกันอยู่กับจิตนี้ มันจะเสื่อมไปไหน ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเป็นอันว่าลงใจละนะ เหมือนว่าระฆังดังเป๋ง เอานะที่นี่ สติจับปุ๊บเลยกับคำบริกรรมไม่ยอมให้เผลอเลยทั้งวัน แหม เราจึงได้เห็นกิเลสมันดันออกมาอยากคิดอยากปรุง อกจะแตกเหมือนกันนะ นี่ทุกข์มากเหมือนกัน แต่ไม่ยอมเผลอ เอา มันจะทุกข์มากขนาดไหน เหมือนนักมวยเขาต่อยกันล้มลุกคลุกคลานไม่ยอมเผลอ ถ้าเผลอแล้วตายเลย นักมวยต่อยกันเผลอไม่ได้ ฟัดกันขนาดไหนก็ต่างคนต่างมีสติจ่ออยู่ตลอด อันนี้ก็เหมือนกันสติจ่อตลอด

ทีนี้ ความคิดตัวสังขารนี้ตัวสำคัญมาก มันคิดมันปรุง มันอยากคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันเคยออกตลอดเวลา ทีนี้พอเอาคำบริกรรมปิดประตูปิดช่องไม่ให้มันขึ้นมา สติติดเข้าไปอีกปั๊บเลย มันไม่ได้ขึ้นมันก็หมุนอยู่ภายในหัวอกซิ แหมเหมือนหัวอกจะแตกนะ มันดันมันอยากคิดอยากปรุง ดันเท่าไรก็ไม่ยอมให้ออก สติติดแนบตลอดเวลา โอ๋ย เหมือนอกจะแตกจริงๆ วันแรกหนักมากที่สุดเลย ไม่ให้เผลอเลยจริงๆ เผลอไปไม่ได้ว่างั้นเถอะ ตั้งแต่ระฆังดังเป๋ง ฟัดจนกระทั่งหลับไม่มีเผลอเลย

เอา วันนี้ทุกข์ขนาดนี้ วันหลังพอตื่นปั๊บจับปุ๊บอีกไม่ให้เผลอๆ อยู่อย่างนี้ เราอยู่คนเดียวมันถึงสนุกทำความเพียร ไม่มีกิจการงานกับใคร มีเราคนเดียวอยู่คนเดียว ที่หนักมากที่สุดวันแรกนี้เหมือนอกจะแตก ที่สองลดลงนิดหนึ่ง ที่สามค่อยเบาลง แต่เรื่องเผลอไม่ให้มี สติติดแนบๆ พุทโธตลอด พอสามวันผ่านไปค่อยเบาลงนะ ความปรุงนี้ค่อยเบาลงๆ พุทโธกับสตินี้ติดแนบๆ จิตใจก็ไม่มีอะไรกวน ไม่ค่อยกวน เบาลงๆ ทางนี้ก็หนักขึ้นๆ จิตก็เจริญขึ้นละที่นี่ ดูกันตลอดนะไม่ให้เผลอ มันจะไปไหนว่ะ ระฆังดังเป๋งคือตั้งความไม่เผลอไว้แล้วนั่น ไม่ให้เผลอเลย

ซัด กันนี้จนกระทั่งจิตใจค่อยโล่งออกมาๆ ก็ไม่ให้เผลอ ทีนี้มันเจริญขึ้น เอ้าเจริญขึ้นไป ไปถึงขั้นที่มันเคยเจริญแล้วเสื่อม ถึงขั้นนี้แล้วเอ้าเสื่อมไป อยากเสื่อมเสื่อมไป อยากเจริญเจริญไป เราไม่เอา เราจะเอาคำว่าพุทโธกับสติอย่างเดียว อะไรจะเจริญหรือเสื่อมปล่อยเลย ไม่เป็นกังวลกับมัน ทีนี้พอถึงขั้นนั้นแล้ว เอ้ามันจะเสื่อมเอ้าเสื่อมไป พอถึงขั้นมันเคยขึ้นไปถึงแล้วมันจะเสื่อม เอ้า เสื่อมไป พุทโธไม่ปล่อย ถึงนั้นแล้วไม่เสื่อมนะ ไม่เสื่อม ติดกันเรื่อยๆ มันก็ผ่านอันนั้นไปถึงวันเวลาที่มันจะเสื่อมทีนี้ไม่เสื่อม ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านเรื่องนี้ไปได้ จิตใจสว่างไสวขึ้นมา นี่เพราะสตินะ

พอ ถึงขั้นที่ว่ามองนั้นมองนี้ได้บ้างแล้ว จึงมาพิจารณาย้อนหลัง อ๋อ จิตเรานี้เสื่อมเพราะขาดสติอันนี้เอง ตั้งสติแต่นั้นมา คราวนี้มันเข็ดถึงขนาดที่ว่า นี่ละที่ว่าพระโคธิกะจะเข้ามาหาเราตรงนี้ละนะ ถ้าจิตเราเสื่อมคราวนี้เราต้องตาย จะอยู่ไปทำไม ทนไม่ได้แล้วทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส ตกนรกทั้งเป็น เราต้องตายเท่านั้น ทีนี้เมื่อเรายังไม่ตายจิตเราจะเสื่อมไม่ได้ มันก็ยิ่งมัดกันเข้าหนักเข้าๆ จิตก็เจริญขึ้นเรื่อยๆ  นี่ละวิธี ตั้งจิตให้ได้รากได้ฐาน เราทำมาแล้วนะ เอาเป็นเอาตายใส่กัน ถึงอกจะแตก สังขารมันอยากคิดอยากปรุง เหมือนอกจะแตก ไม่ยอมให้คิดได้เลย ไม่ให้คิดเลยเทียว บังคับด้วยสติ

สติ นี่สำคัญมากนะ ถ้าลงมีสติดีอยู่แล้ว กิเลสจะขนาดไหนมันก็ขึ้นไม่ได้ สังขารออกมาจากอวิชชามันดันออกมา จากนั้นมาก็หนักเข้าๆ จิตสว่างไสวขึ้นมาละ ถึงขั้นที่เสื่อมไม่เสื่อม ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ปล่อย จนกระทั่งจิตที่ว่ามันเจริญแล้วเสื่อมหมดไป มีแต่ความสว่างไสว เห็นผลจากความตั้งสติ ทีนี้ก็หนักเข้าเรื่อยๆ ขีดเส้นตายกันว่า ถ้าจิตเราเสื่อมคราวนี้เราต้องตาย มันจะเป็นพระโคธิกะ จะเป็นแบบไหนไม่รู้นะเรา มันเป็นได้นะ เพราะจิตนี้มันเด็ด ถึงคราวจะตายมันจะตายได้จริงๆ เด็ดทางตายด้วยนะ ทนไปหาอะไรตายเสียดีกว่า ดีไม่ดีก็ตามจะว่าอย่างนั้นละ ตายเสียดีกว่า มันจะเอาแบบไหนก็ไม่รู้ แต่แน่ใจจะเป็นแบบนั้น พระโคธิกะมาเข้ากับเรา เข้ากันได้อย่างสนิทเลย ทีนี้จิตเราก็เลยไม่เสื่อมเรื่อยมา

นี่ เราพูดถึงเรื่องการตั้งสติ เราทำมาแล้ว ได้ผลมาแล้ว ถึงขั้นที่พุ่งๆ เลย ฟาดถึงนั่งหามรุ่งหามค่ำตั้งแต่นั้นไปไม่ถอยเลย นั่งหามรุ่งหามค่ำตลอดรุ่งๆ ก้นแตกแตก อยากแตกแตกไป กิเลสยังไม่แตกไม่ถอย นี่ก็มาย้อนหาพ่อแม่ครูจารย์อีกแหละ เวลานั่งตลอดรุ่งๆ เกิดความอัศจรรย์มาเล่าให้ท่านฟัง ท่านก็ปลุกใจเรา ปลุกใจก็ยิ่งเอาใหญ่เลยเทียว จนกระทั่งหลายคืนๆ มานี้ท่านเลยกระตุกเอา ถึงหยุดนั่งตลอดรุ่งนะ ไม่งั้นมันจะเอาอีกตลอดนะ ท่านเทียบถึงม้าเวลามันคึกมันคะนองมาก สารถีฝึกม้าเขาจะต้องฝึกอย่างหนัก ไม่ควรให้กินน้ำไม่ให้กิน ไม่ควรให้กินหญ้าไม่ให้กิน แต่การฝึกไม่ถอย จนกระทั่งม้าลดพยศลงโดยลำดับ การฝึกเขาก็ค่อยลดลงๆ จนม้าทำการทำงานได้ตามต้องการของสารถีแล้ว การฝึกแบบนั้นเขาก็หยุดไป นี่ท่านพูดสอนเรา

พอ ขึ้นไปกราบปั๊บๆ ท่านซัดเลย สารถีฝึกม้าเขาฝึกอย่างนั้นๆ เราก็เคยพูดเสมอว่า เรายังเสียดายไม่ได้เต็มยศ ท่านว่าเท่านั้นท่านก็ผ่านเลย เพราะอันนี้ก็มีอยู่ในคัมภีร์แล้ว เราเรียนมาแล้ว เรายังเสียดายที่ว่า สารถีฝึกม้าเขาฝึกอย่างนั้น ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกแบบไหน อยากให้ท่านว่าอย่างนั้นมันยิ่งจะเพิ่มเข้าอีกนะนั่น ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกแบบไหนมันถึงไม่รู้จักประมาณ ความหมายว่างั้น แต่ท่านไม่ว่า ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่ง เพราะจิตมันไม่ได้ผาดโผนไปทางกิเลสเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนมันเป็นอย่างนั้นจึงได้เอากันหนัก ทีนี้เวลามันอ่อนลงทางนี้ยังหนักเข้าเรื่อย

เหมือน หมูสองตัวนั่น เราเคยเอามาเล่าให้ฟังหมูสองตัว กอไผ่อยู่นี้ พ่อแม่ครูจารย์มั่นพอท่านรับบาตรเสร็จแล้วท่านก็มานั่งปั๊บ หมูสองตัวกำลังน่ารักตัวเท่ากระโถนนี่ อ้วนน่ารักทั้งสองตัว ตัวเท่ากัน พอมาถึงกอไผ่ปั๊บมันกัดกัน ซัดกันปึ๊งปั๊งๆ เราเห็นท่านก็เห็น ใส่กันปึ๊งปั๊งๆ ตัวหนึ่งเสียท่า ตัวนี้ก็งัดใหญ่ ไปติดกอไผ่ ตัวนี้ก็งัดใหญ่ไม่ถอยเลย ตัวนั้นร้องกี๊กๆ ตัวนี้ยังงัดใหญ่ตลอด ท่านพูดว่า ไอ้นี่แพ้ไม่เป็น เขายอมแล้วก็ยังงัดเขาอยู่ ธรรมดานักมวยเขาเมื่อทางหนึ่งยอม ทางหนึ่งก็ต้องหยุด ไอ้นี้งัดตลอด แพ้ไม่เป็น ท่านว่า ท่านก็พูดเท่านั้นละ เราก็เห็นอยู่หมูตัวนั้นที่มันงัดเขา ตัวนั้นร้องแง้กๆ ตัวนี้ยังงัดตลอด มันแพ้ไม่เป็นไอ้นี่ เขายอมแล้วก็ยังไม่ยอมถอย ท่านพูดเท่านั้นเราอดกลั้น(หัวเราะ) จะตาย ให้พรให้ไม่ได้เลย เราเลยไม่ลืมหมูสองตัวนั้น

เรา ก็เหมือนกัน นั่งตลอดรุ่งนี่เราก็งัดใหญ่เลย จนท่านมาขนาบเอา แพ้ไม่เป็น เลยหยุด ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้นั่งตลอดรุ่ง ไม่งั้นเอาจริงๆ นะไม่ถอย อย่างนี้ละจิตอันนี้มันพิลึกอยู่นะ จึงได้พุ่งเรื่อยๆ เลย ฐานของจิตที่จะตั้งได้อยู่ที่สติ ถ้าสติไม่ดียังไงก็ไม่ได้ ว่างี้เลย ขอให้สติดีเถอะมันจะผาดโผนขนาดไหน กิเลสนี่อยู่ในเงื้อมมือจนได้ เราได้ทำแล้วถึงขนาดอกจะแตก มันอยากคิดอยากปรุงดันออกมา ดันเท่าไรก็ไม่ให้ออก สติติดๆ ตลอด มันก็เลยอ่อนลงๆ ผู้ประกอบความเพียรขอให้มีสติเถอะ สติดีเท่าไรยิ่งดี สตินี่ไม่เฟ้อ ดีตลอดเวลา นี่เราพูดถึงขั้นล้มลุกคลุกคลานนะ เราไม่ได้หมายถึงสติปัญญาอัตโนมัติ อันนั้นไม่ต้องบอก  ไหลเลยนั่น เพราะนี้ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ที่เอามาพูดนี่นะ

ล้มลุก คลุกคลาน เอาจนขนาดอกจะแตก มันอยากคิดอยากปรุง ครั้นต่อไปก็ถึงขั้นสมาธิ คิดปรุงรำคาญ แต่ก่อนมันอยากคิดอยากปรุง ไม่ได้คิดอยู่ไม่ได้ ทีนี้เวลาสมาธิแน่นหนามั่นคงเต็มที่แล้ว อยู่เป็นเอกเทศ อกัคคตารมณ์ รู้อยู่อันเดียว ความคิดความปรุงแย็บขึ้นมารำคาญ มันไม่อยากคิด สู้อยู่อันเดียวไม่ได้ นี่มันก็ติด จิตลงถึงขั้นสมาธิแล้ว ถ้าไม่มีผู้แนะติดทั้งนั้นแหละ สมาธิก็มีรสมีชาติพอสมควรให้ติดได้ เราติดแล้ว นี่ก็ท่านลากออก เราก็ไม่ลืม

พอ ถึงขั้นปัญญา เพราะสมาธิมันพอตัวแล้ว พอท่านไล่ออกทางด้านปัญญามันก็ผึงเลยทันที ออกอย่างผาดโผนอีกเช่นเดียวกัน ไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน เพราะสมาธิมันพอตัวแล้วนี่ พอออกทางด้านปัญญามันก็หนุนกันเลย จิตไม่ได้หิวโหยในอารมณ์ บังคับทางด้านปัญญา ออกทางด้านปัญญาไปเลย ทีนี้ออกเตลิดเปิดเปิงไม่ได้นอน กลางคืนทั้งคืนไม่นอน ไม่หลับ มันหมุนของมัน กลางวันก็ยังไม่หลับอีกมันเลยจะตาย

นี่ ท่านก็หักอีกเหมือนกัน ไปเล่าถวายท่าน ที่พ่อแม่ครูจารย์ว่าให้ออกทางด้านปัญญาเวลานี้มันออกแล้วนะ มันออกยังไงท่านว่า ก็มันไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน กลางคืนตลอดรุ่งไม่ได้นอน กลางวันบางวันมันยังจะไม่นอน นั่นละมันหลงสังขาร นั่นเห็นไหมล่ะท่านว่า นั่นละมันหลงสังขาร ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ เราก็ว่างั้น ท่านก็ซัดเข้าอีก นี่ละบ้าหลงสังขารขึ้นใหญ่เลย หมอบคราวนี้ไม่ตอบนะ แต่มันไม่ถอยเรื่องปัญญา ออกจากนี้เรียกว่าเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ทีนี้ไม่ต้องบอกเรื่องสติ เป็นของมันเอง สติกับปัญญาหมุนไปเป็นอันเดียวกันเลยนี่ ขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ ขั้นที่ล้มลุกคลุกคลานต้องบังคับให้มีสติเต็มเหนี่ยวๆ ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วหมุนตัวไปเอง เหมือนน้ำไหลลงจากภูเขา ไหลเรื่อยๆ

สติปัญญา อัตโนมัติขั้นนี้ไม่เผลอ ยังไงก็ไม่เผลอ ตื่นปั๊บติดแล้วเป็นแล้วจนกระทั่งหลับไม่มีเผลอ จากนั้นก็ละเอียดเข้าไปๆ เป็นมหาสติมหาปัญญา อันนี้ซึมไปเลยนะ  ให้ มันเห็นอยู่ในหัวใจพูดได้หมดคนเรา คัมภีร์ท่านสอนไว้แต่มันไม่ทำ มันไม่รู้มันก็พูดไม่ได้ เมื่อมาปฏิบัติมันรู้ขึ้นมาอย่างที่ท่านสอนไว้แล้ว จะปิดบังกันได้ที่ไหนมันก็ออกได้ชัดเจน นี่ก็เป็นแล้วในหัวใจเรา ที่พูดมานี้ถอดออกมาจากหัวใจมาให้พี่น้องทั้งหลายฟังนะ

ถึง ขั้นสติปัญญาอัตโนมัตินี้เรียกว่าไม่มีวันมีคืน นอนนี่ต้องบังคับให้นอน เข้าสมาธิต้องบังคับรั้งเข้ามาสู่สมาธิพักอารมณ์ ไม่อย่างนั้นมันจะหมุนของมันตลอด จากนั้นก็เป็นมหาสติมหาปัญญา ยิ่งหมุนละเอียดลงไปโดยลำดับลำดา ทีนี้พูดถึงเรื่องกิเลสนี่ตั้งแต่เริ่มขั้นสติปัญญาอัตโนมัติไม่มีคำว่าถอย กันนะ สติปัญญาอัตโนมัติกับกิเลสไม่มีคำว่าถอยกัน ขาดสะบั้นไปเลย ให้แพ้กิเลสนี้ไม่มี คำว่าแพ้กิเลสไม่มี มีแต่หมุนติ้วๆ ใส่กันเลยเชียว

ยิ่ง ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาด้วยแล้ว จนได้ เหอ มันไมใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ แล้วเหรอ คือมันไม่มีเลย เงียบเลย ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญามันละเอียดลออ ซึมซาบ กิเลสตัวไหนโผล่มาไม่ได้ขาดสะบั้นไปทันทีเลย ไม่ได้ตั้งหน้าทำลายกันนะ  มันหาก เป็นของมันเองเรียกว่าอัตโนมัติ ธรรมฆ่ากิเลสก็ฆ่าอัตโนมัติ กิเลสฆ่าธรรมก็อัตโนมัติเหมือนกัน เวลามีกิเลส คนเรามีกิเลสทั่วๆ ไปนี่มีตั้งแต่เรื่องกิเลสฆ่าธรรมโดยอัตโนมัติ เวลาธรรมมีกำลังแล้วมันก็เทียบกันได้ปุ๊บ ธรรมฆ่ากิเลสฆ่าอัตโนมัติฆ่าอย่างนี้ๆ จนกระทั่งขาดสะบั้นไปหมดเลย ไม่มี

ที่ ว่าไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาเหรอ ไม่ได้สำคัญตนนะ คือค้นเท่าไรมันก็ไม่เจอ ค้นหากิเลสเท่าไรก็ไม่เจอ มีแต่มหาสติมหาปัญญาสง่างามครอบอยู่หมดเลย เวลาถึงขั้นมันขาดไม่เห็นมีคำว่าอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ ไม่มี พอขาดสะบั้นปึ๋งลงไปเท่านั้นหมดปัญหา ทั้งอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ไม่มีเหลือ นี่มันตัดสินกันในหัวใจของเรา แล้วจะไปทูลถามพระพุทธเจ้ายังไง พระพุทธเจ้ามีหรือไม่มี พระพุทธเจ้าตรัสรู้ยังไง ถามหาอะไร อันเดียวกัน ผางขึ้นนี้อันเดียวถึงกันหมดเลย แล้วถามหาพระพุทธเจ้าที่ไหน สามแดนโลกธาตุแคบไป ธรรมนี้ครอบตลอด ธรรมชาตินี้ครอบเหมือนกันนี่ละอำนาจแห่งการบำเพ็ญตน

ใคร จะมาอยู่เฉยๆ นอนเฉยๆ ไม่ได้นะ ต้องมีสติสตัง สติเป็นสำคัญมาก จากนั้นปัญญาก้าวเดินเป็นระยะๆๆ จิตที่ควรจะเข้าสู่สมาธิเพื่อพักงานก็ให้เข้าสู่ความสงบ อย่าไปกังวลกับความคิดความปรุงทางด้านสติปัญญาอย่างอื่น ให้อยู่กับความสงบ พักจิต เหมือนเราพักผ่อนนอนหลับหรือพักผ่อนทานอาหาร นี่ละธรรมะพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ อยู่ในหัวใจเราทุกคน เหมือนกิเลสสดๆ ร้อนๆ อยู่ในหัวใจ เวลานี้กิเลสกำลังแผ่พังพานบนหัวใจเรา ธรรมะจึงออกไม่ได้ มีแต่กิเลสตีเอาหมอบๆ สุดท้ายก็ให้กิเลสมาลบหมด มรรคผลนิพพาน ไม่มี บาป บุญ นรก สวรรค์ ไม่มี มรรคผลนิพพาน ไม่มี ทำอะไรๆ ก็ไม่มี ที่มีก็มีแต่เป็นโมฆบุรุษ โมฆสตรี ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่มีค่าราคาอะไร นี่ละสิ่งที่มีในหัวใจเขา มรรคผลนิพพานไม่มีก็คืออันนี้มีแทน ให้จำเอานะ

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

นั่งภาวนาสู้ความหนาว

เมื่อเช้านี้ปรอทลง ๑๑ กุฏิเรา หนาวพอสมควร ทำไมไม่เห็นมีน้ำค้าง น้ำค้างไม่ค่อยมี อยู่ในป่าในเขาภาวนานี้พอตกตี ๕ จะเป็นเหมือนห่าฝน คือน้ำค้างมาเกาะใบไม้ จากใบไม้มันก็ตกลงมาเป็นห่าฝน เสียงซ่าๆๆ เดินไปตามทางนี่เหมือนว่าฝนย่อยๆ นะ เหยียบไปตามทาง เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีน้ำค้าง ประมาณ ๓-๔ ทุ่ม น้ำค้างจะค่อยตกลงมาบนใบไม้ห่างๆ คือมันมาจับ จับแล้วก็เป็นเม็ดตกลงมาห่างๆ ๓-๔ ทุ่มไปแล้วเริ่มแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่มี อันนั้นพอถึงเช้าตี ๔ ตี ๕ ฟังเสียงซ่าๆ น้ำค้างเกาะบนใบไม้ตกลงพื้น

ก็คงหนาวพอควรขนาดนั้นนะ แต่มันไม่มีปรอท ไม่มีอะไรวัด เอาเราวัดเลย กลางคืนนอนไม่หลับ ตลอดรุ่งนอนไม่หลับ อันนี้มันจะขึ้นอยู่กับว่าเราไม่มีผ้าห่มหนาวก็ได้นะ เราไม่ใช้ผ้าห่มหนาว ใช้สังฆาฏิกับจีวรพับ ให้เท่านั้น เราไม่เคยมีผ้าห่มติดตัวไป จะหนาวขนาดไหนก็ให้เท่านั้น บางคืนตลอดรุ่งไม่หลับเลย แต่กลางคืนต้องภาวนานะ ไม่ภาวนาอยู่ไม่ได้ มันหนาวมาก พอภาวนาจิตเข้าข้างในๆ แล้วหายเงียบเลย จนกระทั่งออกจากภาวนาจะเริ่มหนาวอีก จะนอนให้หลับไม่หลับต้องภาวนาอีก

บางคืนนอนไม่ได้ตลอดรุ่งเลย มันนอนไม่หลับเลยตลอดรุ่ง มีแต่ต้องภาวนามากๆ คือเวลาเราภาวนานี้จิตมันเข้าข้างใน จิตเข้าข้างในจะไม่หนาว อยู่ๆ หายเงียบไปเลย ทีนี้พอเวลาออกจากภาวนามันเริ่มหนาว เราจะนอนให้หลับตอนนั้น ความหลับสู้ความหนาวไม่ได้ มันไม่หลับ มันหนาวตลอด สุดท้ายก็ต้องมานั่งภาวนา ต้องแบ่งเวลากับกลางวัน กลางวันเดินมากๆ กลางคืนเดินไม่ได้ มันหนาวมาก กลางคืนออกเดินจงกรมไม่ได้ ประมาณ ๒ ทุ่มนี้จะตัวแข็งไปแล้วนะมันหนาวมาก ต้องเข้าที่ละ ต้องอาศัยภาวนา

คือถ้าจิตเข้าข้างในมันไม่หนาว บางทีหายเงียบไป ลืมไปหมด พอออกมาจะเริ่มหนาวแล้ว บางคืนตลอดรุ่งหลับไม่ได้เลย คือมันหนาวมากขนาดนั้น จำวัดไม่ได้เลย ต้องอาศัยนั่งภาวนา มานั่งภาวนาพอจิตเข้านี้มันหายนะ เรื่องความหนาวหาย พอจิตถอยออกมามันก็หนาว เป็นอย่างนั้นละ ภาวนาอยู่ป่าอยู่เขาหนาวอย่างนั้นละ มาอยู่ที่นี่ไม่เห็นมีน้ำค้างตกลงจากใบไม้ลงพื้น ไม่ค่อยเห็นมีนะ อันนั้นมันเสียงซ่าๆๆ

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
http://www.luangta.com

ประโยชน์ที่จะพึ่งได้จากการปฏิบัติสมาธิ

การฝึกอบรมสมาธิภาวนานี้ หลักใหญ่ก็คือทำจิตให้มีสิ่งรู้ สติให้มีสิ่งระลึกจะเป็นอะไรก็ได้ ประโยชน์ในการฝึกสมาธินั้น มันเป็นวิธีทางการสร้าง หรือพัฒนาร่างกายและจิตใจให้มีความเข็มแข็ง ให้มีคุณธรรม การปฏิบัติสมาธิได้ประโยชน์ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ ประโยชน์ที่จะพึ่งได้ทางร่างกายจากการปฏิบัติสมาธิ จะเป็นใครก็ตาม ในเมื่อสามารถทำจิตของตนเอง ทำใจของตนเอง ให้ว่างลงได้ แม้ช่วงขณะหนึ่งเท่านนั้น เมื่อจิตว่าง กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ มันจะมีสารตัวหนึ่งใต้ต่อมสมอง กระจายออกมาทำงานของมัน แล้วทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ อันนี้เป็นประโยชน์ที่จะพึ่งได้ทางกาย เมื่อจิตใจของเราว่างก็เป็นจิตใจที่สบาย ใจที่สบาย ในเมื่อใจสบายกายก็พร้อยสบายไปด้วย อันนี้คือผลประโยชน์ที่จะได้ทางกาย ส่วนในทางจิตใจนั้น จะทำให้จิตใจของเรามีพลังเข็มแข็งขึ้นทุกที พลังที่จะพึ่งได้ก็คือความมั่นคง จิตใจมีความมั่นคง มีสติสัมปชัญญะรู้เตรียมพร้อมอยู่ที่จิตใจ เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตใจของเราก็จะพัฒนาความเข็มแข็งขึ้นไปทุกที ๆ หลักของการปฏิบัติสมาธิโดยทั่วไป โดยไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งใด ๆ เพียงแต่เราฝึกสติให้รู้พร้อมกับการยืนเดินนั่งนอนและการดื่มทำพูดคิด เมื่อเรานอนลงไปจิตเราคิดอะไร กำหนดสติตามรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับ ทำต่อเนื่องกันทุกวัน ๆ เราจะได้สมาธิ ทีนี้ในเมื่อเราได้สมาธิแล้วจิตใจของเราจะมีความเข้มแข็งและมั่นคงยิ่งขึ้น โดยหลักธรรมชาติของร่างกายและจิตใจในตัวของเรานี้ ตามภาษาธรรมะท่านว่าประกอบด้วยธาตุหก ธาตุหกนั่นคืออะไรบ้าง ๑. ธาตุดิน ได้แก่ เนื้อหนังมังสาของเราที่มีอยู่ในกายนี้ มีผม ขน เล็บ เนื้อ หนัง เอ็น กระดูก ซึ่งเป็นวัตถุที่เราจับต้องได้ อันนี้ท่านเรียกว่า ธาตุดิน เลือด น้ำเหลือง ซึ่งซึมซาบอยู่ภายในกาย แม้แต่น้ำมูก น้ำลาย ท่านเรียกว่าธาตุน้ำ ความอบอุ่นที่มีอยู่ในกายท่านเรียกว่าธาตุไฟ ลมหายใจเข้าหายใจออกท่านเรียกว่าธาตุลม ความว่างที่มีอยู่ในกาย ท่านเรียกว่าอากาสธาตุ ความรู้สึกนึกคิดซึ่งมีอยู่ในจิตในใจของเรา ท่านเรียกว่าวิญญาณธาตุ ในธาตุทั้งหกนี้ วิญญาณธาตุเป็นใหญ่กว่าธาตุทั้งปวง โดยปกติวิญญาณธาตุที่เรายังไม่ได้ฝึกหัดสมาธิภาวนาหรือไม่ได้กำหนดรู้อารมณ์ในปัจจุบัน เขาจะวิ่งส่ายไปรอบทาง ทางออกของเขาคือทางตาหูจมูกลิ้นและกาย เมื่อเป็นเช่นนั้นเขายังไม่รวมจุด ในเมื่อยังไม่รวมจุด เขาก็ยังไม่เกิดพลังเท่าที่ควร แต่ว่าเมื่อเรามาฝึกอบรมสมาธิด้วยการบริกรรมภาวนาบ้าง ด้วยการกำหนดสติรู้อารมณ์จิตบ้าง เราสามารถที่จะทำจิตใจของเราให้หยุดนิ่งอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งอย่างมั่นคง ในเมื่อจิตหยุดนิ่งอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งอย่างมั่นคง เขาจะเกิดพลังงานขึ้นมาโดยธรรมชาติ พลังที่เราจะมองเห็นได้ชัดเจนก็คือพลังของสมาธิจิตสงบนิ่ง แล้วก็มีสติสัมปชัญญะรู้พร้อมเฉพาะอยู่ที่จุดนั้น เมื่อจิตหยุดนิ่งอยู่ในจุดนั้น จิตของเราก็จะสามารถดึงดูดเอาพลังรอบข้างเข้าไปรวมอยู่ในจุดนั้น ซึ่งนักสอนธรรมะสอนสมาธิสมัยใหม่ เขาบัญญัติศัพท์เรียกว่า “พลังจักรวาล” ทีนี้พลังจักรวาลนั้นมันมาจากไหน? มาจากดวงจันทร์ มาจากดวงอาทิตย์ มาจากดวงดาว มาจากโลกที่เราอาศัย เพราะภายในดวงอาทิตย์ก็มีสนามแม่เหล็ก ดวงจันทร์ก็มีสนามแม่เหล็ก ดวงดาวก็มีสนามแม่เหล็ก โลกที่เราอยู่นี้ก็มีสนามแม่เหล็ก ในกายของเรานี้ก็มีธาตุเหล็ก เมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อจิตใจของเรารวมจุดลงสู่จุดใดจุดหนึ่งอย่างมั่นคง ประจุไฟฟ้า ซึ่งมาจากสนามแม่เหล็กนั้น ๆ มันจะวิ่งเข้ามารวมที่จุดนั้น ถ้ายิ่งเราทำจิตให้นิ่งสว่างไสว นั่นแสดงว่ากระแสไฟฟ้าของเรา กระแสไฟฟ้ามันมารวมกลุ่มนั้น แล้วมันก็เพื่อพลังงานมากขึ้นทุกที ๆ บางทีบางคนนั่งสมาธิทำจิตให้สว่างรู้ตื่นเบิกบาน ไปเตะต้องโลหะจะสปากออกมาเป็นแสงเหมือนไฟฟ้าซ๊อต อันนั้นคือพลังจิตและพลังจักรวาล ผู้ที่ทำสมาธิเก่งที่สุดในโลกที่เรารู้ ๆ กันมานี่ ไม่ใช่ชาวพุทธในเมืองไทย แล้วก็ไม่ใช่พระภิกษุสงฆ์ในเมืองไทย แต่หากเป็นฝรั่ง ฝรั่งเขาจะนับถือศาสนาอะไรไม่รู้ คนที่สร้างจรวดไปลงดวงจันทร์ได้คนแรก นั่นเป็นนักสมาธิที่ยอดที่สุด แต่ถ้าหากว่าคนที่คำนวณระยะเวลากับความเร็วของจรวดตัวเล็ก ที่กระโดดไปลงดวงจันทร์แล้วย้อนกลับมาเกาะยานแม่ลงสู่มนุษย์โลก ถ้าหากว่าคนสองคนนี้เป็นคนละคน คนที่คำนวณระยะเวลากับความเร็วของจรวดตัวเล็กนั่นแหละเป็นผู้ที่ทำสมาธิอย่างเก่งยอดที่สุด เวลานี้นักเรียนมาฝึกสมาธิที่วัดวะภูแก้ว การฝึกสมาธิจะมาปฏิบัติได้เฉพาในวัดวะภูแก้วหรืออย่างไร เราจะปฏิบัติในห้องเรียนของเราไม่ได้หรือ? ขอตอบว่าได้ วิธีปฏิบัติสมาธิในห้องเรียน ให้นักเรียนทั้งหลายจดจำเอาไปปฏิบัติ คือปฏิบัติอย่างนี้ เมื่ออาจารย์มาสอนมายืนหน้าห้อง ทุกคนมองจ้องไปที่ครูอาจารย์ ส่งใจหรือจิตไปรวมไว้ที่ครูอาจารย์ อย่าให้สายตาและใจไปอื่น ให้จ้องอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าหากมีอะไรที่ต้องจด รีบจด จดแล้วรีบมอง อันนี้ตามกฏของธรรมชาติ อาจารย์สอนเราท่านจะรวบรวมกำลังใจวิชาความรู้จะถ่ายทอดให้เราอย่างตรงไปตรงมา ถ้านักเรียนคนใดสนใจมองจ้อง ส่งใจไปรวมไว้ที่ครูอาจารย์ ก็จะได้รับการถ่ายทอดพลังใจและวิชาความรู้จากอาจารย์ จะทำให้เราเพิ่มพลังงานทางใจของเรามากขึ้น ๆ ทุกที ทำให้เรามีสมาธิในการเรียน มีสติสัมปชัญญะในการจดจำ ถ้าปฏิบัติต่อเนื่องกันทุกวัน ๆ ให้พึ่งสังเกตจิตใจของตัวเองอย่างนี้ ในระยะแรก ๆ สายตาและใจจะไปจ้องอยู่ที่ตัวอาจารย์อย่างไม่ลดละ บางทีเราเผลอไปจ้องลูกกระตาของครูอาจารย์ อาจารย์ท่านไม่เข้าใจ ท่านอาจจะตวาดเราว่า “เธอจะมาจ้องฉันทำไมหนักหนา?” ให้รีบบอกอาจารย์ว่า “ผมหรือดิฉันกำลังฝึกสมาธิ โดยเอาตัวอาจารย์เป็นเป้าหมายของสายตาและใจ” ทีนี้ในระยะต่อไป สายตาเราอาจจะยังจ้องแต่ความรู้สึกในทางด้านใจนี่ มันจะมาเตรียมพร้อมอยู่ในท่ามกลางของตัวเอง มาตอนนี้อาจารย์อธิบายอะไรให้ฟัง พอท่านพูดจบ เราสามารถที่จะรู้ล่างหน้าได้ว่าอาจารย์จะพูดอะไร บางที่เวลาไปสอบ พออ่านคำถามจบ ใจมันจะว่างลงนิดหนึ่ง คำตอบมันจะผุดขึ้นมา เขียนเอา ๆ โดยไม่ต้องใช้ความคิด บางทีเวลาจะสอบก่อนหน้าสักวันสองวัน ใจมันจะบอกว่าให้ดูหนังสือเล่มนั้นจากหน้านั้นไปถึงหน้านั้นข้อสอบจะออกตรงนี้ แล้วมันจะออกมาทุกนี้ อันนี้ ขอให้นักเรียนทุกคนจำนำไปปฏิบัติ เราเริ่มปฏิบัติไปจะกระทั่งตั้งแต่บัดนี้ จนกระทั่งเรียนจบปริญญา พอเรียนจบปริญญาแล้วเราได้ใบประกาศปริญญาประกาศออกมา เราสามารถจะเป็นครูสอนสมาธิได้เลย อันนี้หลวงตาได้ทดสอบมาแล้วด้วยตนเอง หลวงตาเรียนหนังสือจนสอบเป็นมหากับเขาได้อย่างนี้ ก่อนหน้าจะสอบมันฝันเห็นข้อสอบก่อนแล้ว แล้วก็ไปท่องเอา พอไปถึงวันสอบจริง ๆ ข้อสอบออกมามันตรงทุกทีเลย นี่ถ้านักเรียนทั้งหลายตั้งใจปฏิบัติต่อเนื่องกันทุกวัน ๆ รับรองว่าเก่ง ได้สมาธิไปพร้อมกับการเรียน และได้วิชาความรู้ ซึ่งอาศัยพลังของสมาธิสนับสนุนเป็นอย่างดี นี่มีผู้ปฏิบัติได้ผลมาแล้วเป็นจำนวนมาก อันนี้ขอให้นักเรียนทุกคนจงจำเอาไปปฏิบัติ ในเมื่อเราปฏิบัติสมาธิจนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิดีแล้ว ให้สังเกตดูจิตใจของเรา ถ้าเรามีความเคารพรักบูชาต่อท่านผู้มีพระคุณเช่น บิดามารดา ครูบาอาจารย์เป็นต้น นั่นแสดงว่าสมาธิของเราเป็นไปในทางที่ถูกต้อง รองลงมาเรามีความรักความเมตตาปราณีต่อเพื่อนนักเรียนนักศึกษาด้วยกัน ก็แสดงว่าสมาธิของเราถูกต้อง แล้วจิตใจของเรามั่นคง เพิ่มความมั่นขยันในการเรียนการศึกษามาขึ้น แล้วเมื่อเรามีสมาธิมีสติสัมปชัญญะการเรียน การเรียนของเรา เราจะเรียนด้วยความเบาใจ สบายใจ ไม่อึดอัดรำคาญ ในเมื่อเวลาเข้าห้องเรียนแล้ว จิตใจของเราจะแน่วแน่ต่อการเรียน พร้อม ๆ ไปนั้น เราก็จะมีความเคารพรักต่อครูบาอาจารย์เป็นอย่างดี

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
http://www.thaniyo.com

ทุกคนต้องทำวิปัสสนาให้ถูกวิธี ผิดวิธีบ้าได้

นี่อาตมาได้รับคำถามว่าอายุเท่าไร? นี้มากที่สุด รำคาญที่สุดมาถามว่าอายุเท่าไหร่? นี่มันบ้า มันเสียเวลาเปล่า ๆ บางคนก็มาถามว่าวัดนี้มีพระเท่าไร? มันก็เสียเวลาเปล่า ๆ มันเรื่องอะไรของคนนั้น ที่จะรู้ว่าที่นี่มีพระเท่าไรเล่า? มันไม่ต้องถาม แล้วมีอะไรซอกแซก ๆ อย่างนี้เสียมาก จะเสียเวลา ปี ๆ หนึ่งไม่รู้เท่าไร ที่นั่งตอบคำถามว่าอายุเท่าไหร่? มีพระกี่องค์? เนื้อที่วัดนี้มีกี่ไร่? มันเรื่องบ้าทั้งเพ เพราะเรามันชอบถามชอบพูดแต่เรื่องที่มันไม่จำเป็น ไม่สมกับที่ว่ามันกำลังมีความทุกข์ แล้วก็พูดกันแต่เรื่องดับทุกข์สิ ถ้ามีความทุกข์อยู่อย่างไรที่คาราคาซังอยู่ในใจ ก็ถามเรื่องนั้น แล้วก็จะได้พูดกัน แล้วดับทุกข์ได้ หรือถ้าไม่รู้อะไรมาก่อน ก็ถามให้ตั้งต้นมาอย่างไร? จะดับทุกข์อย่างไร? นี้มันก็ได้เหมือนกัน นี่ไม่พยายามถามเรื่องที่มีอยู่จริง เรื่องที่ควรจะถามที่มีอยู่จริง

และที่มากไปกว่านั้น ก็คือจะถามว่า ที่นี่วัดนี้ทำวิปัสสนาไหม? นี่มันคือแสดงว่า คนนั้นไม่รู้ว่าวิปัสสนาที่แท้นั้นคืออะไร มันรู้แต่วิปัสสนาตามแบบของเขาเอง ทำพิธีรีตองทำท่าทำทางหลับหูหลับตาอย่างนั้นอย่างนี้ ตามที่เขาเห็น ๆ กัน เคยเห็นกันมา อาตมาก็เลยบอกเขาว่า ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าใคร ต้องทำวิปัสสนาทั้งนั้นแหละ ไม่ทำก็เป็นคนโง่ที่สุด จะอยู่ที่บ้านหรือจะอยู่ที่ไหนก็ตามใจ อยู่ที่วัดก็ตามใจ ทุกคนจะต้องทำวิปัสสนา คือการพิจารณาให้เห็นชัดว่าอะไร เป็นอะไร ๆ แล้วก็อย่าให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ นี้ยังมาถามว่า วัดนี้ทำวิปัสสนาไหม? คล้าย ๆ กับว่ายกเว้นให้บางวัดไม่ต้องทำวิปัสสนา แต่ความจริงนั้น คนที่มีชีวิตอยู่แล้ว จะทำทำวิปัสสนาทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นทุกข์ หรืออย่างน้อยมันก็เป็นโรคประสาท เป็นบ้า ถ้ามันไม่เห็นความจริงอย่างแจ่มแจ้งของชีวิตจิตใจเสียเลย ว่าจะตั้งไว้อย่างไร ดำรงไว้อย่างไรแล้ว มันจะเป็นบ้าหมดแหละ หรือมันจะเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

ขอบอกให้รู้กันเสียเลยว่า ทุกคนไม่ยกเว้นเด็กผู้ใหญ่หญิงชายอะไร ต้องทำวิปัสสนา คือสอดส่องเข้าไปในชีวิตจิตใจของตน ให้รู้ว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร? ความทุกข์ดับไปอย่างไร? เมื่อความทุกข์เกิดขึ้นทุกที ๆ ก็ขอให้รู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะเหตุอะไร? ทำผิดอะไร? นั้นแหละคือวิปัสสนา วิปัสสนา แปลว่า เห็นแจ้ง วิแปลว่าแจ้ง ปัสสนาแปลว่าเห็น วิปัสสนา แปลว่า การเห็นแจ้ง, การเห็นอย่างแจ่มแจ้งในเรื่องที่ควรจะเห็น ก็คือเรื่องความทุกข์และความดับทุกข์

ฉะนั้น ทุกคนควรจะเอาใจใส่คิดนึกสอดส่อง พิจารณาเรื่องความทุกข์และเรื่องความดับทุกข์ นั่นน่ะได้ชื่อว่าทำวิปัสสนา ทำไปตามมาก ตามน้อย ตามสติปัญญา เด็ก ๆ ก็ทำไปตามประสาเด็ก ผู้ใหญ่ก็ทำไปตามประสาผู้ใหญ่ อยู่ที่บ้านก็ทำไปตามประสาอยู่ที่บ้าน อยู่ที่วัดก็ทำไปตามประสาอยู่ที่วัด อยู่ในป่าก็ทำตามประสาที่อยู่ในป่า แต่ต้องทำให้ถูกวิธีทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าบ้านหรือวัดหรือป่า มันจะช่วยอะไรได้มากไปกว่า ว่าไม่ต้องทำให้ถูกวิธี มันต้องทำให้ถูกวิธี แม้จะอยู่ในป่า ถ้าทำไม่ถูกวิธีมันก็ไม่ได้ ไม่มีผลอะไร บางทีจะบ้าเร็วกว่าทำที่บ้าน ทำวิปัสสนาในป่า ถ้าทำผิดวิธี จะเป็นบ้าเร็วกว่าทำที่บ้านเสียอีก

นี่ขอให้รู้ความหมายของคำ รู้ความหมายของคำที่เรียกว่าหัวใจของพุทธศานา อยู่ตรงที่ทำความดับทุกข์ ทำความดับทุกข์ ดับลงไปที่ทุกข์ นั่นแหละหัวใจของพุทธศาสนา คือพูดพูดได้หลายอย่าง ตั้ง ๙ อย่าง ๑๐ อย่าง ล้วยแต่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา แล้วก็มาเถียงกัน ถ้ายึดถือตัวหนังสือก็ได้เถียงกันได้ชกปากกัน ครูกับลูกศิษย์ก็อาจจะชกปากกันได้ เพราะมันเหตุผลที่จะยืนยันด้วยกันทั้งนั้น ว่านี้เป็นหัวใจของพุทธศาสนา

แต่เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอย่างนี้ ก็มารวมกันอยู่ตรงที่ว่า ดับทุกข์ให้ได้ ดับทุกข์ให้ได้ ดำรงจิตตั้งจิตไว้ในลักษณะที่เกิดความทุกข์ไม่ได้ หรือทำให้มันเต็มอยู่ด้วยสิตปัญญา
สติ คือความรวดเร็วในการที่จะรู้สึกคิดนึก
ปัญญา คือ ความรอบรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
เอาความรอบรู้ว่าอะไรเป็นอะไรนี้มาทันท่วงทีที่อารมณ์มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ เราจึงสรุปคำพูดได้อีกประโยคหนึ่งว่า การรู้จักควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้เกิดเป็นความทุกข์ขึ้นมาได้ นั่นแหละหัวใจ ควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ทำผิดจนเกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ นั่นแหละหัวใจ หัวใจของเรื่อง นี่จะต้องรู้จักหัวใจของพระพุทธศาสนา

พุทธทาสภิกขุ
คู่มือพุทธศาสนา

ของเก่าบังของจริง

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ได้แสดงธรรมโอวาทหลายเรื่อง เช่นเรื่อง ของเก่าปกปิดความจริง ที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า การพิจารณาต้องน้อมเข้ามาสู่ภายใน พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว มันก็วางเอง

คูบาญาปู่มั่น ท่านว่า “เหตุก็ของเก่านี้แหละ แต่ไม่รู้ว่าของเก่า” ของเก่านี่แหละมันบังของจริงอยู่นี่ มันจึงไม่รู้ ถ้ารู้ว่าเป็นของเก่า มันก็ไม่ต้องไปคุย มีแต่ของเก่าทั้งนั้นตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ของเก่า เวลามาปฏิบัติภาวนา ก็พิจารณาอันนี้แหละ ให้มันรู้แจ้งเห็นจริง ให้มันรู้แจ้งออกมาจากภายใน มันจึงไปนิพพานได้ นิพพานมันหมักอยู่ในของสกปรกนี่ มันจึงไม่เห็น พลิกของสกปรกออกดูให้เห็นแจ้ง

นักปราชญ์ท่านไม่ละความเพียร เอาอยู่อย่างนั้นแหละ เอาจนรู้จริงรู้แจ้ง ทีนี้มันไม่มาเล่นกับก้อนสกปรกนี้อีก พิจารณาไป พิจารณาเอาให้นิพพานใสอยู่ในภายในนี่ ให้มันอ้อ นี่เอง ถ้ามันไม่อ้อหนา เอาให้มันถึงอ้อ จึงใช้ได้

ครั้นถึงอ้อแล้วสติก็ดี ถ้ามันยังไม่ถึงแล้ว เต็มที่สังขารตัวนี้ พิจารณาให้มันรู้แจ้งเห็นจริงในของสกปรกเหล่านี้แหละ ครั้นรู้แจ้งเข้า รู้แจ้งเข้า มันก็เป็นผู้รู้พระนิพพานเท่านั้น

จำหลักให้แม่น ๆ มันไม่ไปที่ไหนหละ พระนิพพาน ครั้นเห็นนิพพานได้แล้ว มันจึงเบื่อโลก เวลาทำก็เอาอยู่นี่แหละ ใครจะว่าไปที่ไหนก็ตามเขา ละอันนี่แหละทำความเบื่อหน่ายกับอันนี้แหละ ทั้งก้อนนี่แหละ นักปฏิบัติต้องพิจารณาอยู่นี่แหละ ชี้เข้าไปที่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ให้พิจารณากาย พิจารณาใจ ให้เห็นให้เกิดความเบื่อหน่าย

การต่อสู้กามกิเลส เป็นสงครามอันยิ่งใหญ่ กามกิเลสนี้ร้ายนัก มันมาทุกทิศทุกทาง หากพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง ก็ถอนได้ กามกิเลสนี้แหละ เป็นบ่อเกิดแห่งการฆ่ากันตาย ชิงดีชิงเด่น กิเลสตัวเดียว ทำให้มีการต่อสู้แย่งชิงกัน ทั้งความรักความชัง จะเกิดขึ้นในจิตใจก็เพราะกาม

นักปฏิบัติต้องเอาให้หนักกว่าธรรมดา ทำใจของตนให้แน่วแน่ มันจะไปสงสัยที่ไหน ก็ของเก่าปรุงแต่งขึ้นเป็นความพอใจไม่พอใจ มันเกิดมันดับอยู่นี่ ไม่รู้เท่าทันมัน ถ้ารู้เท่า ทันมัน ก็ดับไป ถ้าจี้มันอยู่อย่างนี้ มันก็ค่อยลดกำลังไป ตัดอดีต อนาคตลงให้หมด จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน ทำในปัจจุบัน แจ้งอยู่ในปัจจุบัน

ธรรมโอวาท
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
http://www.dharma-gateway.com

 

ฆ่ากิเลสด้วยปัญญา

โยม ขอถามนิดหนึ่งคือว่า เราภาวนาแล้วจิตเรานิ่งแบบที่หลวงตาบอกว่าเป็นอารมณ์ ไม่อยากได้อะไร

หลวงตา คือว่า ความสงบของจิต มันอยู่ที่จิตเลย ถืออารมณ์ความสงบนี้แนบสนิทอยู่ด้วยกันเลย ไม่อยากคิดอะไรมันสู้อารมณ์ความสงบนี้ไม่ได้ ความคิดต่าง ๆ นี้เป็นการกวนใจ เวลาธรรมเข้าสู่ใจแล้ว มันปฏิเสธสิ่งที่มันเคยชอบแต่ก่อน ปัดออก คิดก็ไม่อยากคิด ยุ่ง อยู่แน่ว เพราะฉะนั้นผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิจึงอยู่ที่ไหนอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืนสบายตลอดเวลา แต่ไม่มีความแยบคายยิ่งกว่านั้น นี่ละจึงต้องมีวิปัสสนามาเปิดทางอีกทีหนึ่ง พิจารณาทางด้านปัญญา พอก้าวออกจากด้านปัญญานี้ความรู้จะสูงขึ้นละเอียดลออมากยิ่งกว่านี้ แล้วเป็นปัญญาประเภทที่ฆ่ากิเลสเป็นลำดับไปด้วยนะ สมาธิฆ่ากิเลสไม่ได้ เอ้า ฟัง สมาธิเป็นแต่เพียงว่าตีกิเลสให้สงบตัวลงไปเหมือนหินทับหญ้าเท่านั้นเอง พอเอาหินออก สมาธิมันก็แตกกระจายไปกลายเป็นความฟุ้งซ่านวุ่นวายไปได้ เมื่อหินทับหญ้า เอาหินออกแล้วหญ้ามันก็งอกได้ใช่ไหมล่ะ

อันนี้เมื่อเราไม่ระมัดระวังอย่างนี้มันก็ฟุ้งซ่านไปได้ กลายเป็นจิตธรรมดาเลวกว่าโลกไปอีกก็ได้ มันเสื่อมได้เข้าใจ แต่เวลาเราประคับประคองหรือเรามีความเพลิดเพลิน ติดอยู่ในสมาธิ จิตก็เป็นสมาธิมีอารมณ์อันเดียวกับความสงบ เอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ คือมีความสงบเป็นอันเดียวกับจิตอยู่ด้วยกัน อยู่ไหนอยู่ได้ไม่อยากคิด คิดเรื่องอะไร ๆ นี้รำคาญ ไม่อยากคิด มันกวนใจว่าอย่างนั้นเลย แต่ก่อนมันเพลินมันไม่ได้ว่ากวนใจ มันเพลิน

ทีนี้เวลาความสงบนี้มันมีคุณค่ามากกว่านั้นแล้ว มาครอบครองใจแล้ว ความคิดทั้งหลายจึงเป็นข้าศึกไปไม่อยากคิด นี่ขั้นสมาธิ ทีนี้พอก้าวออกทางด้านปัญญา ทางด้านปัญญาเป็นทางแก้กิเลสนะ สมาธิไม่ได้แก้กิเลส ตีกิเลสให้สงบลง เพื่อปัญญาจะได้ก้าวเดินหรือคลี่คลายสิ่งทั้งหลายที่มันหมอบตัวอยู่ด้วยสมาธิตีหัวมันนั้น คลี่คลายออกมาด้วยปัญญา จากนั้นฆ่ากิเลสละที่นี่ ฆ่ากิเลสด้วยปัญญา สมาธิเพียงทำใจให้สงบ พอออกทางด้านปัญญาคลี่คลายออกแล้วยิ่งแจ้งยิ่งขาวดาวกระจ่าง ยิ่งละเอียดลออ กิเลสขาดลง ๆ ๆ เห็นชัด ๆ ในใจ

เพราะฉะนั้น จึงได้กล้าพูดละซิว่า โอ้โห เรื่องสมาธิมันนอนตายอยู่เฉย ๆ ไม่เห็นแก้กิเลสได้สักตัว มันบอกชัด ๆ ในหัวใจเจ้าของเอง มันนอนจมอยู่อย่างนั้น กิเลสตัวไหนก็ไม่เคยขาด อยู่สบาย ๆ เพลินอยู่กับความสงบเย็นใจ พอก้าวออกทางด้านปัญญานี้ถอดถอนกิเลสเป็นลำดับลำดาไป มันก็เห็นคุณค่าของปัญญาแล้วก็มาโทษสมาธิ โอ๊ย.สมาธิมันนอนตายเฉย ๆ แก้กิเลสตัวเดียวก็ไม่ได้ ทีนี้ก็ฟัดทางด้านปัญญาละซิ เอ้า ทางปัญญาถ้าไม่มีผู้เตือนมันก็เตลิดเปิดเปิงได้เหมือนกัน ต้องมีผู้ห้ามล้อได้อีกนะ ผู้มีความรู้เหนือกว่าจะกระตุกให้รู้จักความพอเหมาะพอดีในการก้าวเดินปัญญา ถึงเวลาที่จะพักสมาธิให้พัก พอออกจากสมาธิแล้ว ถึงกาลเวลาที่จะก้าวเดินทางด้านปัญญาไม่ต้องห่วงสมาธิ เอ้า ก้าวเดินทางด้านปัญญาเรื่อยไป

เมื่อปัญญามีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เพราะการทำงาน ปัญญาทำงานหมุนติ้ว ๆ ทำงานแล้วให้พักสมาธิหรือพักผ่อนนอนหลับ จากนั้นมาแล้วให้ก้าวเดินทางปัญญาอีก ให้เป็นวรรคเป็นตอน ทั้งมีการพักสมาธิ ทั้งมีการก้าวเดินทางด้านปัญญาเป็นวรรคเป็นตอน ถือเอาความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเจ้าของเป็นสำคัญที่จะให้พัก พักสมาธิหรือพักนอนก็แล้วแต่ มีเป็นขั้นอย่างนี้ นี่การดำเนินทางด้านปัญญา จากนั้นแล้วจะพุ่ง ๆ นี่ละท่านว่าปัญญาอัตโนมัติ สติปัญญาอัตโนมัติพุ่ง ๆ ๆ ไม่มีเวลาที่จะพักผ่อนนอนหลับ มันเพลิน เพลินทางด้านปัญญาเพลินแก้กิเลสเรื่อย ๆ ต้องได้หักเอาไว้ ต้องได้กระตุกเอาไว้ให้พักเสียก่อน

เหมือนอย่างเราทำงาน ทำงานขุดดิน ฟันไม้อะไรก็แล้วแต่ มันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ผลของงานได้ไปเรื่อย ๆ เพลินกับผลของงานเจ้าของจะตายไม่รู้ เอ้า ถึงจะได้งานก็ตามพักเสียก่อน เวลานี้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที่พักเสียก่อน ตื่นขึ้นมาหรือว่ารับประทานอาหารมันจะสิ้นเปลืองไปบ้างก็ตาม สิ้นเปลืองไปเพื่อกำลังที่จะก้าวเดินต่อไป นั่น เข้าใจเหรอ อันนี้ปัญญาก็เหมือนกัน ถึงเวลาพักให้พัก เมื่อพักทางด้านปัญญา พักสมาธิแล้วไม่ต้องยุ่งทางด้านปัญญา ให้จิตแน่วลงจุดเดียวนี่เรียกว่าพักเครื่อง หรือพักเอากำลัง พอออกทางด้านสมาธิแล้วทีนี้ก้าวสู่ปัญญา ปัญญาจะหารายได้ละที่นี่ สมาธิการพักผ่อนเวลานี้ไม่ยุ่ง เอ้า ทำหน้าที่ทางปัญญาไป เป็นพัก ๆ อย่างนี้ พากันเข้าใจ

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕

http://www.luangta.com