น้ำมนต์ไม่ใช่สรณะอันเกษม

มนุษย์ทุกคนมีปัญหาเรื่อง ความกลัว เรื่องความทุกข์ที่ไปบีบคั้น แม้ความเจ็บไข้ และความ ตาย ฯลฯ เขาจึงล้วนแต่ต้องการที่พึ่ง ต้องการสรณะ นับตั้งแต่ เด็กทารกก็มีบิดามารดาเป็นสรณะ เป็นต้นสิ่งใดที่ทำให้เบาใจได้ ทำให้หายกลัวได้ ทำให้จิตพ้นจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาได้สิ่งนั้นเรียกว่า สรณะ หรือที่พึ่ง

ที่พึ่งมีได้หลายระดับ มากมาย ตามความโง่หรือความฉลาด ของมนุษย์เอง และมันต้องเป็นที่พึ่งที่เหมาะสมสำหรับคนนั้นๆ เช่น การมีไสยศาสตร์เป็นที่พึ่งของคนที่ยังไม่มีความรู้ทางจิต ส่วนคนที่รู้จัก การทำจิตใจให้ถูกต้อง จนรู้ธรรมะเป็นที่สุด เป็นสรณะที่พึ่งได้

เรื่อง ที่แต่ละคนจะรู้สึกสบายใจ เบาใจอะไรนี้ มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่เขารู้สึกในเวลานั้น ว่ามันเป็นของจริงสำหรับเขาความจริงนั้นมันยืดหยุ่นได้เสมอไป มันจะจริงอยู่เพียงที่ใจเขารู้จัก เท่าที่ความรู้ของเขามีอยู่เพียงไร เท่าไร มันก็จะจริงอยู่เพียงแค่ที่เขาจะเห็นด้วยตนเองได้เท่านั้นเขาไม่อาจจะเห็น ความจริงที่ลึก ที่สูง ที่ไกล ออกไปได้ ฉะนั้นความจริงมันจึงเฉพาะคน เฉพาะเวลา เฉพาะเหตุผล ที่มีอยู่ในเวลานั้น เท่านั้น อย่าไปเข้าใจว่า เป็นจริงที่เด็ดขาดลงไป ดังนั้นสรณะของแต่ละคนจึงแตกต่างกันออกไป

ธรรมะ เป็นยอดสุดของที่พึ่ง เป็นยอดสุดของสรณะ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่ต้องการที่พึ่ง ถ้ายังต้องการที่พึ่งอยู่ก็ยังไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะท่านถึงที่พึ่งอันสูงสุดแล้ว จึงไม่รู้สึกว่าต้องการที่พึ่ง ฉะนั้นจึงไม่ได้มีอะไรเป็นที่ผูกพันกันยุ่งเหยิง เหมือนกับพวกที่ยังไม่หลุดพ้น ยังมีความทุกข์อยู่

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หมายถึงสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ มันมีทั้งศักดิ์สิทธิ์จริง และศักดิ์สิทธิ์มายา แต่ก็ล้วนมีผลทำให้เบาใจได้เป็นระดับๆไป คนโง่อาจใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเพียงมายา เช่น ใช้คาถาปลุกเสก รดน้ำมนต์ เป็นต้น สำหรับคนฉลาดใช้อย่างนี้ไม่ได้ ต้องหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างอื่นแทน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นปัญหา ยุ่งยากที่สุด แม้กระทั่งในสมัยวิทยาศาสตร์ เพราะมันพิสูจน์ยาก แต่โดยหลักเกณฑ์ของมันก็เป็นเพราะความเชื่อของคน ด้วยอำนาจความเชื่อนั่นแหละ ทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ แล้วความเชื่อนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับความโง่ หรือความฉลาดด้วย

เรื่องไปรดน้ำมนต์ เราไม่ได้ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ว่า ไม่มีอะไรเสียเลย มันก็มีไปตาม ข้อเท็จจริงของมัน มีผลไปตามสัดส่วนของความโง่ หรือความเชื่อ คือถ้าเชื่อแล้ว มันก็มีความเบาใจ สบายใจ หายกลัว หายทุกข์ร้อน นี้มันก็มีประโยชน์มาก แต่ถ้าไม่เชื่อแล้ว ก็เป็นเรื่องอาบน้ำธรรมดาไปเสีย นั่นเอง การปัดเป่า เสกเป่า นี้ก็เหมือนกัน ถ้าเชื่อมันก็มีผลในทางใจ รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที ถ้าไม่เชื่อ มันก็ไม่มีอะไร มันอยู่ที่กำลังใจ ที่สูงต่ำกว่ากัน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์มายาเป็นที่พึ่งที่มาจากภายนอก อาจได้มาจาก ภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์บ้าง เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์บ้าง ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สรณะอันเกษม ไม่ใช่สรณะอันสูงสุด ไม่ทำให้เกลี้ยงเกลาไปจากความทุกข์ได้จริง เป็นเพียงที่พึ่งหลอกๆ มีความเบาสบายชั่วคราวเท่านั้น

สิ่งศักดิ์สิทธิ์แท้จริงหมายถึงธรรมะ (รวมทั้ง พระพุทธ พระธรรมะ พระสงฆ์) ที่มีผลกำจัดทุกข์ได้จริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกชนิด ทั้งชนิดที่แท้จริง และชนิดมายา ก็มีผลสมควรแก่กรณี สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนโง่ ก็ต้องใช้กับคนโง่, สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนฉลาด ก็ต้องใช้กับคนฉลาด, สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนครึ่งๆ กลางๆ ก็ต้องใช้กับคนครึ่งๆ กลางๆ, ถ้าผิดฝาผิดตัวแล้ว มันก็ตีกันยุ่ง แล้วจะไม่มีประโยชน์

เราไม่ได้ ปฏิเสธว่า ไม่มีผี ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่มันมีอยู่หลายชนิด ซึ่งคนที่ไม่รู้ก็จะเข้าใจได้ยากสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงอยู่ในฐานะเหนือการ พิสูจน์ เรื่องอย่างนี้เป็นมาแล้วก่อนพุทธกาลนานไกล เป็นมาจนถึงปัจจุบัน

ความ ศักดิ์สิทธิ์นี้มีจริง เพราะเป็นเรื่องทางจิตใจ มันง่ายที่จะมี ถ้าทุกคนเชื่อลงไปในสิ่งนี้ว่าเป็นอย่างนี้ มีผลอย่างนี้ ความเชื่อนั้นแหละเป็นอำนาจอะไรอย่างหนึ่ง ที่ฝังอยู่ในบรรยากาศนั้นๆ พอใครเข้ามาในที่นั้น มันก็ครอบงำ แล้วคนนั้นก็จะรู้สึกเป็นอย่างนั้น รู้สึกเหมือนที่เชื่อกันนั้น ได้จริงๆ เหมือนกันฉะนั้นในเมื่อคนยังโง่มาก มันก็สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันขึ้นมาเอง

สำหรับคนสมัยนี้ เวลานี้เขาศึกษากันแต่ในเรื่องวัตถุ เขาจะแก้ปัญหาต่างๆด้วยเรื่องทางวัตถุก่อนเสมอ เช่นโรคภัยไข้เจ็บก็แก้กันด้วยหยูกยาก่อน หรือเรื่องอะไรต่างๆก็แก้ด้วยเครื่องใช้เครื่องมือ จนกระทั่งไปแก้ปัญหาทางจิตโดยใช้วิทยาศาสตร์ แต่แล้วก็ไม่สำเร็จ พอเผลอเข้านิดเดียว นักวิทยาศาสตร์ที่มีความโง่เขลาในทางวิญญาณ ก็กลายเป็นเหยื่อของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่อธิบายไม่ได้ไปเสียแล้วโดยไม่รู้ตัว อย่างนี้ก็มีอยู่มาก

นัก วิทยาศาสตร์เอกที่ไปเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนาอะไรก็ตาม ก็ยังต้องรดน้ำมนต์ ยังทำอะไรแปลกๆ อย่างนี้ก็มีอยู่มากเหมือนกัน กระทั่งถือฤกษ์ถือยาม ถืออะไรไปตามประสาของความขลาด ซึ่งความขลาดความกลัวนี้มาจากความอยาก และวิทยาศาสตร์ทางวัตถุช่วยเพิ่มความอยาก จนสับสนวนเวียน จนเกิดความกลัวก็ต้องเอาอะไรมาหลอกกัน ด้วยเรื่องศักดิ์สิทธิ์ หรือไสยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์จึงกลายเป็นทาสของไสยาศาสตร์ไปโดยไม่รู้สึกตัว

สรณะที่ แท้จริงนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นอริยสัจสี่ด้วยปัญญา ผู้นั้นได้ชื่อว่า ได้ที่พึ่งอันเกษม ได้ที่พึ่งอันสูงสุด ซึ่งจะให้พ้นทุกข์ทั้งปวงได้”

การถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นหมายความว่า ต้องเห็นอริยสัจสี่ด้วยปัญญาคือเกิด experience อยู่ในใจจริงๆ เป็นความเห็นแจ้งแทงตลอดว่า ทุกข์มีลักษณะอาการอย่างนี้ๆ สมุทัย คือตัณหา เหตุให้เกิดทุกข์ เราก็รู้จักตัวจริง และ รู้ความที่จะกำจัดมันได้, นิโรธ ความดับแห่งทุกข์ ที่มันปรากฏอยู่ในใจเราเสมอๆ ก็ให้แจ่มแจ้งอยู่ในใจของเราเสมอๆ และมรรค ทางแห่งการปฏิบัติก็ต้องทำให้มีอยู่ในเนื้อในตัวเราจริงๆ

ถ้าเห็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง ก็คือเห็นธรรมะที่เป็นที่ดับทุกข์ได้จริง มิฉะนั้นแล้ว จะเป็นการเห็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่เปลือกนอก เช่นเห็นพระพุทธรูป ว่าเป็นพระพุทธ เห็นคัมภีร์ใบลานว่าเป็นพระธรรม เห็นลูกชาวบ้าน นุ่งห่มสีเหลืองว่าเป็นพระสงฆ์ เป็นต้น ซึ่งนั่นไม่เรียกว่าการเห็นที่แท้จริง

ในสมัยพุทธกาลมีคนไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้า ได้มีการสนทนาโต้ตอบกัน จนบุคคลนั้นเห็นธรรม เข้าใจธรรม เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ จนเห็นว่ามันดับทุกข์ได้จริงๆแล้ว จึงได้ออกปาก เปล่งวาจาถึงสรณาคมน์ ว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ฯลฯ ดังนั้นการเข้าถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ จึงเป็นเรื่องจริง ทำครั้งเดียวก็ใช้ได้ตลอดกาลตลอดชีวิต

แต่ เดี๋ยวนี้ คนเรายังไม่ทันรู้อริยสัจสี่ ยังไม่ทันรู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ออกปากว่าสรณาคมน์ไปตามที่เขาบอก โดยทำเป็นพิธี ว่าไปอย่างนกแก้วนกขุนทอง คือต้องพูดซ้ำๆซากๆ เดือนหนึ่งไม่รู้กี่สิบครั้งกี่ร้อยครั้ง มันจึงเป็นสรณาคมน์ที่งมงาย

พระ พุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่แท้จริง ที่ลึกเข้าไปในใจแล้ว ก็เหมือนกันหมด นั่นก็คือ คุณธรรมที่เป็นความดับทุกข์ได้เหมือนกันหมด ซึ่งจะเรียกว่า ความสะอาด ความสว่าง ความสงบ สิ่งนี้จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องทำให้มีขึ้นมาเองในใจของเรา ทำพระพุทธเจ้า ให้มีขึ้นมาเองในจิตในใจของเรา ทำพระธรรมให้มีขึ้นมาเองในใจของเรา ทำพระสงฆ์ให้มีขึ้นมาเองในใจของเรา ทำการรู้อริยสัจสี่ให้มีขึ้นมาเองในใจของเรา อย่างนี้เรียกว่า เป็นการกระทำของตนเอง เพื่อตนเอง และโดยตนเอง

นี่คือสิ่งที่กล่าวกันว่า “มีตนเป็นดวงประทีป มีธรรมเป็นดวงประทีป” “มีตนเป็นสรณะมีธรรมเป็นสรณะ” นั่นก็คือ การได้ถึงสรณาคมน์เป็นความดับทุกข์ หรือเป็นนิพพานอยู่ในตัว

ขอ ให้ทุกคนรีบแก้ไขให้การถึงสรณาคมน์นี้ ด้วยจิตใจจริงๆ โดยไม่ต้องออกปากว่าก็ได้ ถ้าว่าด้วยปากให้เป็นพิธี ซึ่งทำให้มีเหตุผลทางจิตวิทยา ชี้ชวน ชักชวนผู้อื่นให้เข้ามาสนใจ หรือว่าเป็นการย้ำในการถึงแล้วของเราให้แน่นแฟ้นอยู่เสมอ อย่างนี้ก็พอจะไปได้ ถ้ารู้ว่ายังไม่ถึง ก็จงรีบๆทำให้ก้าวหน้า และให้ถึงในที่สุด

ธรรมโฆษณ์ บรมธรรม ภาคปลาย “บรมธรรมกับสรณาคมน์”

ใส่ความเห็น