Monthly Archives: มีนาคม 2014

นรกมีก็มีอย่างนี้ สวรรค์มีอย่างนี้

หลังจังหัน

เมื่อ วานนี้ก็ได้พูดอยู่เรื่องพรบ.สงฆ์ คนทั้งแผ่นดิน พระสงฆ์ผู้ทรงศีลทรงธรรมทั่วประเทศไทย มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีพระราชอำนาจสถาปนา พระขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ฟังซิคนทั้งแผ่นดิน พระสงฆ์ผู้ทรงศีลทรงธรรมทั่วประเทศไทยอนุโมทนาสาธุการ เป็นประเพณีมาดั้งเดิมจนกระทั่งป่านนี้ นานสักเท่าไรฟังซิ นี่เป็นพื้นฐานที่หนาแน่นมั่นคงและดีงามของประเทศไทยเรา ที่มีความเห็นพร้อมเพรียงกันอนุโมทนาหรือทูลถวายให้ท่านทรงตั้งพระเป็น สมเด็จพระสังฆราช เป็นความถูกต้องดีงาม ทางธรรมก็หาที่ต้องติไม่ได้

การ ที่พูดทั้งหลายเหล่านี้เรานำธรรมมาสอนโลก เราไม่ได้มาเป็นคู่ทะเลาะวิวาทกับโลก เราไม่ใช่ฝ่ายนั้นไม่ใช่ฝ่ายนี้ ไม่มีความหวังแพ้หวังชนะ หวังได้เปรียบเสียเปรียบ เราไม่มี เพราะเรานำธรรมพระพุทธเจ้ามาสั่งสอนสัตว์โลก ผิดถูกดีชั่วประการใดจะพูดไปตามหลักความจริงแห่งธรรม ไม่ให้เคลื่อนคลาดไปจากนั้น อย่างพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงตั้งสมเด็จพระสังฆราช นี้ เป็นประเพณีที่เมืองไทยเรายอมรับทั้งฝ่ายพระเจ้าพระสงฆ์ทั้งฝ่ายประชาชนมา นมนาน จนเป็นประเพณีที่หนาแน่นมั่นคงมาตลอดปัจจุบันนี้ นี่คือความถูกต้องดีงามแน่นหนามั่นคง

ทีนี้ มีพรบ.พอรอแบอะไรก็ไม่รู้มาตั้งมากีดมาขวาง มาแย่งอำนาจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะแย่งไปหาอะไร พิจารณาซิ เราอยากจะพูดว่าพรบ.สงฆ์นี่มันสงฆ์ไหน มันสงฆ์เป็นบ้าหรือ เราอยากว่าอย่างนั้น ถ้าสงฆ์เป็นคนดีจะทำไม่ลง ประเพณีของชาติไทยหนาแน่นเท่ากับเมืองไทย แล้วพรบ.สงฆ์ไหนน่ะที่จะมาหนาแน่นมั่นคงยิ่งกว่าประเพณีอันนี้ ถึงจะต้องมาคัดค้านต้านทานหรือมาแย่งเอาอำนาจนี้ไปใช้ มันฟังไม่ได้นะ เราอยากถามถึงพรบ.นี้ ใครเป็นคนตั้งขึ้นเป็นพรบ.สงฆ์ ใครเป็นคนตั้งขึ้นมาเราจะค้นหาเหตุหาผลอีกนู่นไม่ใช่ธรรมดา คือมันผิดขนาดนั้นว่างั้นเถอะ ไปแย่งเอาอำนาจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระราชสมบัติอันดั้งเดิมของพระองค์ ที่ประชาชนยอมยกทูลเกล้าถวายท่านมา

เรา วิเศษวิโสมาจากไหนจึงต้องไปขัดไปแย้งหรือไปแย่งเอามา มาเป็นอำนาจบาตรหลวง ตราเป็นพรบ.สงฆ์ ตราเมืองไทยมันหนาแน่นยิ่งกว่าพรบ.สงฆ์เป็นไหนๆ ตราเมืองไทยคือขนบประเพณีของเมืองไทยที่ปฏิบัติกันมาเป็นเวลานมนาน ตราอันนี้หนักแน่นขนาดไหน พรบ.สงฆ์แส็งอย่างว่าหนักแน่นที่ไหน นี่ละภาษาธรรม เราพูดอย่างตรงไปตรงมา เพราะเราไม่มีแพ้มีชนะ ไม่มีได้มีเสีย และไม่มีกล้าไม่มีกลัว ธรรมไม่กล้าไม่กลัวกับอะไร เหนือทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เรานำธรรมนั้นมาแสดงด้วยความเป็นธรรม ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก เพราะฉะนั้นพรบ.นี้จึงบอกได้ชัดๆ ว่าผิด อย่าเอาเข้ามาเป็นก้างขวางคอของคนทั้งชาติเลย ต้องถอนออกทันทีถึงถูก ตั้งแต่ตั้งขึ้นมานั้นมันก็ผิดพอแล้ว ยังจะเอามาบีบบังคับประชาชนอีก ผิดเป็นชั้นๆ ขึ้นไปเลย เราว่าอย่างนี้แหละ พูดตามอรรถธรรมเป็นอย่างนี้

ธรรม สอนโลกจะไปสอนเอนเอียงๆ ลูบหน้าปะจมูก เห็นที่สูงที่ต่ำอย่างนี้ไม่ได้ ต้องสอนอย่างตรงไปตรงมาจึงเรียกว่าธรรม ตายใจได้ โลกตายใจได้ กราบไหว้ได้สนิท ถ้ามีเอนมีเอียงไม่ใช่ธรรม ไว้ใจไม่ได้ว่างั้นเถอะ พูดถึงเรื่องพรบ. เราก็ย้ำเข้าไปอีกอย่างนี้แหละ เพราะมันผิดว่างั้นเถอะ แหม เหยียบหัวคนทั้งประเทศ พระสงฆ์ไทยผู้ทรงศีลทรงธรรมถูกเหยียบไปด้วย ด้วยพรบ.ของสงฆ์นี้แหละ มันสงฆ์องค์ไหนน่ะเราอยากถามดู มันสงฆ์องค์ไหนมันถึงเก่งเอานักหนา ไม่มองดูธรรม พระสงฆ์ก็ลูกพระพุทธเจ้า ต้องมองดูธรรม ผิดถูกดีชั่วประการใด

อย่าง ประเพณีของคนไทยที่ใช้กันมา ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาหรือตั้งสมเด็จพระสังฆราชนี้มา ตั้งแต่เมื่อไร ดึกดำบรรพ์ของเมืองไทยเราว่างั้นเถอะ ใครก็อนุโมทนาสาธุการน้อมเกล้าถวายมาตลอด พระสงฆ์ก็อนุโมทนาสาธุการมาตลอด แล้วอยู่ๆ พ.ศ.๒๕๓๕ ก็มีนักปราชญ์จรวดดาวเทียมขึ้นมาเหยียบหัวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหยียบหัวพระสงฆ์ทั้งประเทศ เหยียบหัวคนไทยทั้งประเทศต่อหน้าต่อตาอย่างไม่อายเลย ถ้าพูดอย่างนี้ถนัดดีกับความเป็นอย่างนั้น เราอยากจะพูดว่ากับความเซ่ออย่างนั้น ไม่ดูหรือตามี ประเพณีนี้หนักแน่นขนาดไหน คนทั้งโลกเขารู้กันเห็นกัน พระสงฆ์ที่มาตั้งบัญญัตินี้มันไม่เห็นหรืออยากว่าอย่างนั้น ถ้าเห็นมาตั้งหาอะไร หลับตาตั้งเหรอ ผู้อ่านไม่ได้หลับตาอ่านมันลืมตานี่

พูด เท่านั้นละ เหมือนนักมวยเวลาขึ้นต่อยปึ๊งปั๊งๆ พอเสร็จแล้วกอดคอกันลงไปธรรมดา เพราะการพูดนี้ไม่ได้พูดด้วยอำนาจแห่งความโกรธ ความโมโหโทโส พูดด้วยอำนาจแห่งธรรม ควรหนักหนัก ควรเบาเบา ควรเน้นหนักขนาดไหน ธรรมจะเป็นอย่างนั้นตลอด ถ้าเรียบๆ ก็เรียบๆ ถ้าควรหนักต้องหนัก ควรหนักจะไปเบาไม่ได้ มันจะเป็นพรบ.อันนี้นะ ควรเบาเป็นหนักก็ไปเหยียบหัวคนอย่างหนักอย่างนี้ไม่ได้ เราจึงได้พูดตรงๆ เลยว่าต้องเลิก ไม่เลิกไม่ได้พรบ.อันนี้ ต้องเลิก ไม่เลิกไม่ได้เมืองไทยจมได้ เพราะฝ่าเท้าของคนโง่ๆ นี้ ว่างั้นเลย

คน ทั้งประเทศมีหัวใจทุกคน มีหัวทุกคน หัวคิดปัญญามีทุกคน พระสงฆ์ก็สังฆมณฑลผู้ทรงศีลทรงธรรมมีด้วยกัน มันเอาความรู้จรวดมาจากไหนมาทำอย่างนี้ แล้วเหยียบหัวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือเราไม่อยากว่าพระเศียรนะ ให้มันตรงกันกับพวกฝ่าเท้าพวกหยาบๆ เอาอันนี้เข้าไปใส่พระเศียรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กลายเป็นหัวไปเลย มันเหยียบได้อย่างสบายๆ  เพราะ ฉะนั้นจึงว่าเหยียบหัวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข้ากันได้กับเรื่องนี้ใช่ไหมล่ะ ธรรมดาก็พระเศียร เช่นอย่างว่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้า เราออกมาพูดให้มันได้จังหวะกันกับความหยาบโลนอันนี้ สูงขนาดไหนมันเอามาเหยียบได้ ว่างั้นละ เพราะคนหน้าด้าน คนไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่มีบาปมีบุญ ทำได้อย่างนั้น

(หลวงตาครับ พรรคมหาชนน้อมรับคำสั่งคำสอนของหลวงตา และจะแก้ไขทั้งสองมาตราตามที่หลวงตาสั่งสอนครับ)

อย่า ว่าแก้ไข ให้ลบ ว่าแก้ไขเรายังไม่ยอมรับ ถ้าว่าลบแล้วถูกต้อง นี่เป็นก้างขวางคอของคนทั้งประเทศ ของพระสงฆ์ผู้ทรงศีลทรงธรรมทั่วสังฆมณฑล เรียกว่าก้างอันใหญ่หลวงขวางคอ ดึงออกให้หมด พรบ.อย่าแก้แต่ให้ลบให้หมด เข้าใจเหรอ เหลือไว้ทำไมมันเป็นภัยต่อชาติ ต่อประเพณีของชาติมาดั้งเดิม ซึ่งคนทั้งชาติเทิดทูนกันมาตลอด มันมาเหยียบหาอะไร ว่างั้นแหละ ก็มีเท่านั้น (หลวงตาครับ พวกกระผมอยู่พรรคมหาชนเขต ๒ ถ้าหลวงตามีอะไรจะฝากถึงพวกกระผมก็ฝากได้ครับ) เออ มีอะไรก็พูดได้ในฐานะลูกศิษย์มีอาจารย์ เราก็เป็นชาวพุทธด้วยกัน เป็นลูกของพระพุทธเจ้าด้วยกัน พูดกันได้ทุกอย่าง เท่านั้นละพอใจ(พวกกระผมขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ครับ) เออ ให้พากันทำหน้าที่การงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเรา อันนี้เป็นหลักใหญ่มาก เท่านั้นละ มีโอกาสจะสนทนาธรรมะธัมโมกันก็ได้ไม่ว่าอะไร

ผู้กำกับ สันติ อินโดนีเซีย มีปัญหามากราบเรียนครับ อยากให้คนในศาลาตั้งใจฟัง เป็นปัญหาสำคัญอยู่ครับ

หลวงตา สำคัญไม่สำคัญหูเรามีเราจะฟัง ใจเรามีเราจะคิด ไม่ให้ใครมาตัดสินเรา เราจะตัดสินเราเอง เอ้าว่าไป

ผู้กำกับ กราบ นมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ ใน ๕ วันนี้ขณะนั่งสมาธิ เมื่อรู้สึกตัวหายและเวทนาหายไปเหลือแต่จิตล้วนๆ ก็ได้ปรากฏภาพให้เห็นเหมือนดูทีวี เป็นภาพผู้ชายผู้หญิงตกอยู่ในกระทะมีไฟร้อนๆ บางคนก็เดินบนเถ้าถ่านร้อนๆ มีกระจกโรยอยู่ด้วย บางคนก็ถูกตัดนิ้วตัดมือ ถูกสับตามมือ บางคนถูกตัดลิ้น ถูกตัดหัวทิ้ง บางคนถูกควักลูกตา บางคนถูกเหล็กแหลมแทงเข้าไปในตัว ถูกกรรไกรตัดตามร่างกาย บางคนถูกลากตัว ถูกแซ่โบยตีตามตัว ผู้คุมคล้ายคนแต่ไม่เหมือน คือมีผิวหนังเลี่ยน ไม่มีขนตามร่างกาย บางคนมีหาง ตาไม่มีหนังตา มีเขี้ยว ถือสามง่ามคอยทิ่มแทง ภาพทั้งหมดที่เห็นในตอนแรกจะกลัว แต่ภายหลังเกิดความสงสารขึ้นมาแทน เพราะบางคนที่เห็นยังมีชีวิตอยู่ และได้ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดแห่งนี้ด้วย หนูรู้จักด้วย แต่ทำไมจึงมีภาพไปปรากฏในนรก หนูจึงอยากให้หลวงตาช่วยอธิบายด้วยว่า ทำไมเขายังไม่ตาย แต่กลับมีภาพไปปรากฏอยู่ในนรกด้วย

หลวงตา เรา ยังไม่อธิบายอย่างอื่นนะ เราอธิบายว่าถ้าอยากให้ภาพปรากฏชัดๆ ก็ให้สร้างความชั่วให้มากๆ แล้วจะชัดขึ้นๆ ในตัวของเราเองนี้แล้วกระจายไปถึงแดนนรก สายทางของความชั่วนี้จะลงนั่นละไม่ไปอื่น สายทางความดีนี้จะขึ้นเป็นภาพแบบเดียวกัน

ผู้กำกับ ต่อ นะครับ บางภาพที่เห็นเป็นสถานที่และผู้คนดูสวยงามมาก ไม่เคยเห็นมาก่อน รู้สึกเหมือนตนเองออกไปยืนอยู่นอกโลก และมองมาที่โลกที่เราอยู่คล้ายๆ โลกใบอื่นๆ อีกมากมาย เหมือนเห็นทั่วจักรวาล ภาพที่เห็นทั้งหมดเหมือนนั่งดูทีวี และกดรีโมทภาพเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ เป็นร้อยๆ ภาพให้เห็น โดยที่หนูไม่สามารถจะบังคับจิต รั้งจิตไว้ได้ มันเห็นของมันเองโดยอัตโนมัติ จึงปล่อยให้จิตได้ทำงานของมันไปอย่างอิสระ แต่ก็มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา หนูทำอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ เพราะจะเป็นอย่างนี้บ่อยๆ เจ้าค่ะ

หลวงตา ถูกต้อง ใช้ตามเวลา แต่ถ้าไปเพลินอย่างนั้นอย่างเดียวก็ผิด ให้เข้ามาดูจิตเจ้าของ แก้จิตเจ้าของ อันนั้นเป็นสิ่งภายนอกนอกไปจากจิต ตัวจิตเองจะเป็นผู้รับทุกสิ่งทุกอย่างในนี้ ให้ดูตัวนี้ให้รอบคอบ อันนั้นเป็นอาการเป็นเงาของจิต หรือเป็นเรื่องที่จิตได้รู้ได้เห็นสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นสิ่งนั้นๆ ต่างหาก ไม่ใช่เรา ให้ปรับปรุงเราให้ดีเข้าไปยิ่งกว่านั้น แล้วสิ่งเหล่านี้จะเป็นครูสอนเรา เป็นครูสอนโลก ดังที่พูดเวลานี้สอนด้วยกันทุกคน ให้นำไปพินิจพิจารณา ใครบกพร่องตรงไหนให้นำไปแก้ไขเสีย เวลายังไม่ตายยังมีผู้บอกเล่าอย่างนี้ก็ยังดี

พอ พูดอย่างนี้แล้วเราก็ยังไม่เคยพูด ได้ ๕๕ ปีนี้ สิ่งเหล่านี้นะ เราไม่เคยพูดเพราะเห็นว่าจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย พูดไปก็เท่านั้นแหละๆ ไม่ค่อยเกิดประโยชน์นัก วันนี้มีเหตุการณ์ที่จะพูดบ้างก็เอามาพูด เวลาพิจารณาลงไปนี้ กำหนดพิจารณา เอา ฟาดแดนนรกขึ้นมาอยู่กับมนุษย์นี้เลยให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ไฟแดนนรกเผาไหม้สัตว์ทั้งหลายที่เป็นบาปเป็นกรรมมากๆ นั้นให้เห็นต่อหน้าต่อตา นี่คือแดนนรก เอาขึ้นมาแสดงในเมืองมนุษย์เรานี้ แต่เมืองมนุษย์ไม่มีนะเวลานั้น จะมีแต่อันนี้ละแสดงออกเต็มเหนี่ยวๆ ภาพนรกภาพนี้ผ่านไป ภาพนั้นผ่านมา แสดงเรื่องราวของสัตว์โลกที่ทำกรรมชั่วช้าลามกแล้วไปตกนรก เรื่องของนรกเรื่องสัตว์นรกที่ตกนั้น ขึ้นมาแสดงในหัวใจ พูดง่ายๆ จังก้าอยู่นี้เลยให้ดูอย่างชัดเจนในแดนมนุษย์เรา

ก็ เราอยู่แดนมนุษย์ นั่งอยู่ก็คือมนุษย์นั่ง พิจารณาก็มนุษย์พิจารณา แต่แดนนรกขึ้นมาจ้าๆ อยู่นี้ให้เห็นอย่างชัดเจน ถ้าธรรมดาเรียกว่าสลบไสลนั่นละ มองดูแล้วจะดูไม่ได้ แต่นี้ดูอย่างสบาย เห็นอย่างสบาย ไม่ว่าแดนนรก แดนสวรรค์ แดนอะไรจะออกมาแสดงให้เห็นอยู่ที่ใจนี้หมด เพราะฉะนั้นใจจึงเป็นของเลิศเลอมากถ้าทำให้ดี ถ้าทำไม่ดีก็เลวมาก ไปอยู่ในแดนนรกก็คือใจดวงนี้ ให้พากันจำเอา ที่พูดมานี้มันรู้มาพอแล้ว แต่ไม่เป็นสิ่งที่จะพูดอะไรก็ไม่พูด วันนี้มีเรื่องมาสัมผัสจึงพูดเสียบ้าง แดนนรก แดนไหนๆ ขึ้นมาจ้าอยู่ในนี้ มาแสดงให้เห็นเต็มเหนี่ยวๆ แล้วผ่านไป แดนนี้ผ่านมาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนๆ  จากนี้ก็แดนสวรรค์ พรหมโลก แสดงให้เห็นชัดเจนจากหัวใจดวงนี้

หัวใจ ดวงนี้เข้าถึงได้หมด แดนนิพพานไม่พูดเพราะหมดสมมุติไปแล้ว เหล่านี้อยู่ในแดนสมมุติทั้งนั้น นรกไม่ว่าหลุมใดๆ เป็นแดนสมมุติทั้งนั้น ส่วนนิพพานพูดไม่ได้เลยเพราะไม่ใช่แดนสมมุติ พูดก็พูดได้แต่ว่านิพพานเฉยๆ อะไรก็เอามาพูดไม่ได้มันไม่เหมือนเลย พากันพิจารณานะ ที่พูดนี้ก็เป็นสักขีพยานอันหนึ่ง วันนี้เรามาพูด นี้ปรากฏยิ่งมากกว่านี้อีกเป็นไหนๆ ฟังซิ แดนนรกขึ้นมาให้เห็น มาเผามาอะไรกันอยู่นี้ทุกสิ่งทุกอย่าง โอ๋ย พูดไม่ถูก เห็นอย่างชัดเจนหายสงสัยๆ แต่เวลาจะเอามาพูดพูดไม่ถูก พูดได้เพียงเท่านี้ ที่มันละเอียดลออทุกสิ่งทุกอย่างไม่เคยรู้เคยเห็น ได้มาปรากฏขึ้นในจิตใจตามความจริงที่แสดงนั้น เห็นประจักษ์อย่างไม่สงสัยเลย วันนี้นี้มาพูดเราก็เอาออกมาพูดบ้าง เอาละพอ พูดมากไปมันจะเป็นบ้าทั้งเขาทั้งเราไปละ

สันติ หนูรู้จักเขาที่ตกนรกเพราะเป็นเพื่อนกัน แต่ช่วยไม่ได้

หลวงตา เพื่อน ไม่เพื่อนก็ช่างเถอะ ทุกข์อยู่กับผู้ทำไม่อยู่กับใคร สุขก็อยู่กับผู้ทำ วันนี้ก็เอาไปฟังเสียนะ วันนี้ได้ออก อันนี้มาเป็นเหตุได้ออก ถ้าไม่มีเหตุนี้ไม่ออก จนกระทั่งวันตายก็ไม่ออก เพราะเป็นวิสัยของจิตที่รู้ที่เห็นตามนิสัยวาสนาของแต่ละรายๆ นี้จะรู้จะเห็นเต็มหัวใจๆ ไม่สงสัยๆ แต่สิ่งที่ควรจะนำมาพูดได้มากน้อยหรือว่าไม่พูดนั้นเป็นเรื่องของผู้พิจารณา ผู้รู้ ผู้เห็นจะนำออกพิจารณาเองพูดเอง ไม่ควรพูดก็ตายไปด้วยกันเลย

นี่ที่ธรรมพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ตั้งแต่แดนนรกขึ้นมานี้ กราบสนิทเลย หาที่ค้านไม่ได้เลย จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ว่านรกมีก็มีอย่างนี้ สวรรค์มีอย่างนี้ๆ บาปบุญเป็นยังไงที่อยู่ในแดนนรกเป็นอย่างนั้น คุณงามความดีที่เป็นบุญเป็นกุศลเป็นยังไง อยู่ในบุคคลผู้เสวยสุขอยู่อย่างนั้นๆ ชัดเจนหมดเลยไม่สงสัย แต่เวลาจะเอามาพูดพูดไม่ได้ พูดไม่ถูก มันมีข้อขัดข้องหลายประการถึงขั้นที่ว่า ๑.พูดไม่ได้ ๒.ไม่ควรพูดเลย เข้าใจ เอา ให้พิจารณาไป

เรื่อง จิตเป็นของสำคัญนะ อย่าเห็นแต่แดนนรกนั้นแดนนรกนี้ แดนนรกอันหนึ่งที่ยังถอนมันไม่ได้ มันเป็นแดนนรกอันหนึ่งอยู่ในใจก็ให้ดูเอา มันละเอียดแดนนรกอันนี้ ถอนออกหมดแล้วจะไม่มีนรกเหลือเลย ถ้ายังมีกิเลสอยู่ในจิตแม้น้อยหนึ่งก็แดนนรกน้อยก็มีอยู่ในนั้น เข้าใจไหม ถ้าเอาออกหมดแล้วนรกไม่มี ถ้ากิเลสยังมีอยู่นั้นแดนนรกน้อยๆ ตัวเท่าไอ้หยองนี้ยังมีนะเข้าใจไหม เอาละพอเท่านั้น พูดเพียงเท่านั้นละวันนี้

ผู้กำกับ พล เอกชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวในการสัมมนาเรื่อง บทบาทของพระพุทธศาสนาในการส่งเสริมความมั่นคงของชาติ ว่า พระพุทธศาสนาและเรื่องความมั่นคงของชาติเป็นเรื่องสำคัญ คนไทยควรให้ความสนใจศึกษาหาความรู้ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และปฏิบัติตนให้ถูกต้องในการส่งเสริมพระพุทธศาสนาและความมั่นคงของชาติ ปัจจุบันพระพุทธศาสนาต้องประสบภัยทั้งภัยภายนอกและภัยภายใน ภัยจากภายนอกมาจากลัทธิศาสนาอื่น จากกระแสวัตถุนิยม ภัยภายในมาจากพุทธศาสนิกชนทั้งบรรพชิตและฆราวาสที่ไม่ประพฤติปฏิบัติตามหลัก ธรรมของพระพุทธศาสนา เป็นชาวพุทธแต่เพียงในนาม ไม่ได้เป็นชาวพุทธที่แท้จริง ที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน มีคำพูดและการกระทำที่บ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ทำให้บทบาทของพระพุทธศาสนาในการส่งเสริมความมั่นคงของชาติลดน้อยลง ทุกคนจะต้องร่วมมือกัน จบครับ

หลวงตา เออ นี่ถูกต้องแล้วนะ ที่พลเอกชวลิตมาพูดนี้ถูกต้องแล้ว เวลานี้ภัยของพุทธศาสนาเราเกิดขึ้นจากพระเป็นตัวสำคัญมากทีเดียว เวลานี้พระเป็นอลัชชี พระเป็นมหาโจรปล้นศาสนา เหยียบหัวพระพุทธเจ้า ฟันหัวพระพุทธเจ้าแหลกเหลวไปหมดเวลานี้ คืออลัชชีในเพศของพระนี้ละ ว่าเป็นศากยบุตรลูกตถาคต แต่มันกลับกลายเป็นมหาภัยต่อพระพุทธเจ้า เหยียบหัวพระพุทธเจ้าคือพระธรรมวินัยคำสั่งสอนนั้นให้แหลกเหลวไปหมด เอาตั้งแต่ความเลวร้ายขึ้นมาประกาศทั่วโลกดินแดนหายางอายไม่ได้เวลานี้ นี่ละภัยเกิดอยู่แล้ว นี้เราก็ประกาศมาอยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ ทางภายนอกมันก็ประกอบกันเหมือนกันนี่ละ กิริยาอาการที่แสดงออกไปนี้มีตั้งแต่เรื่องเป็นภัยต่อชาติ ต่อศาสนา และพระมหากษัตริย์ทั้งนั้นๆ เลยนะเวลานี้

เรา จึงได้เตือนเสมอกระตุกเสมอ นี้มันมีตั้งแต่ภายนอก มาดูข้างนอก ภายในก็พิจารณาเต็มเหนี่ยว เพราะฉะนั้นการพูดออกมาจึงไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน เพราะมีภายในเป็นเครื่องยันกันๆ เราไม่ได้มีตั้งแต่คิดโน้นเดานี้เอามาพูดเฉยๆ นะ ภายในก็มีภายนอกก็มีมาประกอบกันเข้ากันได้จังหวะดีแล้วออกเลยๆ ถ้าจะออก ไม่ออกก็ไม่ออกเท่านั้นเอง ท่านทั้งหลายจำไว้นะ อย่าหลับหูหลับตา ต้องต่อสู้ต้านทาน เราเป็นเจ้าของสมบัติของชาติไทยเรา ให้ต่างคนต่างรับผิดชอบด้วยกัน

เวลา นี้ภัยกำลังหนาแน่น อย่าหดหัวอยู่ในกระดอง มันจะเป็นเต่าถูกเขาทับกระดองแตกหัวแตกนะ เวลานี้มหาภัยนี้หน้าด้านมาก ดื้อด้านที่สุด หน้าด้านที่สุดทุกแบบ มาทางศาสนาก็ไปอีกแบบหนึ่ง ไปทางโลกก็ไปอีกแบบหนึ่ง มีแต่แบบจะทำให้ชาติ ให้ศาสนาและพระมหากษัตริย์บรรลัยไปด้วยกันนั้นแหละเมื่อเช้านี้ก็พูดถึงเรื่องพระราชอำนาจต้องเอากันอย่างหนัก นี้ยังจะได้ประชุมกันอีกอยู่พระ

แดน พุทธศาสนาในพระสงฆ์ผู้ทรงศีลทรงธรรม เทิดทูนขนบประเพณีอันนี้มานมนาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช นี้เป็นพื้นฐานแห่งเมืองไทยของเราที่เป็นประเพณีอันดีงามมาดั้งเดิม เวลานี้กำลังถูกแย่งเอาไป จากนั้นทางนี้จะทวงคืน หึงหวงเห็นไหมล่ะ นี่พวกเปรตพวกผีมันทำลายอยู่อย่างนี้แหละให้จำเอา เอาละพอ วันนี้พูดเท่านั้นละสายแล้ว

(ทองคำเมื่อเช้าได้ ๕ บาท ๑๑ สตางค์ครับ)

วัน นี้ได้ตั้ง ๕ บาท ๑๑ สตางค์ของน้อยเมื่อไร นี่ละทองคำประเภทซึมซาบ คือค่อยไหลซึมเข้าไปตามกองใหญ่ที่เรามอบไปแล้ว ๑๑ ตันกับ ๓๗ กิโลครึ่ง นี่มอบเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ไม่ควรจะให้ขาดวรรคขาดตอนทีเดียว เพราะทองคำในคลังหลวงของเรายังขาดอยู่มากทีเดียว จึงควรจะได้ทองคำประเภทน้ำไหลซึมตามเข้าไปๆ เป็นประเภทพรำเบาๆ พรำฝอยๆ บางทีก็ตูมตามลงมา ลูกเห็บคนละ ๙ บาท ๑๐ บาทก็มี บางทีเป็นกิโลก็มี นี่เรียกว่าลูกเห็บตูมตามลงมากับฝนกำลังมันฝอยลง ให้ได้มากๆ นะเรา เป็นห่วงตรงไหนเราก็พูดให้พี่น้องฟัง เป็นห่วงชาติไทยของเรา จุดนี้เป็นห่วงมากอยู่ เพราะฉะนั้นเวลาเรื่องผ่านไปแล้วจึงยังไม่แล้ว ยังขอบิณฑบาตและออดอ้อนพี่น้องทั้งหลายอยู่ตลอดนี้ อย่าด่วนว่าหลวงตาบัวรบกวนพี่น้องทั้งหลายเข้าใจเหรอ ให้หามาเถอะ ให้พร

ก็ ดีอินโดนีเซียมาพูดให้ฟังวันนี้ มาสัมผัสเลยได้นำออกบ้างวันนี้ ที่ว่านรกแดนเมืองผีมาประกาศก้องให้เห็นประจักษ์ชัดเจนอยู่กับหัวใจบน พื้นฐานของเมืองมนุษย์ วันนี้ออกเสียบ้าง นี่เห็นไหมล่ะเก็บมานานสักเท่าไรแล้ว ๕๕ ปียังไม่เคย วันนี้มาสัมผัสจึงออก ที่ยังไม่ออกมากกว่านี้เป็นไหนๆ เข้าใจเหรอนั่น ละธรรมไม่ได้ผลักได้ดัน ไม่กดไม่ถ่วง ไม่ดีดไม่ดิ้น ที่กระวนกระวายอยากพูดอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มีในธรรม มีเหมือนไม่มี รู้เหมือนไม่รู้ เห็นตามความเป็นจริงแล้วอยู่ตามเป็นจริงๆ เมื่อไม่มีอะไรสัมผัสที่จะนำออกมาก็ไม่ออก วันนี้ทางอินโดนีเซียมา ทางนั้นออกมาทางนี้จึงแย็บออกรับกัน มากกว่านี้เป็นไหนๆ จะมาว่าอะไรอย่างนั้น

วัน นี้สันติมาพูดรู้สึกปลุกใจทางนี้ดีนะ ได้แย็บออกมาเสียบ้าง เขาพูดน่าฟัง พอเขาพูดปั๊บมันจะวิ่งถึงกันหมดกับเรื่องของเราที่เป็นมายังไงๆ เราจึงวิตกวิจารณ์ที่ว่าไปตกนรกๆ นั้น วิตกวิจารณ์กับพวกปทปรมะที่มันไม่ยอมฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเลย พวกนี้จะเหมาเรื่องนรกนี้มาอยู่ในตัวทั้งหมดตั้งแต่ยังไม่ตายละ พวกปทปรมะ พวกคัดค้านธรรมพระพุทธเจ้า พวกโจมตีพระพุทธเจ้า พวกเดียวกันนั้นละ ไปละที่นี่

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
สักขีพยานเรื่องแดนนรก

วิเคราะห์แนวคิดท่านพุทธทาส

ขณะที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เริ่มการเสวนาจากการวิเคราะห์แนวคิดพื้นฐานของท่านอาจารย์พุทธทาสว่า

“ถ้าจะให้อาตมาพูดผ่านแนวคิดของท่าน ในแง่

๑. คือตนอาจจะอ่านไม่เพียงพอ

๒. การที่จะบอกว่าท่านผู้นั้นเป็นเรื่องยากและที่ต้องระวังมาก

ที่นี้แม้แต่ชื่อที่บอกว่ามองอนาคตผ่านแนวคิดและชีวิตของพุทธทาสก็แปลความหมายได้หลายอย่าง

แปลง่ายๆ ก็ให้มองอนาคตของมนุษย์ ของสังคม หรือของอะไรก็แล้วแต่ว่าจะเป็นอย่างไร เราเพียงแต่ดูว่ามันจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้เป็น เราไม่ค่อยเกี่ยวข้อง แต่แทนที่จะมองอย่างนั้น อาตมาคิดว่าเราน่ามองแบบมีส่วนรวมว่าอนาคตของโลกควรเป็นอย่างไร แล้วเราจะช่วยทำให้เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร อาตมาคิดว่าถ้ามองแบบนี้จะมีความหมายสำคัญมากกว่า

ส่วนแนวคิดและชีวิตของท่านพุทธทาสซึ่งจะโยงมาหาการที่เราจะต้องเข้าใจแนวคิดชีวิตของท่านพุทธทาส ว่าเราเข้าใจอย่างไร เราก็จะไปมองเรื่องอนาคตที่ว่านั้นจะจัดการไปตามนั้น ตอนนี้มันเป็นเรื่องสำคัญว่าเรามองแนวคิดของท่านพุทธทาสอย่างไร ไม่ใช่ว่าเรามองตรงกันนั้นถูกต้องแล้ว อันนี้เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน มันกลับมาสู่ปัญหาพื้นฐานเลยว่าตัวแนวคิดของท่านเป็นอย่างไร เป็นเรื่องสำคัญมาก

บางทีอาจเป็นหัวข้อที่ท่านที่ศึกษางานจะต้องมาช่วยกันวิเคราะห์ ถกเถียง และอย่างน้อยก็ไม่ด่วนตัดสิน เพราะว่าแนวคิดของท่านที่มองอะไรกว้างขวางและผลงานเยอะ มีความเสี่ยงภัยเหมือนกัน คือบางคนไปจับอะไรมอง ได้ยินอะไร หรือว่าไปอ่านหนังสือของท่านบางเล่มเห็นข้อความบางอย่างจับเอาเลยว่าท่านคิดเห็นอย่างนั้น จริงอยู่ท่านกล่าวจากความคิดของท่าน แต่เรามองอย่างไม่รู้ความเป็นมาเป็นไปเดิม ไม่รู้แนวคิดพื้นฐานกว้างๆ ของท่าน เราก็มองไปแต่เป็นไปตามความคิดความรู้สึกของเราเอง มันทำให้เกิดปัญหาเหมือนกัน

การมองแนวคิดของท่านพุทธทาส ถ้ามองขั้นที่ ๑ เรามองที่เจตนาก่อน เจตนาของท่านเป็นอย่างไร อันนี้เห็นได้ค่อนข้างชัด แม้แต่ชื่อท่านเอง ท่านก็เรียกว่าพุทธทาส แปลว่าทาสของพระพุทธเจ้า ซึ่งถ้าพูดอย่างภาษาเราง่ายๆ ท่านมุ่งอุทิศชีวิตของท่านในการสนองงานของพระพุทธเจ้าอะไรล่ะ สนองงานที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับพระสงฆ์ย้ำบ่อยมาก

ท่านมีเจตนาพื้นฐานเพื่อจะสร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่ประชาชน ทำให้โลกอยู่ร่มเย็นเป็นสุข อันนี้จริงไหม ถ้าเรายอมรับเราตกลง แล้วเราแน่ใจ เราก็ได้ไปในขั้นเจตนา เมื่อเราได้เจตนาก็ได้ขั้นพื้นฐานเลยมันเป็นตัวนำจิต เพราะว่าจิตของเรากับจิตของท่านจะสอดคล้องกัน ที่นี้เราแน่ใจไหม มันก็ได้ไปส่วนสำคัญ ที่นี้เมื่อมามองงานของท่านที่มีมากมาย อย่างที่พูดเมื่อกี้ ถ้าเราไม่ได้ชัดเจนกับตัวเอง เรื่องของแนวคิดของท่านที่เป็นไปตามเจตนานี้ มันก็เป็นไปในทิศทางที่จะทำให้โลกอยู่เย็นเป็นสุข พอมีแนวคิดพื้นฐานแบบนี้จะช่วยให้การแปลความหมายดีขึ้น เราจะยอมรับไหมว่าแนวคิดนี้แน่ใจ

ต่อไปก็มองที่ตัวหนังสือบ้าง คำพูด คำเทศนาของท่าน อาตมาจะยกตัวอย่างเลย บางที่บางคนไปจับเฉพาะบางแง่บางส่วน แล้วจะทำให้เกิดปัญหา เช่น บางทีบางคนอาจจะไปยกคำของท่านมา ที่บอกว่าพระไตรปิฎกนี่ต้องฉีกออกเท่านั้นเปอร์เซ็นต์ เหมือนกับว่ามีส่วนที่ไม่ควรใช้ ไม่ควรเชื่อถือหลายเปอร์เซ็นต์ ทีนี้ถ้าหากว่าไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวท่าน ตั้งแต่เจตนาพื้นฐาน บางคนก็อาจจะเข้าใจเลยไปว่าพระไตรปิฎกไม่น่าเชื่อถือ บางคนก็ยกไปอ้างในทำนองนี้ หรือเป็นว่าเป็นแนวคิดของท่าน

อันนี้ถ้าเราดูพื้นจากที่เป็นมา อย่างที่อาตมาเล่า อาตมามอง เริ่มจากหนังสือพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ แล้วก็ต่อมาท่านพุทธทาสออกหนังสือกลุ่มจากพระโอษฐ์เยอะมาก ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์, อริยสัจจากพระโอษฐ์, ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ ท่านมีหนังสือแบบนี้แสดงว่าท่าทีหรือว่าทัศนคติของท่านต่อพระไตรปิฎกเป็นอย่างไร อย่างน้อยท่านเอาจริงเอาจังมากกับพระไตรปิฎก ท่านอยู่กับพระไตรปิฎกมามากมาย และตั้งใจค้นคว้า ศึกษาจริง

เราจะเห็นข้อความที่ท่านใช้อ้าง แม้แต่ในเรื่องปฏิจจสมุปบาท เหมือนกับว่าด้านหนึ่งท่านเป็นผู้เอาจริงเอาจัง ซื่อสัตย์ต่อพระไตรปิฎก ไว้ใจพระไตรปิฎกมาก แต่พร้อมกันนั้นท่านก็มีท่าทีให้มีเหตุผลไม่เชื่อเรื่อยเปื่อย หรือเชื่องมงาย ว่าอะไรที่อยู่ในชุดที่เรียกว่าพระไตรปิฎกจะต้องเชื่อตามไปหมด อันนี้เป็นทัศนคติที่พอดีๆ ที่ศึกษาอย่างมีเหตุผล

อาตมาจะอ่านให้ฟังสักนิดเป็นการโควท (Quote) ท่านหน่อย ในหนังสือโอสาเรปนะธรรม หน้า ๔๒๓ บอกว่า “ดังนั้นในการศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ ต้องถือเอาบาลีเดิมเป็นหลัก” นี้แสดงว่าท่านยึดพระไตรปิฎก คำว่า “บาลี” เป็นคำทางพระหมายถึงพระไตรปิฎก อย่ามอบตัวให้กับอรรถกถาอย่างไม่ลืมหูลืมตา อันนี้ก็พูดถึงอรรถกถา ซึ่งประเดี๋ยวก็ต้องพูดกันอีก มาถึงเรื่องฉีก ท่านก็ยังพูดถึงเรื่องฉีก ในหนังสือพระธรรมปาติโมกข์ เล่ม ๒ หน้า ๑๒๓ ท่านพูดถึงเว่ยหลาง

“ฉะนั้นการที่เขาฉีกพระสูตรนี้ มันถูกที่สุด เดี๋ยวนี้เรามีห้องสมุด มีหนังสือแยะ ที่เราก็มี เขาให้อะไรเยอะแยะ เป็นตารางที่ขังความโง่ของคนไว้อย่าให้ไปครอบงำใคร…ฉะนั้นห้องสมุดของผมที่ชั้นบนนี้ ผมจึงไม่ให้ใครเอาหรือขึ้นไปใช้มัน เพราะเป็นความโง่ของคนทั้งโลกที่ผมขังไว้ อย่าให้ไปครอบงำคนอื่น บางชุดซื้อมาตั้งหมื่น นั้นคือความโง่ ไม่กี่เล่ม เอามาขังไว้ในนี้ไปครอบงำใครได้ นี้ยิ่งทำยิ่งโง่ ยิ่งอ่านยิ่งโง่ ยิ่งเรียนมากยิ่งโง่”

ถ้าคนมาจับความแค่นี้ก็จะบอกว่าท่านเป็นปฏิปักษ์กับเรื่องหนังสือ ไม่สนับสนุนให้อ่านให้ค้นคว้า อันนี้ก็ไม่อยากให้ไปจับเอาเฉพาะแง่เฉพาะมุมนิดๆ หน่อยๆ ต้องดูทั้งหมดว่าท่านมองอย่างไร คิดอย่างไร บางทีมันเป็นเรื่องเฉพาะกรณี เราก็ต้องดูว่าขณะนั้นท่านกำลังพูดเรื่องอะไร ท่านต้องการให้ผู้ฟังได้แง่คิดอะไรในเรื่องนี้

เมื่อกี้พูดถึงว่าให้เอาบาลี หรือพระไตรปิฎกเป็นหลัก อย่าไปมอบตัวให้กับอรรถกถา ทีนี้บางทีท่านพูดถึงเรื่องอรรถกถาในหลายกรณีก็จะมีเรื่องพูดในแง่ที่ไม่ค่อยดี คล้ายๆ กับไม่น่าไว้ใจ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องอย่างนั้น แต่นี้บางคนไปถึงขนาดที่ว่าอรรถกานี้ไว้ใจไม่ได้ อาตมาอ่านหนังสือบางเล่มเขาดูถูกอรรถกถา ไม่เชื่ออรรถกถา ถ้าเราดูท่านพุทธทาส อาจจะถือเป็นความพอดีก็ได้ งานของท่านจะพูดถึงอรรถกถาเยอะแล้วท่านก็ใช้ประโยชน์จากอรรถกถา เรื่องราวต่างๆ ท่านก็เอาจากอรรถกถามา

เราไม่ต้องไปพูดเฉพาะท่านหรอก คืออย่างคำแปลพระไตรปิฎก ฉบับโน้นฉบับนี้เราก็มาอ้างกันว่าเป็นพระไตรปิฎก และที่ใช้ในเมืองไทยก็ต้องแปลเป็นภาษาไทย โดยมากก็จะคัดมา อ้างอิงมาจากฉบับแปลเป็นภาษาไทย เราไม่ได้อ้างอิงมาจากฉบับภาษาบาลีมาอ้างอิงโดยตรง และหลายคนก็ไม่สามารถแปลได้ด้วย

ที่เราบอกว่าพระไตรปิฎกๆ นั้น คำแปลเขาอ้างจากอรรถกถานะ พระไตรปิฎกฉบับ ๒๕ ศตวรรษพิมพ์ครบชุดครั้งแรกในประเทศไทย ฉบับ พ.ศ. ๒๕๐๐ แล้วต่อมาก็กลายเป็นฉบับกรมการศาสนา ฉบับมหามกุฏฯ มหาจุฬาฯ คนแปลไม่ได้รู้ไปหมด ต้องค้นหากัน เวลาค้นๆ กันที่ไหน ก็ค้นจากอรรถกถา จากฎีกา แล้วก็แปลไปตามนั้น

คนที่บอกว่าไม่เชื่ออรรถกถา ไม่รู้แปลพระไตรปิฎกเอาตามอรรถกถา ใช้อรรถกถามาเป็นสิ่งที่ตัวเองยึดถือเลย โดยอ้างอิงพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้นพระไตรปิฎกแปลไม่ได้แปลตรงไปตรงมาหรอก แปลตามอรรถกถาอธิบาย เพราะพระไตรปิฎกนั้นเรารู้อยู่แล้วว่าเก่ากว่าอรรถกถามาก ที่นี้ศัพท์ที่เก่าขนาดนั้น บางทีรูปประโยคดูไม่ออกเลยว่าหมายความว่าอย่างไร การแปลจึงต้องหาอุปมาช่วย ก็ได้อรรถกถานี้แหละที่เก่ารองจากพระไตรปิฎก จึงไปเอาอรรถกถาว่าท่านอธิบายบาลีองค์นี้ไว้อย่างไร ถ้าอธิบายความแล้วยังไม่ชัดอยากจะได้ความที่ชัดยิ่งขึ้นก็ไปค้นคัมภีร์รุ่นต่อมา หรือฎีกา หรืออนุฎีกาต่างๆ มาพิจารณาประกอบ จะถือเอาตามนั้นหรือจะตัดสินอย่างไรก็ตามแต่ รวมแล้วก็คือต้องอาศัยคัมภีร์เก่า

แต่บางคนก็อ้างพระไตรปิฎกโดยไม่รู้ว่าความจริงว่าแม้แต่คนแปลเขาก็อ้างอรรถกถา กลายเป็นว่าที่ตัวเอาๆ มาจากอรรถกถา อันนี้เป็นตัวอย่างที่หลวงพ่อพุทธทาสท่านศึกษามาก ต้องยอมรับว่าท่านบวชตั้งแต่เมื่อไร ท่านอุทิศชีวิตกับการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก คัมภีร์อรรถกถา ฎีกาอะไรต่างๆ เวลาท่านอธิบายท่านก็ยกมาอ้าง เวลาท่านบอกไม่ให้เชื่ออย่างนั้นอย่างนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง ไม่ให้เราเชื่อเรื่อยเปื่อยงมงายไป

ในหนังสือพุทธิกะจริยธรรม หน้า ๒๓๓ “ฉะนั้นเราต้องมีธรรมที่เหมาะสมแก่วัย ที่วัยนั้นจะพอรับเอาได้ หรือเข้าใจได้” ข้อนี้ท่านเปรียบไว้ในอรรถกถาว่า “ขืนป้อนข้าวคำใหญ่ๆ แก่เด็กซึ่งปากยังเล็กๆ” ก็หมายความว่าเด็กจะรับไม่ได้ ท่านได้ยกคำอรรถกถามาใช้ แต่ที่เป็นอภินิหารท่านก็บอกว่าอันนี้เป็นเรื่องน่าเชื่อไม่น่าเชื่อ

ฉะนั้นการที่จะไปพูดเรื่องมองอนาคตอะไร แนวคิดผลงานของท่านอันนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ บางทีเราอาจจะก้าวเลยไปก็ได้ บางทีคนที่มาพูดมองอนาคตนั้นผ่านชีวิตของท่าน แต่ละคนก็มีในใจของตัวเอง มองแนวคิดของท่านไว้คนละอย่าง เสร็จแล้วอาจจะพูดไปคนละทางสองทาง การมองเรื่องที่ตั้งไว้ว่าเราจะช่วยให้มันเป็นอย่างไร โดยผ่านแนวคิดของท่านพุทธทาส เราก็ต้องชัดด้วย อย่างที่อาตมาบอกว่าให้มองตั้งแต่เจตนาของท่านที่แน่นอนเลย ที่จะสนองพุทธประสงค์ ที่จะรับใช้พระพุทธเจ้า ถ้าเรามีเจตนาแบบนี้ก็ต้องอนุโมทนาว่าเรามีเจตนาที่เป็นกุศล เราศึกษางานของท่าน เพื่อเอามาใช้ เอามาสอน เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ถ้าทำได้อย่างนี้จะเป็นส่วนที่เราได้สนองท่านพุทธทาสด้วยนะ ท่านพุทธทาสสนองงานพระพุทธเจ้า โดยที่ว่าเราก็จำกัดลงมาในแง่สนองรับใช้ท่านพุทธทาส เราก็ได้รับใช้ทั้งสองเลย

เอาเป็นอันว่าหลวงพ่อพุทธทาสตั้งเจตนาเลย ท่านอุทิศชีวิตสนองงานพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่ชื่อตัวเอง ที่ท่านเรียกตัวเองว่าพุทธทาสภิกขุ บทบาทที่เด่นของท่านก็สมานสัมพันธ์กับยุคสมัย อย่างที่บอกว่าคนไทยห่างไกลพุทธศาสนามาก ความเชื่ออะไรก็เป็นไปตามปรัมปรา ที่สืบต่อกันมา ก็ค่อยๆ คลาดเคลื่อน ค่อยๆ เพี้ยนไป อันนี้เป็นปัญหาของสังคมไทยที่เป็นสังคมพุทธ เพราะพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ต้องอาศัยกัน ไม่ใช่ศาสนาที่สำเร็จด้วยศรัทธา ที่จะบอกเลยว่าให้มีหลักความเชื่ออย่างไร”

แม้โลกวันนี้จะแสนวิปริตเพียงใด หากท่านมองผ่านฐานแนวคิดของท่านพุทธทาส จะเห็นว่าไม่ได้เป็นเรื่องของความทุกข์เพียงด้านเดียว แต่ยังเป็นบุญ เป็นโชค ดังคำกล่าวของท่านที่ว่า “โชคดีมีบุญที่ได้มาเกิดในโลกนี้ ในสภาพปัจจุบันนี้ที่แสนจะวิปริต เพราะว่ามีอะไรให้ศึกษามาก…คิดดูถ้าไม่มีเรื่องให้ศึกษามากแล้วมันจะฉลาดได้อย่างไร”

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
วัดญาณเวศกวัน ต.บางกระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐมพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
วัดญาณเวศกวัน ต.บางกระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม

ปฏิบัติอย่างไรถึงสำเร็จ

กิริยาที่ปรุงที่แต่งทั้งหมดในโลกนี้ ในสมมุติก็ต้องมีการบำรุง ไม่บำรุงไม่ได้ มีการเจริญขึ้นแล้วเสื่อมลงเป็นธรรมดาของสมมุติ แต่วิมุตติไม่มีอะไรที่จะพูดว่าความเจริญขึ้นหรือความเสื่อมลง แต่เมื่ออาศัยสมมุติอยู่คือธาตุขันธ์ อันนั้นจะต้องออกมาทางธาตุขันธ์ ถ้าไม่พร้อมกันแล้วก็ไม่สะดวก มีแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ นำออกแสดงไม่ได้ ในทางสมมุติที่เราฟังกันอย่างชัดเจนนี้มันออกอีกทางหนึ่ง เมตตาธรรมของท่านนั้นเป็นอยู่อย่างนี้ เป็นธรรมชาติอยู่ภายในจิต

อยากเห็นนักปฏิบัติได้มาเล่าความรู้ความเห็นทางด้านปฏิบัติในทางจิตใจให้ฟัง ไม่ค่อยจะได้ยินได้ฟัง เหมือนกับศาสนาของพระพุทธเจ้านี้เป็นโมฆะ ประกาศให้โลกกราบไหว้อยู่เฉยๆ ไม่แสดงผลแก่ผู้นับถือศาสนาเลย เป็นเพราะเหตุไร พระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนาบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายในครั้งนั้นปรากฏเห็นผลเป็นลำดับลำดา ตั้งแต่กัลยาณปุถุชนจนถึงอริยบุคคลชั้นโสดา สกิทา อนาคา อรหัตอรหันต์ ล้วนแล้วแต่ออกจากพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น แต่ทำไมตกมาสมัยทุกวันนี้จึงกลายเป็นโมฆะสำหรับพุทธบริษัททั้งหลาย มิหนำซ้ำยังกล่าวตู่ว่ามรรคผลนิพพานหมดเขตหมดสมัย

เราเป็นโมฆะยังไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นโมฆะ ในวงของมนุษย์ในวงของพุทธบริษัท มันเป็นโมฆะอยู่ในความสนใจ เป็นโมฆะอยู่กับข้อปฏิบัติ วิธีดำเนินไม่ได้ตรงไปตามแนวทางของพระพุทธเจ้า แล้วจะให้ปรากฏผลขึ้นมาได้อย่างไร นี่เป็นหลักสำคัญที่เราควรคำนึง ความเพียรก็ไม่พอสติปัญญาก็ไม่พอ วิธีการต่างๆ ที่จะส่งเสริมจิตใจให้เป็นไปเพื่อความสงบสุข ให้เป็นไปเพื่อความแยบคายทางสติปัญญาก็ไม่พร้อม เมื่อไม่พร้อมแล้วสติปัญญาจะพร้อมได้ยังไง สติปัญญาไม่พร้อมกิเลสจะหลุดลอยไปไม่ได้ นี่เป็นหลักใหญ่ที่เราควรคำนึง ส่วนเรื่องของกิเลสมันทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลา คิดปรุงออกแต่ละด้านละทาง แต่ละแง่ละมุมนี้โดยมากมีแต่เรื่องของกิเลสสั่งสมตัวทั้งนั้น จึงมีผลเรื่อยๆ สำหรับทางกิเลส กิเลสมีผลมากเพียงไรเราก็อับเฉาเบาปัญญา จิตใจก็ไม่มีความสว่างกระจ่างแจ้งหาความสงบสุขไม่ได้ พูดอย่างนั้นเลย

การรักษาจิตสำหรับนักปฏิบัติด้วยแล้วเป็นหน้าที่โดยเฉพาะ ถือเป็นกิจจำเป็นเป็นกิจสำคัญ งานของพระเฉพาะอย่างยิ่งงานของพระกรรมฐาน คืองานรื้อถอนกิเลสตัณหาอาสวะซึ่งเป็นตัวภพตัวชาติ เป็นรังแห่งความทุกข์ความลำบาก รังแห่งความเกิดแก่เจ็บตายให้ออกจากใจไปโดยลำดับๆ นี้เป็นงานใหญ่โต กรรมฐานๆ แปลว่าที่ตั้งแห่งงานของพระ พระกรรมฐาน ฐานะแปลว่าที่ตั้ง กรรมะแปลว่าการกระทำ ท่านสอนให้ทำลงที่ไหนให้สนใจลงในจุดนั้นให้ดี

บวชมาเบื้องต้นท่านสอน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่จะกลายเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีไปทั้งพระอุปัชฌายะ ทั้งผู้ที่บวชแล้วเวลานี้ ความจริง เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจนี้เป็นทางแห่งมรรคผลนิพพาน เป็นทางหลุดพ้นสำหรับผู้ดำเนินตาม ไม่มีล้าสมัย เป็นธรรมคงเส้นคงวา มรรคผลนิพพานจะก้าวไปได้ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นทางเดิน เกสาเราพิจารณาให้เห็นชัดลองดูซิเป็นยังไง เพียงแต่ตกลงไปในอาหารเท่านั้นก็ขยะแขยงไม่อยากรับประทานกันแล้ว สกปรกหรือไม่ น่าเกลียดหรือไม่ เพียงเท่านี้เราก็พอทราบได้เกสา โลมาเหมือนๆ กัน นขา เล็บก็เหมือนกัน ดูซิเป็นของสวยของงามที่ไหนเล็บ ทันตา ฟันก็กระดูกดีๆ นี้เอง เหมือนกับกระดูกทั่วๆ ไปในร่างกายของเรา แต่ให้ชื่อว่าฟัน ความจริงก็คือกระดูก กระดูกมีความสวยงามที่ตรงไหน

ผม ขน เล็บมีความสวยงามที่ตรงไหน พิจารณาให้ถูกตามฐานพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนไว้และทรงตำหนิว่าไม่สวยงาม ตโจ หนัง คนเราดูกันได้เพราะหนังเท่านั้น แล้วความหนาของหนังนี้ไม่เท่ากระดาษเลย บางนิดเดียว อันนี้ละเป็นเครื่องหลอกตาบุรุษตาฟาง นักบวชตาฟางไม่เห็นความจริง แล้วถัดเข้าไปนั้นสักนิดหนึ่งก็เยิ้มลงมาด้วยปุพโพโลหิตน้ำเน่าน้ำหนองไม่น่าดูเลย นี่ถ้าเราพิจารณา หนังหุ้มห่อสิ่งสกปรกโสโครกทั้งหลายไว้ ถ้าเอาหนังออกแล้วจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ เราพิจารณาให้เห็นตามความจริงอย่างนี้แล้วเราจะไปหลงสัตว์หลงบุคคล หลงความสวยงามที่ไหน

ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมที่เป็นเครื่องรบรวนกวนใจเราอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะความสำคัญผิดนี้แล เมื่อเราได้พิจารณาตามหลักความจริงนี้อยู่โดยสม่ำเสมอแล้ว ความรบกวนเหล่านี้จะไม่มี สงบตัวลงไปโดยลำดับๆ ยิ่งเข้าไปกว่านั้นก็ยิ่งเห็นชัดตามหลักธรรมชาติของส่วนร่างกายทั้งภายในภายนอก เบื้องบนเบื้องล่าง สถานกลางโดยไม่ต้องสงสัย การพิจารณาอย่างนี้เพื่ออะไร เพื่อตัดความกังวลความสำคัญมั่นหมายของเรา ซึ่งฝังจิตใจมานมนานว่าสิ่งนั้นสวยสิ่งนี้งาม ว่านั่นเป็นสัตว์ นี่เป็นบุคคล นั้นเป็นหญิงนี้เป็นชาย นั่นน่ารัก นั่นน่ากำหนัด นั่นน่ายินดี ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เป็นอย่างนั้น เป็นขึ้นเพราะความสำคัญมั่นหมาย เพราะฉะนั้นท่านถึงให้คลี่คลายออกดูให้เห็นชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร

ดูให้เห็น ให้เห็นถึงฐานของสิ่งเหล่านี้ ผมเป็นอย่างไร ขนเป็นอย่างไร เล็บเป็นอย่างไร ฟันเป็นอย่างไร หนังเป็นอย่างไร แล้วฟาดเข้าไปนั้นเป็นอย่างไร เพียงหนังเปิดออกเท่านั้นมันก็ทั่วถึง ท่านจึงสอน ตจปัญจกกรรมฐาน สอนไปถึงหนัง พอหนังเปิดออกหมดแล้วมันก็หมดปัญหา น่าดูที่ไหนคนทั้งคน มีแต่แมลงวันตอมหึ่งๆ ถ้าไม่มีหนัง สัตว์ไม่มีหนังก็ดูกันไม่ได้ คนไม่มีหนังก็ดูกันไม่ได้ ที่ดูกันได้และติดกันงอมแงมจนไม่นึกไม่สนใจหาทางออกนี้เพราะหนังอันเดียวเท่านั้น นี่ละที่ปิดกั้นมรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพานไม่มีก็เพราะสิ่งเหล่านี้ปิดกั้น ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมของจิตมันปิดกั้น ปิดกั้นมรรคผลนิพพานเสียหมด ทางไปตามหลักธรรมชาติที่จะให้พ้นทุกข์มันไม่มีพอที่จะเดินที่จะก้าวไปได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ปิดตันเสียหมด

ที่ท่านสอนกรรมฐาน ๕ ท่านสอนเปิดทางให้เห็นตามหลักความจริง จิตใจเมื่อเห็นตามหลักธรรมชาตินี้เพียง ๕ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นก็สงบไม่กวนตัวเอง ไม่มีอันใดที่จะกวนมากยิ่งกว่าราคะตัณหา อันนี้กวนมาก กวนจิตใจของสัตว์โลก ที่กำลังเดือดร้อนวุ่นวายกันอยู่เวลานี้เพราะอะไร ก็เพราะอันนี้เองพิจารณาให้ดี ยิ่งส่งเสริมเท่าไรก็ยิ่งลุกโพลงๆ จรดฟ้าโน่น ความเดือดร้อน ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับความเดือดร้อนมันตามกันไป ก็เพราะอันนี้ละมันปิดตัน ไม่ได้ดู แล้วเราเป็นกรรมฐานเราจะดูที่ไหนถ้าไม่ดูในงานที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้อย่างนี้ นี้เป็นงานชิ้นเอก เป็นงานเพื่อรื้อภพรื้อชาติเป็นงานใหญ่โต งานเพื่อถอดถอนกองทุกข์ทั้งมวล ไม่ใช่งานเล็กน้อย จงพากันดูด้วยความสนใจ

จะเป็นประเพณีไปแล้วเวลานี้ บวชกันก็เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ แล้วก็ทิ้งไปเลยทั้งอุปัชฌาย์ทั้งผู้บวชไม่ได้สนใจ ถ้าดูตามหลักธรรมชาติที่ท่านประทานไว้จริงๆ แล้วจะเห็นความสำคัญของธรรมเหล่านี้มิใช่น้อย สติเป็นสิ่งสำคัญ ปัญญาตามมาเป็นลำดับที่สอง ก่อนปัญญาจะเข้าแทรก สติต้องตั้งไว้ก่อน สติตั้งลงในจุดใดจะเข้าใจในจุดนั้น ถ้าสติเผลอไปก็สิ่งนั้นไม่ชัด ท่านจึงสอนสติเป็นสิ่งสำคัญมาก จะทำหน้าที่การงานภายนอกภายใน สติต้องอยู่กับตัว คนมีสติอยู่กับตัวพูดอะไรฟังอะไรรู้เรื่อง ถ้าสติห่างจากตัวไปเท่านั้น ก็เผอเรอไปแล้วไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว มากไปกว่านั้นก็เป็นบอหรือเป็นบ้าไปเลย สติจึงเป็นเรื่องสำคัญ ธรรมะทั้งหมดสอนลงในสติ เรื่องของสติเป็นสิ่งสำคัญ จงพากันพิจารณา

การบวชในศาสนาไม่ใช่เป็นของเล็กน้อย ไม่ใช่เป็นของเล่น ศาสนาพระพุทธเจ้าหรือพุทธศาสนานี้ ถ้าเราดูเผินๆ ก็เหมือนของเล่น เหมือนลัทธิ แต่ถ้าดูตามหลักธรรมชาติของศาสนาจริงๆ แล้วหาที่แย้งไม่ได้เลย ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้เราขอพูดอย่างนี้ด้วยความถนัดใจเรา ว่าจะละเอียดยิ่งกว่าพุทธศาสนานี้ไป ถ้าได้ปฏิบัติดำเนินตามหลักศาสนาแล้วไม่ว่าฆราวาสญาติโยม ไม่ว่าพระ จะหาทางตำหนิกันไม่ได้ โลกนี้ไม่ต้องมีเรือนจำไม่มีตะราง เพราะเหตุไร เพราะหลักธรรมนี้สอนไปด้วยความสม่ำเสมอ สอนเป็นมัชฌิมา ให้ดูท่านดูเรามีน้ำหนักเสมอกัน เห็นใจเราเห็นใจท่าน เห็นความผิดของตัว เห็นความผิดของคนอื่นแล้วไม่กล้าทำลงไป แล้วความกระทบกระเทือนกันจะเกิดขึ้นที่ไหน ไม่มีทางเกิด นี่เพราะความเห็นแก่ตัวนั้นเอง

ความเห็นแก่ตัวไม่ใช่หลักศาสนา ท่านไม่ได้สอน ความเห็นแก่เพื่อนร่วมชาติร่วมภพ เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย มีความสุขเท่ากัน มีความทุกข์เท่ากัน มีคุณสมบัติประจำตัวเท่ากัน มีชีวิตจิตใจเท่ากัน มีความรักความสงวนตัวเท่ากัน รู้จักความผิดถูกชั่วดีเหมือนกัน แล้วต่างคนต่างรักษาอธิปไตยซึ่งกันและกัน แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ทำกันไม่ลง อย่าว่าจะไปทำมนุษย์ด้วยกันเลย สัตว์เดรัจฉานก็มีสิทธิมีความรักความสงวนในชีวิตของเขา เท่ากันกับเรารักชีวิตของเรา แล้วจะไปทำกันลงที่ไหน หลักศาสนาเป็นอย่างนี้ แล้วสอนเข้ามาถึงพระ หลักธรรมวินัยท่านสอนไว้อย่างไร ดำเนินตามหลักที่ท่านสอนไว้แล้ว จะมีที่ตำหนิที่ไหน

ที่เขาตำหนิว่าพระไม่ดีไม่น่าเลื่อมใสเป็นความถูกต้องของเขา เพราะเหตุใด เพราะเราปฏิบัติไม่ตรงตามหลักธรรมวินัย ตรงไหนเป็นจุดที่เขาตำหนิ ตรงนั้นเองที่พระปฏิบัติตัวไม่ถูก เราจะไปว่าเขาไม่ดีไม่ได้ ถ้าเราพิจารณาตามหลักธรรมชาติตามหลักความจริงแล้ว คนเราอยู่ดีๆ จะมาตำหนิกันก็เป็นความผิดของคนตำหนิ แต่โดยมากนี้ชาวพุทธตำหนิพระไม่ใช่คนอื่นตำหนิ จึงน่านำมาพิจารณา ถ้าเป็นคนนอกศาสนาก็อย่างแบบที่จะปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนพระเศียรของพระพุทธรูปนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่รู้ภาษีภาษาอะไรเลย ทำอย่างนั้นก็ว่าตัวโก้ตัวเก๋ ตัวเก่ง ตัวดี ตัววิเศษ นั่นเป็นความเห็นผิดของเขาอันหนึ่ง ส่วนชาวพุทธด้วยกันตำหนิกันนี้ นี่เข้าใจว่ามีเหตุผลที่ควรจะตำหนิควรจะชม เราจึงควรสนใจตรงนี้

ส่วนเขาเองจะผิดประการใดนั้นให้เป็นเรื่องของเขา เพราะเหตุไร เพราะพระก็มีหูมีตาสามารถจะดูพุทธบริษัทฝ่ายฆราวาสได้เช่นเดียวกัน ใครผิดใครถูก ใครน่าดูน่าชม ใครไม่น่าดูน่าชม ไม่มีใครจะดูได้ละเอียดยิ่งกว่าพระดูโยม ไม่เพียงแต่โยมจะมาดูพระว่าองค์นั้นน่าเลื่อมใสองค์นี้ไม่น่าเลื่อมใสเลย พระดูฆราวาสยิ่งละเอียดยิ่งกว่านั้น แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขาของเราไปเสีย ทำไมเราดูเขาจะดูไม่ได้ เขาผิดที่ตรงไหน น่ายินดีน่าเกลียดที่ตรงไหน เราทำไมจะดูไม่ได้ เราทำไมจะไม่เข้าใจ เราเป็นพระองค์หนึ่ง เราเป็นผู้ปฏิบัติองค์หนึ่งด้วย แล้วทำไมจะดูคนไม่ออก เขาดูเราเขาก็ดูออกเช่นเดียวกับเราดูเขา

เมื่อเป็นอย่างนั้นถ้าเราดูเราแบบที่เราดูเขานั้น เราจะได้ความละเอียดมากยิ่งกว่าเขาดูเราเป็นไหนๆ เพราะศาสนาสอนให้เราดูเรา คือสอนให้ดูตนเอง ไม่ดูผู้อื่นมากไปกว่าตัวเอง ย่นเข้ามาตรงนี้เป็นจุดสำคัญ คือพระดูโยมก็ไม่สำคัญนัก โยมดูพระก็ไม่สำคัญนัก เราดูเราจะเป็นโยมดูโยมก็ตาม เขาดูเขา เราดูเรา นี่เป็นจุดสำคัญมาก ให้เห็นชัดเจนกว่านี้ ยิ่งการดูกิเลสตัวเองด้วยแล้วต้องดูทุกเวลา กิเลสจะเกิดขึ้นจากการสัมผัส การได้เห็น การได้ยิน ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตกับรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสและธรรมารมณ์ที่นำสิ่งนั้นมาคิด สิ่งที่เคยได้เห็นได้ยินนั้นนำมาคิด เกิดเป็นกิเลสขึ้นมาแต่ละประเภทเป็นชั้นๆ ถ้ามีสติแล้วจะทราบกันทันทีๆ

กระทบทางตามีความรู้สึกเกิดขึ้นมาอย่างไรบ้าง กระทบทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย จิตมีความรู้สึกอย่างไรขึ้นมา เป็นกิเลสขึ้นมา หรือเป็นธรรมะขึ้นมา ถ้าเป็นกิเลสก็เป็นเครื่องผูกมัดตัวเองก่อเรื่องขึ้นมา ก่อเรื่องผูกมัดตัวเองขึ้นมา ถ้าเป็นฝ่ายธรรมะก็ได้สติ ได้อุบาย ได้ปัญญาจากสิ่งที่มาสัมผัสถอดถอนกิเลสไปเป็นลำดับๆ อารมณ์เกิดขึ้นมากน้อยภายในใจ สติปัญญาตามทัน แก้ไขได้ทันท่วงทีๆ ไปเป็นลำดับ นี่ชื่อว่าเป็นผลในการดูตนดูอย่างนั้น เข้าไปทางจงกรมถึงจะไปภาวนา เวลาเข้าที่สมาธิ ขัดสมาธิ แต่งตัวเต็มยศแล้วถึงจะเรียกภาวนา บางทีทั้งๆ ที่แต่งตัวเต็มยศอยู่นั้นละ จิตมันออกนอกโลกนอกสงสารไปไหนก็ไม่รู้ มันเต็มยศอยู่แต่ร่างกาย จิตใจไม่ได้ทำหน้าที่แห่งความเต็มยศนั้นเลย อันนี้ก็ใช้ไม่ได้

เดินจงกรมก็เดินก้าวไป ขาเดินไปก้าวไป ใครก็ก้าวได้ สุนัขมันมี ๔ ขา มันยิ่งเร็วยิ่งกว่าพระเสียอีก ก็ไม่เห็นว่ามันมีความเพียรเพราะความเดินเร็วของมัน เพราะเหตุไร เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เขาไปตามประสาของเขา ไอ้เรารู้เรื่องรู้ราวอยู่ เราเดินจงกรมแต่ว่าจิตส่งออกนอกลู่นอกทาง นอกโลกนอกสงสาร จะเป็นความเพียรเพื่อแก้กิเลสได้อย่างไร ความเพียรเพื่อแก้กิเลสก็คือความมีสติกำหนดดูเหตุดูผล ความผิดความถูกความกระเพื่อมของใจว่าคิดไปในทางใดบ้าง ถูกหรือผิด คอยกำจัด คอยระมัดระวังอยู่อย่างนั้น นี่ชื่อว่าเป็นความเพียรเพื่อถอดถอนกิเลส จะรื้อภพรื้อชาติ ชื่อว่างานของพระจริงๆ สมกับว่ากรรมฐาน ๕ ที่ท่านมอบให้เราทำงาน เราต้องคิดอย่างนี้

จิตไม่ใช่ว่าจะโง่ตลอดไป สติปัญญาไม่ใช่จะอับเฉาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาไป ถ้าอาศัยการบำรุงอยู่เสมอสติก็จะแก่กล้าปัญญาจะสามารถ กิเลสจะค่อยหลุดลอยไปเป็นลำดับๆ จะหนาแน่นขนาดไหนก็เถอะ ถ้าลงสติปัญญาศรัทธาความเพียรได้หนุนเข้าไปเป็นลำดับๆ แล้วต้องขาดสะบั้นไปเป็นลำดับไม่มีอะไรเหลือ จนกระทั่งบริสุทธิ์พุทโธขึ้นภายในใจเพราะอำนาจแห่งความเพียร มีสติปัญญาเป็นเครื่องแก้โดยไม่ต้องสงสัย นี้คือหลักของการปฏิบัติ ให้ทำความเข้าใจอยู่กับตัวเอง

หลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้นไม่มีทางตำหนิ เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่างแล้ว ศีลก็ตรัสไว้ชอบ สมาธิก็ตรัสไว้ชอบ ปัญญาก็ตรัสไว้ชอบ มรรคผลนิพพานทุกขั้นทุกภูมิตรัสไว้ชอบแล้ว ความไม่ชอบเวลานี้ก็เพราะความบกพร่องเวลานี้อยู่กับพวกเรา จึงมาสนใจความบกพร่องของตนให้สมบูรณ์ขึ้นไปเป็นลำดับ เรื่องมรรคผลนิพพานไม่ต้องไปถามที่ไหน ขอให้ข้อปฏิบัติกับหลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้นกลมกลืนกันเถอะ มรรคผลนิพพานจะเกิดขึ้นในสถานที่กิเลสรัดรึงอยู่ภายในจิตใจนี้โดยไม่ต้องสงสัย

กิเลสถอนตัวออกไปเพราะอำนาจของสติปัญญา ความบริสุทธิ์ก็เป็นขึ้นที่นั่น จะเป็นขึ้นที่ไหน เราไม่ต้องไปหาที่โน่นที่นี่เรื่องมรรคผลนิพพาน เพราะกิเลสไม่อยู่ที่ไหน นอกจากหัวใจของคนที่คิดไม่ถูก สั่งสมกิเลสขึ้นมาเท่านั้น เมื่อคิดถูกแล้วกิเลสก็ค่อยหมดไปๆ คำว่ากิเลสคือเครื่องเศร้าหมอง เครื่องกวนใจ ทำใจให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนอยู่เสมอคือกิเลสของตัว เรื่องของตัว ไม่ใช่เรื่องของอะไร

ทำอะไรให้ทำจริง อย่าทำเล่น อย่าฝึกหัดทางไม่ดี อย่าโกหกตัวเอง กาลเวล่ำเวลาหน้าที่การงาน จะทำอะไรให้มีความปลงใจให้มีสติอยู่กับงานนั้นๆ อย่าให้เป็นนิสัยโกหกตัวเอง จริงนอกจริงใน สติใช้นอกใช้ใน ปัญญาใช้ข้างนอกใช้ข้างใน ฝึกหัดกันไปโดยลำดับสติจะแก่กล้าขึ้นมา ปัญญาก็จะมีความสว่างไสวรอบตัว เพราะการฝึกการอบรม การอบรมนี้เป็นสิ่งที่จะทำคุณธรรมทั้งหลายให้เจริญ แม้สมาธิไม่เคยปรากฏก็จะปรากฏ ปัญญาไม่เคยมีก็มี ถ้าปฏิบัติตามหลักที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ไม่มีอันใดที่จะเป็นที่สงสัยในหลักของพุทธศาสนาที่สอนไว้แล้วนี้ มีปัญหาอยู่เฉพาะเราผู้ปฏิบัติตามเท่านั้น มีเท่านี้

อย่าไปหาบ่นมรรคผลนิพพานไม่มี มรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหนถึงจะไม่มี กิเลสทำไมมันจึงเป็นก่ายเป็นกองเต็มหัวใจ มันมาจากไหน ใครสร้างมันขึ้นมา มันถึงมีมากมาย ถ้าไม่ใช่เราสร้างขึ้นมา แล้วมรรคผลนิพพานใครจะสร้างขึ้นมา ถ้าเราไม่เป็นผู้สร้างเสียเอง มีอยู่กับเราทั้งนั้น ในตู้ในหีบในคัมภีร์ใบลานมีแต่ชื่อของกิเลสตัณหาของมรรคผลนิพพาน ไม่มีตัวมรรคผลนิพพาน ไม่มีกิเลสตัณหาอยู่ในตู้ในหีบในคัมภีร์ใบลาน ในตำรับตำรานั้นเลย แม้อันเดียวไม่มี ท่านสอนไว้ประมาณ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ในสูตรนั้นในคัมภีร์นี้ มีแต่บอกเรื่องชื่อเรื่องนามของกิเลสที่มีอยู่ในหัวใจคน ไม่ได้นอกไปจากนี้ ผู้ต้องการมรรคผลนิพพานไม่สนใจดูหัวใจตัวเองจะดูอะไร ทางที่จะให้เห็นมรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ใช่เรื่องความเพียรให้ถูกต้องตามหลัก

เวลาจะสงบก็ทำด้วยความสงบ ตั้งหน้าให้เป็นไปเพื่อความสงบจริงๆ จะกำหนดธรรมบทใดก็ให้มีความจริงจังกับธรรมบทนั้น ตั้งหน้าจะทำความสงบแก่ใจ ใจจะปรุงไปไหน มีใจดวงเดียวเท่านี้เป็นผู้ก่อเรื่องอยู่ตลอดเวลา โลกสงสารนี้กว้างแคบไม่มีปัญหา ไม่ใช่เป็นผู้มาก่อเรื่อง หัวใจของเรานี้กระเพื่อมตัวอยู่เสมอ ที่จะออกแสดงตัว เรื่องผิดเรื่องถูกเรื่องอะไรๆ โดยมากเป็นเรื่องผิด ปรุงขึ้นที่ใจ สังเกตความปรุงของตัวเอง มันจะปรุงไปได้ถึงไหน สติปัญญามีอยู่ ปรุงขึ้นพับ ดับพร้อมๆ ถ้ามีสติ ถ้าไม่มีสติก็ปรุงต่อกันเรื่อย ไม่มีจบสิ้นลงได้ เมื่อสติตามทันอยู่มันจะวุ่นไปไหนจิต มันต้องหมอบ

เอา เวลาจะใช้ปัญญา เอ้าใช้ลงไปพิจารณาลงไป ธาตุขันธ์อายตนะมีเท่าไรม้วนลงมาที่นี่หมด กำหนดให้เป็นสัจธรรมหรือเป็นไตรลักษณ์ ให้มันเห็นความจริงกับไตรลักษณ์จริงๆ แล้วจะแย้งพระพุทธเจ้าที่ไหน อนิจฺจํ อะไรเป็นของไม่เที่ยง มันมีอยู่ทุกส่วนในร่างกายและจิตใจ อาการของจิตทุกส่วนที่แสดงออกมาล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องกฎของวัฏฏะ ความหมุนเวียนความเปลี่ยนแปลงกฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กฎของสัจธรรม ไม่นอกเหนือไปจากนี้เลย

ทุกฺขํ เป็นยังไง มันมีอยู่ที่ไหนทุกข์ เวลานี้เป็นอยู่ที่ไหน ไม่เป็นอยู่ที่กายที่ใจนี้เหรอ อนตฺตา อะไรเป็นสัตว์เป็นบุคคลมันมีอยู่ที่ไหน ว่าเอาเฉยๆ มันไม่มีสัตว์บุคคลมาว่าเอาได้ไง ส่วนผสมของธาตุต่างๆ มารวมกันแล้ว มีวิญญาณสถิตอยู่นั้นแล้ว ก็จัดเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นหญิงเป็นชาย เป็นท่านเป็นเราว่ากันไป ว่าแล้วยังไม่แล้วนะ ติดอีกด้วย มันติดก่อนว่าเสียด้วยซ้ำไป ติดชนิดที่ไม่ยอมถอยด้วย ติดเท่าไรยิ่งติดยิ่งพันเข้าไปไม่ยอมถอยหลัง นี่ตรงนี้นักต่อสู้ มันเป็นนักต่อสู้เพื่อตายจริงๆ ไม่ใช่นักต่อสู้เพื่อถอยเอาท่า เพื่อหลบหลีกปลีกตัวให้พ้น มันสู้แบบตายเอาตายเลย แบบหัวชนฝา ไม่มีสติปัญญาเป็นเครื่องแก้ ตายจริงๆ

พิจารณาจนมันหาทางไปไม่ได้มันก็ลงเอง จิต เมื่อคิดไปไหน ค้นไปไหนมีแต่สติปัญญาตามมัน มันคิดไปไหนสติปัญญาตาม มันจะไปไหนรอด เดี๋ยวมันก็ลงของมัน ไม่ว่าทางสมาธิไม่ว่าทางปัญญา เป็นทางจะให้เกิดความสงบเย็นใจได้ด้วยกัน ถ้าเราใช้ถูกเวล่ำเวลา ใช้ถูกกับหน้าที่การงานของตัว เป็นผลด้วยกันทั้งนั้น โน้นคอยฟังแต่ข่าวพระพุทธเจ้า สาวกท่านบรรลุอรหัตมรรคผลนิพพาน ท่านปฏิบัติอย่างไรท่านถึงสำเร็จมรรคผลนิพพานไม่ได้เอามาคำนึง ทำความเพียรนิดหน่อยก็กลัวแต่จะตาย อะไรๆ กลัวแต่จะตาย อะไรกลัวแต่ลำบาก มีแต่ความกลัวเพื่อจะไปมรรคผลนิพพาน มันกลัวเพื่อที่จะไปเสียมากกว่า ผลนี้ไม่กล้าจะทำอย่างไร

อะไรจะรื่นเริงบันเทิงยิ่งกว่าธรรมกับจิตสัมผัสกัน ธรรมกับจิตถ้าลงได้สัมผัสกันแล้วไม่มีอะไรที่จะรื่นเริง ไม่มีอะไรที่จะละเอียดอ่อน ไม่มีอะไรที่จะเป็นสุข ไม่มีอะไรจะอัศจรรย์ยิ่งกว่าจิตกับธรรมสัมผัสกัน ถ้าลงเข้าถึงขั้น เพียงแต่ขั้นสงบก็เพลินแล้ว ไม่ต้องพูดไปถึงขั้นปัญญาที่ละเอียดยิ่งกว่านี้เลย เพียงจิตสงบก็สบายแล้ว ปราศจากสิ่งก่อกวนทั้งหลาย มันเคยว้าวุ่นขุ่นมัวมามันก็สงบเย็นลงไป จิตก็ผ่องใส เพียงเท่านี้เราก็มีที่อยู่พอให้สบายใจได้แล้ว

ยิ่งค้นลงไปทางด้านปัญญาให้เห็น ดูธาตุดูขันธ์ดูอวัยวะของเราทุกส่วนให้เห็นตามหลักความจริง เอาถ้าว่าปฏิกูลก็ดูให้มันเห็นปฏิกูลจริงๆ ทั้งข้างนอกข้างใน ทั้งเขาทั้งเราดูให้มันลงได้ระดับเดียวกัน แล้วมันจะฟุ้งเฟ้อไปไหน คนแล้วคนเล่า ดูแล้วดูเล่าอย่างนั้น จนมันพอตัวแล้วมันถอนของมันเอง ถอนเป็นขั้นๆ ไป สมบูรณ์เต็มที่ถอนหมด อาการของขันธ์ทั้ง ๕ นี้ไม่มีเหลือ รูปก็ถอน เวทนาก็ถอน สัญญาก็ถอน สังขารก็ถอน วิญญาณก็ถอน อะไรที่ฝังอยู่ในจิตก็ถอน ถอนจนกระทั่งถึงจิต ไม่มีอะไรเหลือคำว่าเราว่าเขาอยู่ในจิต ไม่มีสิ่งใดที่จะสำคัญว่านี้คือเรา นี้คือของเรา ถอนไปโดยสิ้นเชิง นี่เรียกว่าเสมอ

ถอนข้างนอกไม่ถอนข้างในก็ลำเอียงยังติดอยู่ ถอนข้างนอกได้แล้วถอนข้างใน รู้ข้างนอกแล้วรู้ข้างใน เมื่อรู้รอบขอบชิดหมดแล้วถอนหมดโดยประการทั้งปวง ไม่ต้องถามเรื่องมรรคผลนิพพานถามหาอะไร ถามให้เกิดประโยชน์อะไร ใครเป็นผู้หลงใครเป็นผู้รู้เวลานี้ กิเลสปกคลุมหุ้มห่ออะไร เวลานี้ได้ถอดถอนจากอะไรมาแล้ว แล้วต่อไปนี้จะทำอะไรต่อไปอีก แล้วจะไปไหนเพื่ออะไรอีก มันหมดเพื่อเสียทุกอย่าง เมื่อพอแล้วมันหมด จะถามหาอะไรถามหามรรคผลนิพพาน ถามก็หลงนะซี นั่น เมื่อรู้แล้วเป็นอย่างนั้น ไม่มีทางจะถาม ถามหาอะไร อยู่ไหนก็เป็นมรรคผลนิพพาน อยู่ไหนก็บริสุทธิ์ อยู่ไหนก็รู้ ถึงความรู้อันสมบูรณ์แล้ว อยู่ไหนก็รู้ทำ ท่าว่าจะหลงก็ยิ่งรู้

แล้วจะหาอะไรในโลกนี้ยิ่งกว่าธรรมชาติที่รู้ๆ ที่บริสุทธิ์นี้อีก ไม่มี โลกอันนี้มีจิตดวงเดียวเท่านี้ หยาบที่สุดก็คือจิตดวงนี้ ประเสริฐที่สุดก็คือจิตดวงนี้ หยาบที่สุดคืออะไร ก็คือจิตที่ก่อกวนวุ่นวายตัวเอง ก่อเรื่องก่อราวอยู่ทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่มีอะไรจะยิ่งกว่าจิตรบกวนตัวเอง เวลาแก้ได้แล้วไม่มีอะไรจะยิ่งกว่าจิตที่ประเสริฐในตัวเอง เนื่องมาจากการชำระเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เลยกลายเป็นธรรมทั้งแท่งหรือธรรมทั้งดวงไปแล้ว ใครจะว่าอะไรก็ไม่สนใจ ว่าบรรลุก็แล้ว นั่นก็เป็นชื่ออันหนึ่งเสีย ว่าตรัสรู้ก็เป็นชื่ออันหนึ่งเสีย ว่าบริสุทธิ์ก็เป็นชื่ออันหนึ่งเสีย ว่านิพพานก็เป็นชื่ออันหนึ่งเสีย ว่าอรหัตอรหันต์ก็เป็นชื่ออันหนึ่งเสีย ธรรมชาตินั้นไม่ได้ว่าอะไรกับใคร นั่น ถ้าพอแล้วไม่ต้องหาอะไรมาเป็นชื่อเป็นนามก็ได้

แต่ทำไมท่านตั้งชื่อตั้งนามไว้ เพราะโลกมีสมมุติก็ต้องตั้งไว้อย่างนั้นละ อันนั้นชื่อนั้นอันนั้นชื่อนี้ ตั้งอะไรท่านก็ไม่หลง เมื่อได้รู้แล้วไม่หลง ไม่ตั้งก็ไม่หลง ตั้งก็ไม่หลง ตั้งก็ตั้งเพื่อสมมุติเพื่อโลกต่างหากไม่ได้ตั้งเพื่อท่าน ถ้ารู้แล้วเป็นอย่างนั้น ธรรมชาตินี้อยู่ที่ไหน อยู่กับความรู้ของคนทุกคน ของเราทุกท่าน ถ้าชำระให้ถึงก็รู้เหมือนกันหมด ไม่ว่าครั้งพุทธกาลไม่ว่าครั้งนี้ เพราะสัจธรรมก็เป็นอันเดียวกัน เหมือนกัน อริยสัจเหมือนกัน ไตรลักษณ์เหมือนกัน มัชฌิมาปฏิปทาเหมือนกัน ศาสนาอันเดียวกัน อยู่ในใจในกายของเราอันเดียวกัน เมื่อปฏิบัติตามอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว ความรู้จะเป็นอื่นไปที่ไหน นอกจากจะเป็นอันเดียวกันเท่านั้น มีเท่านี้

ให้พากันเข้มแข็ง อย่าหัดอ่อนแอ พระพุทธเจ้าไม่มีใครจะเกินพระองค์ไปได้ เรื่องความอดทนก็อยู่กับพระพุทธเจ้า เรื่องความพากเพียรก็อยู่กับพระพุทธเจ้า ทำความเพียรสลบไสลไปกี่ครั้งเราก็เห็นแล้วในตำรา พวกเรามีไหม มีสลบไสลบ้างไหม ไม่มี เราจะว่าเราเก่งกว่าครูยังไง ความรู้ความฉลาดก็ไม่มีใครเกินพระองค์ไปได้ แล้วใครที่จะสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้เหมือนพระองค์ สอนโลกทั้งสามได้ ไม่มี ก็มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว นี่ละที่ว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ

ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ เกิดขึ้นมาจากพระพุทธเจ้าผู้ทรงรู้ทรงเห็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ก็เป็นผู้ได้รับการอบรมจากพระพุทธเจ้า เกิดความเชื่อความเลื่อมใสปฏิบัติตาม ก็เพราะพระพุทธเจ้านั่นเอง ธรรมที่จะปรากฏในโลกก็เพราะพระพุทธเจ้า แล้วมีเพราะผู้ใดบ้าง มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ประเสริฐ อยากฟังหมู่เพื่อนนั่งสมาธิสมาบัติเป็นอย่างไร ทำความเพียรมากี่ปีกี่เดือนทำไมไม่เห็นเกิดผลเกิดประโยชน์ เกิดความสงบเย็นใจ เกิดความเฉลียวฉลาดถอดถอนกิเลสไปได้โดยลำดับ มาเล่าให้ฟังบ้าง เราจะภาคภูมิใจสมกับว่าที่สอนนี้สอนเพื่อรู้ เพื่อจริง จริงๆ ไม่ได้สอนแบบสุ่มสี่สุ่มห้านี่นะ

หมู่เพื่อนอยู่กับผมมาเป็นเวลานานเท่าไร บางองค์ ๑๕-๑๖ ปีก็มี นี่ได้ถอดถอนออกหมดในจิตใจนี้ ถอดออกมาจากหัวใจจริงๆ มาสอน ไม่ได้ไปลูบนั้นคลำนี้ เห็นจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เลย ถ้าผิดนี้ก็ยอมผิดมานานแล้ว แต่ไม่ได้คิดในใจเลยว่าได้สอนหมู่เพื่อนผิดไป เพราะความรู้อันนี้เราเป็นที่แน่ใจของเราร้อยเปอร์เซ็นต์ของเราแล้ว อะไรก็ตามในโลกนี้จะมาเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของเราอย่างนี้จะเปลี่ยนไปไม่ได้ จะยกสมบัติมาทั้งสามโลกธาตุนี้มาขอเปลี่ยนธรรมชาติของเราความรู้ของเรานี้ให้เป็นอย่างอื่นไป เราจะยอมไม่ได้เป็นอันขาด นั่น

ไม่มีอันใดที่เราจะเป็นที่มั่นใจยิ่งกว่าธรรมชาติที่เรารู้เราเห็นอยู่เวลานี้ และที่นำมาสอนหมู่เพื่อนอยู่เวลานี้และที่ผ่านมาแล้วด้วย ทั้งจะต่อไปข้างหน้าด้วย จึงสอนเต็มภูมิความรู้จริงๆ ได้ปฏิบัติมาอย่างไร รู้อย่างไรเห็นอย่างไรสอนหมด ไม่ว่าจะส่วนใหญ่ส่วนย่อยที่เกิดจากภาคปฏิบัติ แล้วทำไมถึงไม่ปรากฏกับเราแต่ละรายบ้าง มีแต่คนเดียวพูดบ๊งเบ๊งๆ เหมือนกับว่ามาโกหกหมู่เพื่อน ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้โกหก เทศน์ไปมากท่านปัญญาก็จะจำไม่ได้ ต่อจากนี้ให้ท่านปัญญาอธิบาย

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๕
http://www.luangta.com